ก่อนจะมาวันนี้ ที่ตลาดเปิด ก็เริ่มลง จนลงแรง -15 จุด ตามการประเมินในระบบหยินหยาง (-15.9) เมื่อถึงจุดสมดุลย์ แรงซื้อก็ค่อย ๆ มา (เกิดจากการซื้อถั๋วของรายย่อย/ราย ญ ) การซื้อถั๋วคือการมองว่า ไม่ยอมแพ้ตลาด ตนเองต้งถือหุ้นกำไร ไม่ใช่ขาดทุน (ซึ่งผิดหลักการสมดุลย์) ถ้าทุกคนซื้อหุ้นแล้วมีกำไร ใครจะมาซื้อหุ้นเพื่อให้ขาดทุน หรือ ใครจะส่งกำไรให้ทุกทุกคนได้ ในนั้นต้งมีคนกำไร มีคนยอมขาดทุนให้ (ขายหุ้นขาดทุน เพื่อคนอื่นซื้อราคาถูกไป) และเมื่อการรีบาวน์เกิด ขึ้น ก็จะมีคนแย่งซื้อ และมีคนขายเมื่อตอนซือ้ได้ขชองราคาถูก ชดเชยให้
ถ้าชาวหุ้นเล่นหุ้นโดย ยึดราคาเป็นหลัก โอกาสจะเอากำไรในระยะยาว คงยากหน่อย เพราะสั่นเป็นวิธีคิดแบบ VI นั่นคือ ต้องซื้อหุ้นราคาถูกตัว ถูกราคา แต่ จำนวนหุ้นถูกตัวถูกราคามีไม่มาก แล้วส่วนที่เหลือของชาวหุ้นจะทำอย่างไร ก็ต้องซื้อหุ้นตัวอื่นผิดตัวผิดราคา เพื่อเล่นหุ้นเอาขาดทุนงั้น รึ
แล้วจะไปหาซื้อที่ไหน ในเมื่อ ทุกคนบอกว่า หุ้นที่ดีมีคนกวาดไปหมด แล้ว เหลือแต่หุ้นเน่า ๆ ใครจะเอา ใครอยากกอดหุ้นเน่า (ถ้ารู้ว่าเน่า)
แต่ไม่ใช่เช่นนั้น หุ้นทั้งหมด เป็นพันตัว มีโอกาสเป็นหุ้นเน่า(คือ หุ้นที่ถูกพักการซื้อขาย ออกจากตลาด หรือไม่ก็ไม่มีคนซื้อขายเลยในแต่ละวัน) ตลาดคงต้องปิดและเลิกกิจการไป
ในวิถีและแนวคิดการเก็งกำไร หุ้นทั้งหมด มีโอกาสได้กำไรทั้งสิ้น ...หยุดก่อน มาทำความเข้าใจเรื่อง คำว่า " หุ้น "
หุ้นคือ สินค้า ที่ผลิตขึ้นจาก บจ ที่เข้าตลาดหุ้น เป็นสินค้าสิทธิ์ ไม่ใช่สินค้าตัวตนจับต้องได้ ที่จะนำไปบริโภคได้ กินได้ ใช้ทำงานได้ ฯลฯ
สินค้าสิทธิ์ คือสินค้าล่องหนแต่มีมูลค่าในตัวเอง เช่น จดไว้ par 10 บาท จดไว้ par 0.50 บาท มูลค่าหุ้นพื้นฐา่นคือ 10 บาทหรือ 0.50 บาท นั่นเอง
กลับมาแนวคิด เก็งกำไร มูลค่าพื้นฐาน ของหุ้นแต่แรกคือ par ต่อมาหากไม่มีใครซื้อขาย อยู่ในมือ ของเจ้าของกิจการ และเจ้าของได้ทำกิจการของตนมีกำไรขึ้น และนำลงจดในบัญชีตนเอง ก็จะเกิมูลค่า ที่เจ้าของกิจการยอมรับและรับรู้ เรียกว่า book value เช่น 11 บาทหรือ 0.45 บาท แต่ค่านี้ สังคมนอกกิจการนั้นไม่ยอมรับก็ได้ จึงเกิดการขอตีราคาเอง ว่าควร เป็น 15 บาท หรือ 0.20 บาท มีคนเห็นด้วยแยากได้ ก็ซือ้ไป เรียกว่า การซื้อขายหุ้น ในระบบตลาดหุ้น แต่ซือ้ไปทำไม ในเมื่อตนเองบริหารไม่ได้ อย่ามาบอกหรือลวงว่า บริหารได้ เป็นเจ้าของกิจการ(ถ้าถือหุ้นไม่มากพอมีอิทธิพลต่อคณะผู้บริหารกิจการ) แค่ได้สิทธิ์ ไปประชุมก็เดินเชิดหน้าว่า เจ้ากิจการ (หน้าไม่อายจริงๆ) อย่ากระนั้นเลย เอาหุ้นมาขายเอากำไรดีกว่า ถ้าคิดว่า อนาคต บจ นี้จะมีกำไรอีก ก็ถือไปนานในอนาคต เพื่อรอคนมาซื้อ 20 บาท หรือ 0.60 บาท แต่หากไม่แน่ใจ (ใครที่แน่ใจ ส่วนมากอ้างว่าดูจาการลงบัญชี ไม่ใช่ตนเองมีธุรกิจแบบเดียวกันมา หรือเคยบริหารแบบธุรกิจนั้นมานานจนรู้ไส้) ก็อาจขายไปก่อน แบบนี้พอเรียกได้ว่า เก็งกำไรมีพื้นฐานจาก ปัจจัยพื้นฐาน
แต่มีพวกที่มีเงินเยอะ แต่เกิดมาทีหลัง นาย บัฟเฟต จะทำอย่างไรดี ในเมื่อ นาย บัฟเฟต เกิดก่อน ไปซื้อ ปตท ราคาจอง 33 บาทเต็มกระบุง แต่คนมาใหม่ มีหลายกระบุงเงินแต่ต้องมาซื้อ 320 บาท ก็จะเกิดการหาวิธีเอากำไรอีกแบบโดย ใช้กระแสความต้องการเป็นหลัก เรียกว่า เก็งกำไร
แต่ต้องหาวิธี ทำให้หุ้น ปตท ในมือ ลดทุนลง จาก 320 บาท ให้เหลือ 300 เพื่อขาย 318 บาทให้ได้ เรียกว่า กลยุทธการลดทุน หรือ กา่รทำกำไรสะสมมาเป็นทุน ที่คนเขาเรียกว่า sap (การโยกราคาหุ้น เพื่อเพิ่มจำนวนซือ้ แต่ลดจำนวนทุนลง)
วิธีการต่าง ๆ มีมากมาย ล้วนเป็นกลยุทธที่ราย ญ ข้ามชาติเขาทำได้ แต่รายย่อยไทย ไม่เคยติด ไม่เคยสน เพราะ ก้มหน้าเล่นหุ้น ตั้งเป้าราคาจากความหวังลม ๆ แล้ง ๆ เพราะได้รับแรงเชียร์จาก นักวิชาการบ้าง จากสื่อบ้าง จากเพื่อนบ้าง โชคดดีที่ีตลาดหุ้นเป็นขาขึ้น แม้ซื้อหุ้นเน่าก็ได้กำไร ก็คิดว่า หุ้นที่ได้กำไรเป็นหุ้นดี หุ้นถูกโฉลก ...ว่ากันไป แต่ความจริงซ่อนอยู่ข้างหลังไม่เคยสนใจเลยนะรายย่อย
ฝากไว้ก่อน สุภาษิต หุ้น กำไรตลาดเป็นผู้ให้ (ไม่ใช่เราฝีมือเยี่ยม มองเห็นอนาคต อะไรหรอก) แต่ขาดทุนคือเราทำเอง (อย่าโทษปี่โทษกลองเลย)
การก่อให้เกิด แพนิก ต้องมีสาเหตุ (โดย NOWYA)
ถ้าชาวหุ้นเล่นหุ้นโดย ยึดราคาเป็นหลัก โอกาสจะเอากำไรในระยะยาว คงยากหน่อย เพราะสั่นเป็นวิธีคิดแบบ VI นั่นคือ ต้องซื้อหุ้นราคาถูกตัว ถูกราคา แต่ จำนวนหุ้นถูกตัวถูกราคามีไม่มาก แล้วส่วนที่เหลือของชาวหุ้นจะทำอย่างไร ก็ต้องซื้อหุ้นตัวอื่นผิดตัวผิดราคา เพื่อเล่นหุ้นเอาขาดทุนงั้น รึ
แล้วจะไปหาซื้อที่ไหน ในเมื่อ ทุกคนบอกว่า หุ้นที่ดีมีคนกวาดไปหมด แล้ว เหลือแต่หุ้นเน่า ๆ ใครจะเอา ใครอยากกอดหุ้นเน่า (ถ้ารู้ว่าเน่า)
แต่ไม่ใช่เช่นนั้น หุ้นทั้งหมด เป็นพันตัว มีโอกาสเป็นหุ้นเน่า(คือ หุ้นที่ถูกพักการซื้อขาย ออกจากตลาด หรือไม่ก็ไม่มีคนซื้อขายเลยในแต่ละวัน) ตลาดคงต้องปิดและเลิกกิจการไป
ในวิถีและแนวคิดการเก็งกำไร หุ้นทั้งหมด มีโอกาสได้กำไรทั้งสิ้น ...หยุดก่อน มาทำความเข้าใจเรื่อง คำว่า " หุ้น "
หุ้นคือ สินค้า ที่ผลิตขึ้นจาก บจ ที่เข้าตลาดหุ้น เป็นสินค้าสิทธิ์ ไม่ใช่สินค้าตัวตนจับต้องได้ ที่จะนำไปบริโภคได้ กินได้ ใช้ทำงานได้ ฯลฯ
สินค้าสิทธิ์ คือสินค้าล่องหนแต่มีมูลค่าในตัวเอง เช่น จดไว้ par 10 บาท จดไว้ par 0.50 บาท มูลค่าหุ้นพื้นฐา่นคือ 10 บาทหรือ 0.50 บาท นั่นเอง
กลับมาแนวคิด เก็งกำไร มูลค่าพื้นฐาน ของหุ้นแต่แรกคือ par ต่อมาหากไม่มีใครซื้อขาย อยู่ในมือ ของเจ้าของกิจการ และเจ้าของได้ทำกิจการของตนมีกำไรขึ้น และนำลงจดในบัญชีตนเอง ก็จะเกิมูลค่า ที่เจ้าของกิจการยอมรับและรับรู้ เรียกว่า book value เช่น 11 บาทหรือ 0.45 บาท แต่ค่านี้ สังคมนอกกิจการนั้นไม่ยอมรับก็ได้ จึงเกิดการขอตีราคาเอง ว่าควร เป็น 15 บาท หรือ 0.20 บาท มีคนเห็นด้วยแยากได้ ก็ซือ้ไป เรียกว่า การซื้อขายหุ้น ในระบบตลาดหุ้น แต่ซือ้ไปทำไม ในเมื่อตนเองบริหารไม่ได้ อย่ามาบอกหรือลวงว่า บริหารได้ เป็นเจ้าของกิจการ(ถ้าถือหุ้นไม่มากพอมีอิทธิพลต่อคณะผู้บริหารกิจการ) แค่ได้สิทธิ์ ไปประชุมก็เดินเชิดหน้าว่า เจ้ากิจการ (หน้าไม่อายจริงๆ) อย่ากระนั้นเลย เอาหุ้นมาขายเอากำไรดีกว่า ถ้าคิดว่า อนาคต บจ นี้จะมีกำไรอีก ก็ถือไปนานในอนาคต เพื่อรอคนมาซื้อ 20 บาท หรือ 0.60 บาท แต่หากไม่แน่ใจ (ใครที่แน่ใจ ส่วนมากอ้างว่าดูจาการลงบัญชี ไม่ใช่ตนเองมีธุรกิจแบบเดียวกันมา หรือเคยบริหารแบบธุรกิจนั้นมานานจนรู้ไส้) ก็อาจขายไปก่อน แบบนี้พอเรียกได้ว่า เก็งกำไรมีพื้นฐานจาก ปัจจัยพื้นฐาน
แต่มีพวกที่มีเงินเยอะ แต่เกิดมาทีหลัง นาย บัฟเฟต จะทำอย่างไรดี ในเมื่อ นาย บัฟเฟต เกิดก่อน ไปซื้อ ปตท ราคาจอง 33 บาทเต็มกระบุง แต่คนมาใหม่ มีหลายกระบุงเงินแต่ต้องมาซื้อ 320 บาท ก็จะเกิดการหาวิธีเอากำไรอีกแบบโดย ใช้กระแสความต้องการเป็นหลัก เรียกว่า เก็งกำไร
แต่ต้องหาวิธี ทำให้หุ้น ปตท ในมือ ลดทุนลง จาก 320 บาท ให้เหลือ 300 เพื่อขาย 318 บาทให้ได้ เรียกว่า กลยุทธการลดทุน หรือ กา่รทำกำไรสะสมมาเป็นทุน ที่คนเขาเรียกว่า sap (การโยกราคาหุ้น เพื่อเพิ่มจำนวนซือ้ แต่ลดจำนวนทุนลง)
วิธีการต่าง ๆ มีมากมาย ล้วนเป็นกลยุทธที่ราย ญ ข้ามชาติเขาทำได้ แต่รายย่อยไทย ไม่เคยติด ไม่เคยสน เพราะ ก้มหน้าเล่นหุ้น ตั้งเป้าราคาจากความหวังลม ๆ แล้ง ๆ เพราะได้รับแรงเชียร์จาก นักวิชาการบ้าง จากสื่อบ้าง จากเพื่อนบ้าง โชคดดีที่ีตลาดหุ้นเป็นขาขึ้น แม้ซื้อหุ้นเน่าก็ได้กำไร ก็คิดว่า หุ้นที่ได้กำไรเป็นหุ้นดี หุ้นถูกโฉลก ...ว่ากันไป แต่ความจริงซ่อนอยู่ข้างหลังไม่เคยสนใจเลยนะรายย่อย
ฝากไว้ก่อน สุภาษิต หุ้น กำไรตลาดเป็นผู้ให้ (ไม่ใช่เราฝีมือเยี่ยม มองเห็นอนาคต อะไรหรอก) แต่ขาดทุนคือเราทำเอง (อย่าโทษปี่โทษกลองเลย)