ทำอย่างไรจึงพร้อมกินยาต้านไวรัสเอชไอวี
1. ประเมินใจตัวเองว่าพร้อมหรือยังที่จะเปิดเผยตัวต่อเจ้าหน้าที่ และพร้อมกินยาอย่างต่อเนื่องทุกวันและตลอดไป
2.หาความรู้เรื่องการรักษาด้วยยาต้านไวรัสเอชไอวีที่จะกิน รู้สูตรยา รู้อาการข้างเคียง รู้คุณโทษในการกินยาระยะยาว
3. วางแผนการดำเนินชีวิตและเตรียมรับอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นทั้งในระยะสั้นและระยะยาวจากการกินยา
หัวใจสำคัญของการรักษาด้วยยาต้านไวรัสเอชไอวี
1. เลือกสูตรยาอย่างถูกต้องและเหมาะสม ซึ่งแต่ละคนมีความเหมาะสมแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย การยอมรับได้ในการกินยา และการตัดสินใจของแพทย์ ทั้งนี้ต้องให้ข้อมูลประวัติการรักษาในอดีต เพราะจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยในการป้องกันการดื้อยา และเป็นประโยชน์ในการเลือกสูตรยาให้เหมาะสม อีกทั้งต้องปรับเวลาการกินยาให้เหมาะสมกับวิถีชีวิตประจำวัน
2. ทำความเข้าใจขั้นตอนการกินยาเป็นอย่างดี
3. มีวินัยในการกินยาตรงเวลา กินเวลาไหนตามสะดวกแต่ต้องเป็นเวลาเดียวกันทุกวัน ระยะห่างระหว่างยาแต่ละมื้อต้องแม่นยำและเหมือนกันทุกวัน เพื่อไม่เปิดโอกาสให้เชื้อพัฒนาตนเองมาดื้อยาได้ และสามารถควบคุมเชื้อเอชไอวีได้ตลอดเวลา เพราะระดับยาในเลือดคงที่เท่ากันตลอดทุกวันเวลา
4. ยาก่อนอาหารต้องกินตอนท้องว่าง และกินก่อนอาหารอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง
5. ยาหลังอาหารต้องกินหลังจากที่มีอาหารกระเพาะอาหาร เพราะจะทำให้ยาถูกดูดซึมได้ดีและป้องกันการระคายเคืองของกระเพาะอาหาร
6. ยาก่อนนอนมักเป็นยาที่มีผลทำให้ง่วงนอน หรือเวียนศีรษะ มึนงงต้องกินก่อนนอน
7. การกินยาต้องมีการดูแลร่างกายอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เริ่มต้นรักษาไปตลอดการรักษา เพราะยาไม่ได้ทำให้เชื้อไวรัสหมดจากร่างกาย แต่ช่วยยับยั้งไม่ให้เชื้อเพิ่มจำนวนขึ้น จึงต้องกินยาเพื่อควบคุมเชื้อตลอดไป ยาอาจมีผลกระทบต่อร่างกายทั้งในระยะสั้นและระยะยาว จึงต้องมีการติดตามผลการรักษาอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง
อาการผิดปกติที่เกิดจากการกินยาต้านไวรัส
1. การแพ้ยา
1.1 ถ้าแพ้ยาไม่รุนแรง อาจมีไข้ มีผื่นลมพิษ เยื่อบุอ่อนพองบวม เช่น เยื่อบุตา เยื่อบุปาก หายใจขัดหรือหอบ
1.2 การแพ้ยารุนแรงจะเกิดการช็อค หายใจไม่ทัน ขาดอากาศ หมดสติได้ ดังนั้น เมื่อทราบว่าเคยมีประวัติแพ้ยา ควรบอกแพทย์หรือเจ้าหน้าที่ดูแลก่อนรับยาต้านไวรัสเอดส์
2. อาการข้างเคียงจากการกินยาต้านไวรัสเอดส์
2.1 อาการข้างเคียงในระยะสั้นและไม่รุนแรง พบได้และอาการก็จะค่อย ๆ ดีขึ้น ภายในเวลาประมาณ 2 - 3
เดือน เช่น ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ท้องอืด นอนไม่หลับ ฝันร้าย มีผื่นขึ้นเล็กน้อย
2.2 อาการข้างเคียงในระยะสั้นและรุนแรง เช่น ภาวะซีด ตับหรือตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน ชาปลายมือปลายเท้า นิ่วในไต ซึ่งอาจพบได้ทุกช่วงของการกินยา และอาจทำให้เสียชีวิตได้ถ้าไม่รีบแก้ไข ดังนั้น ต้องติดตามอาการเหล่านี้อย่างใกล้ชิด โดยการตรวจสุขภาพและผลวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการเป็นระยะ โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีประวัติเป็นโรคตับอักเสบ หรือมีโรคประจำตัวอื่น ๆ ที่อาจเกี่ยวข้องได้ ต้องให้ข้อมูลแก่แพทย์ให้มากที่สุดเพื่อประโยชน์ของตนเอง
2.3 อาการข้างเคียงในระยะยาว มักพบหลังจากกินยาเป็นเวลานาน ส่วนใหญ่ตั้งแต่ 1 ปี ขึ้นไป บางรายพบได้ในระยะเวลาไม่ถึง 1 ปี อาการข้างเคียงในระยะยาว เช่น น้ำตาลในเลือดสูง ทำให้หิวน้ำบ่อย ปัสสาวะบ่อย การกระจายและสะสมของไขมันผิดปกติและผิดที่ มีไขมันพอกที่ต้นคอ ลำตัวอ้วน แขนขาลีบ แก้มตอบ
ที่มา : คู่มือการดูแลและรักษาตนเองสำหรับผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์
Report : LIV Capsule
เตรียมตัวอย่างไร เมื่อต้องกินยาต้านไวรัสเอชไอวี
1. ประเมินใจตัวเองว่าพร้อมหรือยังที่จะเปิดเผยตัวต่อเจ้าหน้าที่ และพร้อมกินยาอย่างต่อเนื่องทุกวันและตลอดไป
2.หาความรู้เรื่องการรักษาด้วยยาต้านไวรัสเอชไอวีที่จะกิน รู้สูตรยา รู้อาการข้างเคียง รู้คุณโทษในการกินยาระยะยาว
3. วางแผนการดำเนินชีวิตและเตรียมรับอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นทั้งในระยะสั้นและระยะยาวจากการกินยา
หัวใจสำคัญของการรักษาด้วยยาต้านไวรัสเอชไอวี
1. เลือกสูตรยาอย่างถูกต้องและเหมาะสม ซึ่งแต่ละคนมีความเหมาะสมแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย การยอมรับได้ในการกินยา และการตัดสินใจของแพทย์ ทั้งนี้ต้องให้ข้อมูลประวัติการรักษาในอดีต เพราะจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยในการป้องกันการดื้อยา และเป็นประโยชน์ในการเลือกสูตรยาให้เหมาะสม อีกทั้งต้องปรับเวลาการกินยาให้เหมาะสมกับวิถีชีวิตประจำวัน
2. ทำความเข้าใจขั้นตอนการกินยาเป็นอย่างดี
3. มีวินัยในการกินยาตรงเวลา กินเวลาไหนตามสะดวกแต่ต้องเป็นเวลาเดียวกันทุกวัน ระยะห่างระหว่างยาแต่ละมื้อต้องแม่นยำและเหมือนกันทุกวัน เพื่อไม่เปิดโอกาสให้เชื้อพัฒนาตนเองมาดื้อยาได้ และสามารถควบคุมเชื้อเอชไอวีได้ตลอดเวลา เพราะระดับยาในเลือดคงที่เท่ากันตลอดทุกวันเวลา
4. ยาก่อนอาหารต้องกินตอนท้องว่าง และกินก่อนอาหารอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง
5. ยาหลังอาหารต้องกินหลังจากที่มีอาหารกระเพาะอาหาร เพราะจะทำให้ยาถูกดูดซึมได้ดีและป้องกันการระคายเคืองของกระเพาะอาหาร
6. ยาก่อนนอนมักเป็นยาที่มีผลทำให้ง่วงนอน หรือเวียนศีรษะ มึนงงต้องกินก่อนนอน
7. การกินยาต้องมีการดูแลร่างกายอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เริ่มต้นรักษาไปตลอดการรักษา เพราะยาไม่ได้ทำให้เชื้อไวรัสหมดจากร่างกาย แต่ช่วยยับยั้งไม่ให้เชื้อเพิ่มจำนวนขึ้น จึงต้องกินยาเพื่อควบคุมเชื้อตลอดไป ยาอาจมีผลกระทบต่อร่างกายทั้งในระยะสั้นและระยะยาว จึงต้องมีการติดตามผลการรักษาอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง
อาการผิดปกติที่เกิดจากการกินยาต้านไวรัส
1. การแพ้ยา
1.1 ถ้าแพ้ยาไม่รุนแรง อาจมีไข้ มีผื่นลมพิษ เยื่อบุอ่อนพองบวม เช่น เยื่อบุตา เยื่อบุปาก หายใจขัดหรือหอบ
1.2 การแพ้ยารุนแรงจะเกิดการช็อค หายใจไม่ทัน ขาดอากาศ หมดสติได้ ดังนั้น เมื่อทราบว่าเคยมีประวัติแพ้ยา ควรบอกแพทย์หรือเจ้าหน้าที่ดูแลก่อนรับยาต้านไวรัสเอดส์
2. อาการข้างเคียงจากการกินยาต้านไวรัสเอดส์
2.1 อาการข้างเคียงในระยะสั้นและไม่รุนแรง พบได้และอาการก็จะค่อย ๆ ดีขึ้น ภายในเวลาประมาณ 2 - 3
เดือน เช่น ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ท้องอืด นอนไม่หลับ ฝันร้าย มีผื่นขึ้นเล็กน้อย
2.2 อาการข้างเคียงในระยะสั้นและรุนแรง เช่น ภาวะซีด ตับหรือตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน ชาปลายมือปลายเท้า นิ่วในไต ซึ่งอาจพบได้ทุกช่วงของการกินยา และอาจทำให้เสียชีวิตได้ถ้าไม่รีบแก้ไข ดังนั้น ต้องติดตามอาการเหล่านี้อย่างใกล้ชิด โดยการตรวจสุขภาพและผลวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการเป็นระยะ โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีประวัติเป็นโรคตับอักเสบ หรือมีโรคประจำตัวอื่น ๆ ที่อาจเกี่ยวข้องได้ ต้องให้ข้อมูลแก่แพทย์ให้มากที่สุดเพื่อประโยชน์ของตนเอง
2.3 อาการข้างเคียงในระยะยาว มักพบหลังจากกินยาเป็นเวลานาน ส่วนใหญ่ตั้งแต่ 1 ปี ขึ้นไป บางรายพบได้ในระยะเวลาไม่ถึง 1 ปี อาการข้างเคียงในระยะยาว เช่น น้ำตาลในเลือดสูง ทำให้หิวน้ำบ่อย ปัสสาวะบ่อย การกระจายและสะสมของไขมันผิดปกติและผิดที่ มีไขมันพอกที่ต้นคอ ลำตัวอ้วน แขนขาลีบ แก้มตอบ
ที่มา : คู่มือการดูแลและรักษาตนเองสำหรับผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์
Report : LIV Capsule