Christian Dior La Collection Privée เป็นน้ำหอม Exclusive line ที่คัดสรร เลือกใช้วัตถุดิบหายากราคาแพง เปรียบเสมือนงานฝีมือชิ้นเอก ที่หาชมได้ยากค่ะ โดยการรังสรรค์น้ำหอมนี้ ใช้ประสบการณ์ และภูมิความรู้และผู้เชี่ยวชาญของดิออร์โดยเฉพาะ
ฟังแนวคิดแล้ว รู้สึกเลยว่า เราแพ้คำโฆษณาอีกแล้ว ต้องรีบไปจับจองมาทดลองเลยค่ะ
หามาประมาณเดือนกว่า ได้มาอยู่ในมือทั้งหมด 6 ขวดจิ๋ว สารภาพตามตรงเลยว่า เราสู้ราคาขวดเต็มไม่ไหวค่ะ อาศัยขอซื้อตัวอย่างจากเพื่อนบ้าง ร้านในเน็ตบ้าง แล้วแต่ดวงเลยทีเดียวค่ะ ว่าแล้วก็เริ่มรีวิวเลยดีกว่า
จากรูปทรงขวดจิ๋วนี้ เป็นการย่อส่วนสัดมาจากขนาดจริงนะคะ ต่างกันที่ขวดจิ๋วเป็นแบบแต้ม และฝาเป็นแบบหมุนเท่านั้นเอง ขวดกลมยาวเรียบง่าย จนบางทีแอบคิดเลยว่า ของแพงนะ อยากให้ขวดสวยกว่านี้จังเลยค่ะ
มีสาวงามท่านหนึ่งเคยกล่าวไว้ น้ำหอม ยิ่งขวดธรรมดาเท่าไหร่ น้ำข้างในยิ่งอัศจรรย์เท่านั้น เรามาดูที่น้ำหอมกันเลยดีกว่านะคะ
Milly-la-Foret
Notes : Citruses , Floral, Musky
Milly-la-Foret เป็นชื่อของเมืองเล็กๆที่อยู่ใกล้กับมหานครปารีส และเป็นสถานที่ที่ คริสเตียน ดิออร์ใช้เวลาร่วมกับมารดาของเขา ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีความทรงจำอันล้ำค่ามากมาย ภายใต้สวนดอกไม้อันแสนร่มรื่น
กลิ่นแรกที่เราสัมผัสได้ คือกลิ่นเขียวของใบไม้สดที่อยู่ตามพุ่มไม้ใบหญ้า จะมีความสดชื่นอยู่ข้างใน และไม่เหม็นเขียวค่ะ พอกลิ่นเขียวๆจางหายไป เราได้กลิ่นของดอกไม้จางๆ เบาๆลอยมา เป็นกลิ่นแบบลมพัดผ่านต้นไม้ดอกไม้ค่ะ หอมสดชื่นดีทีเดียว เป็นกลิ่นหอมอ่อนๆแบบละเมียดละไม เปรียบได้กับสาวน้อยกระโปรงบานฟูฟ่อง กำลังเดินชมสวนยามเช้า เรื่อยๆ มาเรียงๆ ไม่ได้รีบร้อนอะไรค่ะ แต่ในความสดชื่นนั้น กลิ่นไม่ทนเลยค่ะ สามชั่วโมงกลิ่นก็จางไปเสียแล้ว
Grand Bal
Notes : musk, jasmine, orange blossom, ylang-ylang, sandalwood and bergamot
Grand Bal เป็นกลิ่นอีกกลิ่นหนึ่งที่เราหลงรักเลย อาจเป็นเพราะกลิ่นของดอกมะลิที่โดดเด่นเด้งออกมาค่ะ
กลิ่นดอกมะลิของเจ้าขวดนี้ คือดอกมะลิจากเมืองกราซ ว่ากันว่าเป็นกลิ่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว (เราเองยังแยกไม่ออกนะคะ ว่ามะลิแบบไหน มาจากประเทศอะไร อันนี้ จำเค้ามาค่ะ) มาในแนวหวาน หอม แน่น ทรงพลัง แต่แฝงไปด้วยความนุ่มนวล ซึ่งต่างจากดอกมะลิทั่วๆไปที่ออกในแนวเย็นฉ่ำเสียมากกว่านะคะ บวกกับความหวานจากดอกส้มและกระดังงา ทำให้กลิ่นยิ่งแน่นเพิ่มเข้าไปอีก ส่วนความคงทน อยู่กับเราได้หกถึงแปดชั่วโมงค่ะ
กลิ่น Grand Bal นี้ ทำให้เรานึกถึงท่านหญิงในชุดกระโปรงฟูฟ่องสีงาช้างของคริสเตียน ดิออร์ ทั้งหวาน หรูหราในเวลาเดียวกันค่ะ
New Look 1947
Notes : ylang-ylang, iris, Damask rose, Sambac jasmine, peony, vanilla and benzoin
จาก Grandbal ที่อัดแน่นไปด้วยดอกส้ม และดอกมะลิ ผ่านมาเป็น New Look 1947 ซึ่งโดดเด่นด้วยดอกซ่อนกลิ่น ยังคงอยู่ในโหมดดอกไม้สีขาว แนวที่เราปลาบปลื้มเป็นพิเศษนะคะ
เจ้า New Look 1947 เปรียบเสมือนช่อดอกไม้ต่างๆ ที่อ่อนหวาน และสดชื่นไปในเวลาเดียวกันค่ะ ตัวนี้ จะไม่ได้หวานขนาด Granbal แต่ก็ไม่ได้สดชื่นขนาด Milly-la-Foret เรียกว่าเป็นพี่สาวคนกลาง ดูจะเข้าทีกว่านะคะ
ด้วยกลิ่นหอมหวานของกุหลาบมอญ มะลิ พีโอนี และไอริส มาผสานรวมกัน กลายมาเป็นดอกไม้ช่อใหญ่ที่แซมด้วยกระดังงาอยู่รอบทิศทาง กลิ่นจะไม่ได้ไร้เดียงสาจนเกินไป หากแต่ว่ามีความเย้ายวนอยู่ในที อีกทั้งวานิลลา และกำยาน เข้ามาช่วยเพิ่มกลิ่นหวานละมุนมากขึ้นค่ะ
เปรียบเหมือนพี่สาวคนกลาง ที่คอยซุ่มเงียบๆดูท่าที พี่สาวน้องสาว แต่มีเสน่ห์ไม่เบาเลยนะคะ
ความคงทน สำหรับเราอยู่ได้ 8 – 10 ชั่วโมงค่ะ
Oud Ispahan
Top Notes : Labdanum
Middle Notes : Patchouli
Base Notes : Sandalwood, Rose, Agarwood (Oud)
Oud Ispahan สำหรับเรา จัดว่าเป็นกลิ่น unisex สามารถใช้ได้ทั้งชายและหญิงนะคะ เป็นอีกกลิ่นที่คำว่าหรูหรา ก็ไม่สามารถนิยามได้เพียงพอเลยทีเดียวค่ะ
กลิ่นนี้ เป็นการผสมผสานอย่างลงตัวของดอกกุหลาบและไม้กฤษณา ปกติแล้ว เราจะคุ้นชินกับกลิ่นไม้กฤษณาในความหมายของน้ำหอมแขกค่ะ เพราะเป็นส่วนประกอบสำคัญในชีวิตประจำวันของชาวอาหรับเลยก็ว่าได้
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น กลิ่นไม้กฤษณาก็มีหลายระดับความเข้มข้นค่ะ อยู่ที่เทคนิคเฉพาะตัวของผู้ปรุงน้ำหอม ว่าสามารถผสมกลิ่นออกมาได้เข้ากันมากน้อยเพียงใด
กล่าวเวิ่นเว้อมาเยอะ เข้ามาที่กลิ่นนี้เลยดีกว่า สำหรับเราแล้ว กลิ่นกุหลาบแดงเคล้าเบาๆกับไม้หอม และเจือความซ่านิดๆจากใบพิมเสน ทำให้กลิ่นดูไม่แขกจนเกินไป เรานึกถึงขายใส่ชุดสูทราคาแพงสีดำ หน้าตาคมขำ ยิ้มมุมปากเบาๆ ยืนอยู่มุมห้องโถงในงานราตรี แต่ว่ารังสีออร่าพุ่งกระจาย เกินหน้าตาแขกร่วมงานอื่นๆน่ะค่ะ
ความคงทน ของเราได้อยู่ที่ 8 ชั่วโมงโดยประมาณค่ะ ใช้ได้ทั้งเวลาทำงาน และเวลาออกเดทเลย แต่ถ้าตระเวนราตรี เราว่ากลิ่นนี้ดูขรึมไปหน่อยค่ะ
Granville
Fragrance Notes : mandarin, lemon, thyme, rosemary, pine needles, black pepper, sandalwood and gorse
Granville เป็นกลิ่นโทนอโรมาติค สดชื่น ผ่อนคลายค่ะ หญิงชายใช้ได้หมดนะคะ
กลิ่นแรกที่สัมผัสได้เลย คือกลิ่นมะนาวสดและโรสแมรี แต่บางมุมก็แบบคล้ายต้มยำน้ำใสของบ้านเราค่ะ เป็นกลิ่นที่มาแนวสมุนไพร ถ้าใครชอบกลิ่นสปาที่มีสาวนผสมของมะนาว เราว่าเหมาะเหม็งเลย หลังจากกลิ่นมะนาวจางไป เราได้กลิ่นไม้หอมจางๆ แต่ไม่มากค่ะ กลิ่นนี้พาลพาให้เรานึกถึงชายทะเล นั่งจิบคอกเทลเย็นๆ ดูสาวในชุดบิกินี่เล่นบอลชายหาด เหมาะกับวันพักผ่อนจริงเชียว
ความคงทน ตามสไตล์กลิ่นซีตรัสเลยค่ะ ได้ประมาณ 4 -6 ชั่วโมง เติมบ่อยเรียกความสดชื่นได้ดีเลยทีเดียวค่ะ
โอ๊ะ โอ มาถึงกลิ่นสุดท้ายแล้วล่ะค่ะ
Cologne Royale
Notes : citruses, neroli and white musk
ถ้ากลิ่น Granville เป็นกลิ่นของหนุ่มอารมณ์ดี ขี้เล่น เป็นมิตรกับทุกคน Cologne Royale คือเพื่อนสนิทที่บุคลิกเป็นคนสุภาพ นุ่มนวล และอ่อนโยนค่ะ
เพราะกลิ่นนี้ ยังคงเป็นแนวซีตรัส เพียงแต่ว่า เป็นกลิ่นส้มและมะนาวจางๆ ไม่ได้มะนาวเปรี้ยวปรี๊ดเหมือนกับ Granville โทนกลิ่นยังมีความระมัดระวังตัว จากดอกส้ม และความละมุนจากมัสก์ที่ทำให้กลิ่นอ่อนโยนและเป็นมิตร กลิ่นนี้ทำให้เรานึกถึงแฟมิลี่แมน รักลูก รักครอบครัว มีรอยยิ้มให้กับคนในบ้านเสมอค่ะ
กลิ่นนี้เป็นแนว Skin Scent เป็นกลิ่นติดผิวจางๆนะคะ ถ้าอยากให้กลิ่นขัด คงต้องหนักมือหน่อยค่ะ ความคงทน เราอยู่ได้ที่ 4 -6 ชั่วโมง จริงๆแล้วผู้หญิงก็ใช้กลิ่นนี้ได้นะคะ ดูสะอาดสะอ้าน แอบนึกถึงเสื้อเชิ้ตขาวเลยค่ะ
เสียดายนะคะ ที่เราสามารถหามารีวิวได้แค่หกกลิ่น แต่ก็ยังคงตามหาต่อไปค่ะ หวังไว้ในใจลึกๆว่าจะตามเก็บขวดขนาดไซส์จริง และครบทุกกลิ่นให้ได้เลยค่ะ ถึงตอนนั้น คงผอมเพรียวสมใจอยากเลยนะคะ
[CR] เมื่อ gift1801 ลองของแพง Dior La Collection Privée Christian กลิ่นจรุงจิตขนาดไหนกันนะ อยากรู้จริงเชียว
ฟังแนวคิดแล้ว รู้สึกเลยว่า เราแพ้คำโฆษณาอีกแล้ว ต้องรีบไปจับจองมาทดลองเลยค่ะ
หามาประมาณเดือนกว่า ได้มาอยู่ในมือทั้งหมด 6 ขวดจิ๋ว สารภาพตามตรงเลยว่า เราสู้ราคาขวดเต็มไม่ไหวค่ะ อาศัยขอซื้อตัวอย่างจากเพื่อนบ้าง ร้านในเน็ตบ้าง แล้วแต่ดวงเลยทีเดียวค่ะ ว่าแล้วก็เริ่มรีวิวเลยดีกว่า
จากรูปทรงขวดจิ๋วนี้ เป็นการย่อส่วนสัดมาจากขนาดจริงนะคะ ต่างกันที่ขวดจิ๋วเป็นแบบแต้ม และฝาเป็นแบบหมุนเท่านั้นเอง ขวดกลมยาวเรียบง่าย จนบางทีแอบคิดเลยว่า ของแพงนะ อยากให้ขวดสวยกว่านี้จังเลยค่ะ
มีสาวงามท่านหนึ่งเคยกล่าวไว้ น้ำหอม ยิ่งขวดธรรมดาเท่าไหร่ น้ำข้างในยิ่งอัศจรรย์เท่านั้น เรามาดูที่น้ำหอมกันเลยดีกว่านะคะ
Milly-la-Foret
Notes : Citruses , Floral, Musky
Milly-la-Foret เป็นชื่อของเมืองเล็กๆที่อยู่ใกล้กับมหานครปารีส และเป็นสถานที่ที่ คริสเตียน ดิออร์ใช้เวลาร่วมกับมารดาของเขา ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีความทรงจำอันล้ำค่ามากมาย ภายใต้สวนดอกไม้อันแสนร่มรื่น
กลิ่นแรกที่เราสัมผัสได้ คือกลิ่นเขียวของใบไม้สดที่อยู่ตามพุ่มไม้ใบหญ้า จะมีความสดชื่นอยู่ข้างใน และไม่เหม็นเขียวค่ะ พอกลิ่นเขียวๆจางหายไป เราได้กลิ่นของดอกไม้จางๆ เบาๆลอยมา เป็นกลิ่นแบบลมพัดผ่านต้นไม้ดอกไม้ค่ะ หอมสดชื่นดีทีเดียว เป็นกลิ่นหอมอ่อนๆแบบละเมียดละไม เปรียบได้กับสาวน้อยกระโปรงบานฟูฟ่อง กำลังเดินชมสวนยามเช้า เรื่อยๆ มาเรียงๆ ไม่ได้รีบร้อนอะไรค่ะ แต่ในความสดชื่นนั้น กลิ่นไม่ทนเลยค่ะ สามชั่วโมงกลิ่นก็จางไปเสียแล้ว
Grand Bal
Notes : musk, jasmine, orange blossom, ylang-ylang, sandalwood and bergamot
Grand Bal เป็นกลิ่นอีกกลิ่นหนึ่งที่เราหลงรักเลย อาจเป็นเพราะกลิ่นของดอกมะลิที่โดดเด่นเด้งออกมาค่ะ
กลิ่นดอกมะลิของเจ้าขวดนี้ คือดอกมะลิจากเมืองกราซ ว่ากันว่าเป็นกลิ่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว (เราเองยังแยกไม่ออกนะคะ ว่ามะลิแบบไหน มาจากประเทศอะไร อันนี้ จำเค้ามาค่ะ) มาในแนวหวาน หอม แน่น ทรงพลัง แต่แฝงไปด้วยความนุ่มนวล ซึ่งต่างจากดอกมะลิทั่วๆไปที่ออกในแนวเย็นฉ่ำเสียมากกว่านะคะ บวกกับความหวานจากดอกส้มและกระดังงา ทำให้กลิ่นยิ่งแน่นเพิ่มเข้าไปอีก ส่วนความคงทน อยู่กับเราได้หกถึงแปดชั่วโมงค่ะ
กลิ่น Grand Bal นี้ ทำให้เรานึกถึงท่านหญิงในชุดกระโปรงฟูฟ่องสีงาช้างของคริสเตียน ดิออร์ ทั้งหวาน หรูหราในเวลาเดียวกันค่ะ
New Look 1947
Notes : ylang-ylang, iris, Damask rose, Sambac jasmine, peony, vanilla and benzoin
จาก Grandbal ที่อัดแน่นไปด้วยดอกส้ม และดอกมะลิ ผ่านมาเป็น New Look 1947 ซึ่งโดดเด่นด้วยดอกซ่อนกลิ่น ยังคงอยู่ในโหมดดอกไม้สีขาว แนวที่เราปลาบปลื้มเป็นพิเศษนะคะ
เจ้า New Look 1947 เปรียบเสมือนช่อดอกไม้ต่างๆ ที่อ่อนหวาน และสดชื่นไปในเวลาเดียวกันค่ะ ตัวนี้ จะไม่ได้หวานขนาด Granbal แต่ก็ไม่ได้สดชื่นขนาด Milly-la-Foret เรียกว่าเป็นพี่สาวคนกลาง ดูจะเข้าทีกว่านะคะ
ด้วยกลิ่นหอมหวานของกุหลาบมอญ มะลิ พีโอนี และไอริส มาผสานรวมกัน กลายมาเป็นดอกไม้ช่อใหญ่ที่แซมด้วยกระดังงาอยู่รอบทิศทาง กลิ่นจะไม่ได้ไร้เดียงสาจนเกินไป หากแต่ว่ามีความเย้ายวนอยู่ในที อีกทั้งวานิลลา และกำยาน เข้ามาช่วยเพิ่มกลิ่นหวานละมุนมากขึ้นค่ะ
เปรียบเหมือนพี่สาวคนกลาง ที่คอยซุ่มเงียบๆดูท่าที พี่สาวน้องสาว แต่มีเสน่ห์ไม่เบาเลยนะคะ
ความคงทน สำหรับเราอยู่ได้ 8 – 10 ชั่วโมงค่ะ
Oud Ispahan
Top Notes : Labdanum
Middle Notes : Patchouli
Base Notes : Sandalwood, Rose, Agarwood (Oud)
Oud Ispahan สำหรับเรา จัดว่าเป็นกลิ่น unisex สามารถใช้ได้ทั้งชายและหญิงนะคะ เป็นอีกกลิ่นที่คำว่าหรูหรา ก็ไม่สามารถนิยามได้เพียงพอเลยทีเดียวค่ะ
กลิ่นนี้ เป็นการผสมผสานอย่างลงตัวของดอกกุหลาบและไม้กฤษณา ปกติแล้ว เราจะคุ้นชินกับกลิ่นไม้กฤษณาในความหมายของน้ำหอมแขกค่ะ เพราะเป็นส่วนประกอบสำคัญในชีวิตประจำวันของชาวอาหรับเลยก็ว่าได้
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น กลิ่นไม้กฤษณาก็มีหลายระดับความเข้มข้นค่ะ อยู่ที่เทคนิคเฉพาะตัวของผู้ปรุงน้ำหอม ว่าสามารถผสมกลิ่นออกมาได้เข้ากันมากน้อยเพียงใด
กล่าวเวิ่นเว้อมาเยอะ เข้ามาที่กลิ่นนี้เลยดีกว่า สำหรับเราแล้ว กลิ่นกุหลาบแดงเคล้าเบาๆกับไม้หอม และเจือความซ่านิดๆจากใบพิมเสน ทำให้กลิ่นดูไม่แขกจนเกินไป เรานึกถึงขายใส่ชุดสูทราคาแพงสีดำ หน้าตาคมขำ ยิ้มมุมปากเบาๆ ยืนอยู่มุมห้องโถงในงานราตรี แต่ว่ารังสีออร่าพุ่งกระจาย เกินหน้าตาแขกร่วมงานอื่นๆน่ะค่ะ
ความคงทน ของเราได้อยู่ที่ 8 ชั่วโมงโดยประมาณค่ะ ใช้ได้ทั้งเวลาทำงาน และเวลาออกเดทเลย แต่ถ้าตระเวนราตรี เราว่ากลิ่นนี้ดูขรึมไปหน่อยค่ะ
Granville
Fragrance Notes : mandarin, lemon, thyme, rosemary, pine needles, black pepper, sandalwood and gorse
Granville เป็นกลิ่นโทนอโรมาติค สดชื่น ผ่อนคลายค่ะ หญิงชายใช้ได้หมดนะคะ
กลิ่นแรกที่สัมผัสได้เลย คือกลิ่นมะนาวสดและโรสแมรี แต่บางมุมก็แบบคล้ายต้มยำน้ำใสของบ้านเราค่ะ เป็นกลิ่นที่มาแนวสมุนไพร ถ้าใครชอบกลิ่นสปาที่มีสาวนผสมของมะนาว เราว่าเหมาะเหม็งเลย หลังจากกลิ่นมะนาวจางไป เราได้กลิ่นไม้หอมจางๆ แต่ไม่มากค่ะ กลิ่นนี้พาลพาให้เรานึกถึงชายทะเล นั่งจิบคอกเทลเย็นๆ ดูสาวในชุดบิกินี่เล่นบอลชายหาด เหมาะกับวันพักผ่อนจริงเชียว
ความคงทน ตามสไตล์กลิ่นซีตรัสเลยค่ะ ได้ประมาณ 4 -6 ชั่วโมง เติมบ่อยเรียกความสดชื่นได้ดีเลยทีเดียวค่ะ
โอ๊ะ โอ มาถึงกลิ่นสุดท้ายแล้วล่ะค่ะ
Cologne Royale
Notes : citruses, neroli and white musk
ถ้ากลิ่น Granville เป็นกลิ่นของหนุ่มอารมณ์ดี ขี้เล่น เป็นมิตรกับทุกคน Cologne Royale คือเพื่อนสนิทที่บุคลิกเป็นคนสุภาพ นุ่มนวล และอ่อนโยนค่ะ
เพราะกลิ่นนี้ ยังคงเป็นแนวซีตรัส เพียงแต่ว่า เป็นกลิ่นส้มและมะนาวจางๆ ไม่ได้มะนาวเปรี้ยวปรี๊ดเหมือนกับ Granville โทนกลิ่นยังมีความระมัดระวังตัว จากดอกส้ม และความละมุนจากมัสก์ที่ทำให้กลิ่นอ่อนโยนและเป็นมิตร กลิ่นนี้ทำให้เรานึกถึงแฟมิลี่แมน รักลูก รักครอบครัว มีรอยยิ้มให้กับคนในบ้านเสมอค่ะ
กลิ่นนี้เป็นแนว Skin Scent เป็นกลิ่นติดผิวจางๆนะคะ ถ้าอยากให้กลิ่นขัด คงต้องหนักมือหน่อยค่ะ ความคงทน เราอยู่ได้ที่ 4 -6 ชั่วโมง จริงๆแล้วผู้หญิงก็ใช้กลิ่นนี้ได้นะคะ ดูสะอาดสะอ้าน แอบนึกถึงเสื้อเชิ้ตขาวเลยค่ะ
เสียดายนะคะ ที่เราสามารถหามารีวิวได้แค่หกกลิ่น แต่ก็ยังคงตามหาต่อไปค่ะ หวังไว้ในใจลึกๆว่าจะตามเก็บขวดขนาดไซส์จริง และครบทุกกลิ่นให้ได้เลยค่ะ ถึงตอนนั้น คงผอมเพรียวสมใจอยากเลยนะคะ