ไม่ดราม่านะ ถกกันด้วยเหตุผล เป็นการตั้งข้อสังเกตเฉยๆ
วิทยาศาสตร์ประสพความสำเร็จมากกว่าศาสนาเพราะไม่มี "ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูติ" ใช่หรือเปล่า?
สันทิฏฐิโก ( เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติ พึงเห็นได้ด้วยตนเอง ) ข้อนี้ทางวิทยาศาสตร์ก็มีคือนักวิทย์ทำการศึกษาทดลองสิ่งต่างๆ เช่นการค้นพบอิเล็กตรอน การค้นพบดาวพลูโต ใครศึกษาค้นคว้าก็รู้ได้
อะกาลิโก ( เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ และให้ผลได้ไม่จำกัดกาล ) ข้อนี้ทางศาสนาพุทธก็มีเรื่องจริยศาสตร์ ที่เป็น universal สามารถใช้ได้ทุกสมัย ในวิทยาศาสตร์ ความรู้ทางด้าน ฟิสิกส์ และคณิตศาสตร์ก็เป็นจริงไม่จำกัดกาล ค่าไพก็ยังเท่าเดิมตลอดไม่ว่าใครจะมาเป็นนายก ไม่ว่าเอกภพจะผ่านไปกี่พันล้านปี ค่าไพก็จักยังคงเดิม
เอหิปัสสิโก ( เป็นสิ่งที่ควรกล่าวกะผู้อื่นว่าท่านจงมาดูเถิด ) อันนี้ศาสนาพุทธถ้ารู้ไว้ก็จะประพฤติปฎิบัติตนเป็นคนดีต่อตนเอง ต่อสังคม ต่อเพื่อนร่วมโลก รู้ด้านวิทยาศาสตร์ก็ทำให้เข้าใจถูกต้อง สามารถเอาไปประยุกต์ใช้ประโยชน์แก่มนุษย์ได้มากมาย เช่นเข้าใจเรื่องหลักของแบลูนี เรื่องการไหลของของไหลก็สามารถสร้างเครื่องบินโดยสารคนให้บินบนอากาศได้ สะดวกมากๆ และสิ่งประดิษฐ์อื่นๆอีกมากมาย
โอปะนะยิโก ( เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว ) อันนี้ก็คล้ายๆข้อที่ผ่านมา ถ้าตัวเองศึกษาทั้งวิทยาศาสตร์และพุทธศาสนา ต่างก็ได้ประโยชน์แก่ตนเองทั้งคู่
ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญู
ติ. ( เป็นสิ่งที่ผู้รู้ พึงรู้ได้เฉพาะตน ดังนี้ ฯ )
แต่อันนี้ขัดกัน ของวิทยาศาสตร์สามารถบอกต่อ ส่งต่อความรู้กันได้ ใครรู้ ค้นพบ เรื่องไหนก็อธิบายให้แก่คนอื่นๆได้ คนอื่นๆสามารถทำการทดลองซ้ำได้ สามารถยืนยันและหักล้างทฤษฎีต่างๆได้โดยนักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ ถ้าทดลองซ้ำบ่อยๆและผลคงเดิมถูกต้องกับสมมติฐานก็ตั้งเป็นหลักการ กฎ ทฤษฎีต่อไป รู้อะไรก็มาแบ่งกัน เขียนจดหมายแลกเปลี่ยนความรู้ ถ้าเป็นปัจจุบันก็เขียนบทความลงวารสารวิชาการ แลกเปลี่ยนความรู้กัน ส่งต่อความรู้กันได้ ไม่จำเป็นว่า
เป็นสิ่งที่ผู้รู้ พึงรู้ได้เฉพาะตน
แต่ศาสนาพุทธจำกัดว่า เป็นสิ่งที่ผู้รู้ พึงรู้ได้เฉพาะตน ทีนี้จึงเกิดปัญหา เพราะไม่รู้ว่าถูกต้องหรือเปล่า เช่นมีคนอ้างว่า นั่งสมาธิแล้วเห็นอดีตชาติได้ แต่คนอื่นทำแล้วไม่เห็น เขาบอกว่า เป็นสิ่งที่ผู้รู้ พึงรู้ได้เฉพาะตน ก็ไม่รู้สิ่งที่เขาเห็นเป็นเรื่องจริงหรือปรุงแต่ง
เป็นสิ่งที่ผู้รู้ พึงรู้ได้เฉพาะตน เป็นการขัดกับ Falsifiability ในวิทยาศาสตร์
เป็นการห้ามการพิสูจน์ เป็นข้ออ้างให้ผู้หลอกลวงใช้หลักการนี้มาหลอกลวงคนอื่น
วิทยาศาสตร์ประสพความสำเร็จมากกว่าศาสนาเพราะไม่มี "ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูติ" ใช่หรือเปล่า?
วิทยาศาสตร์ประสพความสำเร็จมากกว่าศาสนาเพราะไม่มี "ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญู:)ติ" ใช่หรือเปล่า?
วิทยาศาสตร์ประสพความสำเร็จมากกว่าศาสนาเพราะไม่มี "ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูติ" ใช่หรือเปล่า?
สันทิฏฐิโก ( เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติ พึงเห็นได้ด้วยตนเอง ) ข้อนี้ทางวิทยาศาสตร์ก็มีคือนักวิทย์ทำการศึกษาทดลองสิ่งต่างๆ เช่นการค้นพบอิเล็กตรอน การค้นพบดาวพลูโต ใครศึกษาค้นคว้าก็รู้ได้
อะกาลิโก ( เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ และให้ผลได้ไม่จำกัดกาล ) ข้อนี้ทางศาสนาพุทธก็มีเรื่องจริยศาสตร์ ที่เป็น universal สามารถใช้ได้ทุกสมัย ในวิทยาศาสตร์ ความรู้ทางด้าน ฟิสิกส์ และคณิตศาสตร์ก็เป็นจริงไม่จำกัดกาล ค่าไพก็ยังเท่าเดิมตลอดไม่ว่าใครจะมาเป็นนายก ไม่ว่าเอกภพจะผ่านไปกี่พันล้านปี ค่าไพก็จักยังคงเดิม
เอหิปัสสิโก ( เป็นสิ่งที่ควรกล่าวกะผู้อื่นว่าท่านจงมาดูเถิด ) อันนี้ศาสนาพุทธถ้ารู้ไว้ก็จะประพฤติปฎิบัติตนเป็นคนดีต่อตนเอง ต่อสังคม ต่อเพื่อนร่วมโลก รู้ด้านวิทยาศาสตร์ก็ทำให้เข้าใจถูกต้อง สามารถเอาไปประยุกต์ใช้ประโยชน์แก่มนุษย์ได้มากมาย เช่นเข้าใจเรื่องหลักของแบลูนี เรื่องการไหลของของไหลก็สามารถสร้างเครื่องบินโดยสารคนให้บินบนอากาศได้ สะดวกมากๆ และสิ่งประดิษฐ์อื่นๆอีกมากมาย
โอปะนะยิโก ( เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว ) อันนี้ก็คล้ายๆข้อที่ผ่านมา ถ้าตัวเองศึกษาทั้งวิทยาศาสตร์และพุทธศาสนา ต่างก็ได้ประโยชน์แก่ตนเองทั้งคู่
ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูติ. ( เป็นสิ่งที่ผู้รู้ พึงรู้ได้เฉพาะตน ดังนี้ ฯ ) แต่อันนี้ขัดกัน ของวิทยาศาสตร์สามารถบอกต่อ ส่งต่อความรู้กันได้ ใครรู้ ค้นพบ เรื่องไหนก็อธิบายให้แก่คนอื่นๆได้ คนอื่นๆสามารถทำการทดลองซ้ำได้ สามารถยืนยันและหักล้างทฤษฎีต่างๆได้โดยนักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ ถ้าทดลองซ้ำบ่อยๆและผลคงเดิมถูกต้องกับสมมติฐานก็ตั้งเป็นหลักการ กฎ ทฤษฎีต่อไป รู้อะไรก็มาแบ่งกัน เขียนจดหมายแลกเปลี่ยนความรู้ ถ้าเป็นปัจจุบันก็เขียนบทความลงวารสารวิชาการ แลกเปลี่ยนความรู้กัน ส่งต่อความรู้กันได้ ไม่จำเป็นว่า เป็นสิ่งที่ผู้รู้ พึงรู้ได้เฉพาะตน
แต่ศาสนาพุทธจำกัดว่า เป็นสิ่งที่ผู้รู้ พึงรู้ได้เฉพาะตน ทีนี้จึงเกิดปัญหา เพราะไม่รู้ว่าถูกต้องหรือเปล่า เช่นมีคนอ้างว่า นั่งสมาธิแล้วเห็นอดีตชาติได้ แต่คนอื่นทำแล้วไม่เห็น เขาบอกว่า เป็นสิ่งที่ผู้รู้ พึงรู้ได้เฉพาะตน ก็ไม่รู้สิ่งที่เขาเห็นเป็นเรื่องจริงหรือปรุงแต่ง
เป็นสิ่งที่ผู้รู้ พึงรู้ได้เฉพาะตน เป็นการขัดกับ Falsifiability ในวิทยาศาสตร์
เป็นการห้ามการพิสูจน์ เป็นข้ออ้างให้ผู้หลอกลวงใช้หลักการนี้มาหลอกลวงคนอื่น
วิทยาศาสตร์ประสพความสำเร็จมากกว่าศาสนาเพราะไม่มี "ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูติ" ใช่หรือเปล่า?