พุทธศาสนา มันเป็นเรื่องของการปฏิบัติในรูปแบบของวิทยาศาสตร์ เราจะไม่เรียกว่าพุทธศาสนาเป็นปรัชญา เพราะว่าเมื่อถึงตัวพุทธศาสนาจริง ๆ มันต้องทำให้ประจักษ์เป็นเรื่องจริง เป็นสันทิฏฐิโก มันมีลักษณะเป็นวิทยาศาสตร์ ฉะนั้นพุทธศาสนาโดยเนื้อแท้เป็นวิทยาศาสตร์ไม่ใช่ปรัชญา แต่วิธีพูดในบางเรื่องบางกรณี ในการเริ่มต้นหรือในการพูดอย่างหลักปรัชญา มันก็มีเหมือนกัน แต่ว่าไอ้ตัวมันแท้ ๆนั้น มันเป็นพรหมจรรย์เป็นตัวการประพฤติปฏิบัติ ไม่ใช่เพียงแต่วางหลัก ฉะนั้นเราจะไม่ถือว่าพุทธศาสนาเป็นเพียงปรัชญาสายหนึ่ง มันไม่ถูก มันไม่จริง มันไม่ยุติธรรม
.
พุทธศาสนามันเป็นการปฏิบัติในรูปแบบของศาสนา มันเป็นศาสนาหนึ่ง ไม่ใช่เป็นเพียงปรัชญาแนวหนึ่ง แต่ว่าในรูปแบบของพระศาสนานี้มันเป็นลักษณะเหมือนกับวิทยาศาสตร์ เป็นวิถีทางวิทยาศาสตร์ มีวิธีการอย่างวิทยาศาสตร์ คือต้องเอาของจริง มา ดู ใคร่ครวญ แจ่มแจ้ง และจัดการลงไป โดยประจักษ์แก่ใจอยู่เสมอ ความที่ประจักษ์แก่ใจอยู่เสมอนี้ ไม่ต้องคำนึง คำนวณ ดังนั้นมันจึงไม่ใช่ปรัชญา แต่มันเป็นลักษณะเหมือนกับวิทยาศาสตร์ ไอ้ ความที่ประจักษ์แก่ใจอยู่เสมอนี้ เราเรียกว่าสันทิฏฐิโก
.
คุณก็ท่องอยู่ทุกวันนี่ พอช่วงทำวัตรเย็น มันก็มี สวากขาโต ภควตา ธัมโม สันทิฏฐิโก อกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปนยิโก ปัจจังตัง เวทิตัพโพ นี่ท่องอยู่ทุกวัน ให้เข้าใจคำเหล่านี้แหละ แล้วก็จะรู้ว่าพระธรรม พระธรรมหรือพระศาสนานั้นน่ะ มันมีลักษณะเป็นวิทยาศาสตร์ ข้อที่เป็นสันทิฏฐิโกนะ ยิ่งเป็นวิทยาศาสตร์ที่สุด คือต้องประจักษ์แก่ตา หรือตาปัญญาอยู่เสมอ
.
อกาลิโก ไม่ขึ้นอยู่กับเวลานั่นแหละมันยิ่งเป็นวิทยาศาสตร์ มันมีลักษณะมีกิริยาเมื่อไรก็มีปฏิกิริยาเมื่อนั้น เรียกว่าอกาลิโก
.
เอหิปัสสิโก มันมีตัวอยู่จริง เรียกมาดูได้ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ถ้าสวรรค์หรือนรกก็ตามมันอยู่ชาติหน้า แล้วจะเรียกใครมาดูได้ละ ความเป็นเอหิปัสสิโก มันก็มีไม่ได้เป็นไม่ได้
.
โอปนยิโก ควรน้อมเข้ามาใส่ตัวนี่ มันยิ่งเป็นวิทยาศาสตร์เพราะมันเป็นสิ่งที่ทำได้ จัดการให้เป็นประโยชน์ขึ้นมาได้ ไม่ใช่เป็นเรื่องของคำนวณหรือความรู้แห่งการคำนวณ ซึ่งเป็นปรัชญา และข้อสุดท้าย ปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิ เฉพาะตน ๆ เพราะมันเป็นเรื่องทางจิตใจที่ต้องเห็นด้วยใจของตน ก็กลายเป็นเรื่องเฉพาะตน แต่มันก็มีความหมายของสันทิฎฐิโกรวมอยู่ด้วยในบทนี้ด้วยนะ
.
ปัจจัตตังเวทิตัพโพ นี่คือเป็นเอง สันทิฏฐิโกเห็นเอง พอมาถึงปัจจัตตังเวทิตัพโพ นี่โดยเฉพาะตนเติมเข้ามา เห็นเองเฉพาะตน แล้วก็มีคำว่าวิญญูหิอยู่ด้วย
.
วิญญูหินั้นก็แปลว่าคนที่มีปัญญาตามปกตินะ คนโง่ คนบ้า คนใบ้ คนปัญญาอ่อน ไม่รวมอยู่ในคำว่าวิญญูหินะ เพราะฉะนั้นมันจึงไม่สำเร็จประโยชน์แก่คนโง่ คนปัญญาอ่อน บ้าใบ้ เพราะมันไม่รวมอยู่ในคำว่าวิญญูหิ ฉะนั้นจึงได้เฉพาะไอ้คนที่ปกติและก็มีปัญญา เป็นคนปกติมีปัญญาหรือคนมีปัญญาเป็นปกตินั่นแหละ มันก็เป็นวิญญูหิ พอจะรู้ธรรมะได้ ถ้าคนพาล คนโง่ คนหลง คนปัญญาอ่อนมันไม่ได้ ยกออกไปเสีย ก็เป็นอภพฺพสัตว์ อภัพบุคคลไม่อาจจะเข้าใจได้
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : อบรมพระนวกะ ตอบปัญหาครั้งที่ ๘
พุทธศาสนาที่แท้จริง ไม่ใช่ปรัชญา
.
พุทธศาสนามันเป็นการปฏิบัติในรูปแบบของศาสนา มันเป็นศาสนาหนึ่ง ไม่ใช่เป็นเพียงปรัชญาแนวหนึ่ง แต่ว่าในรูปแบบของพระศาสนานี้มันเป็นลักษณะเหมือนกับวิทยาศาสตร์ เป็นวิถีทางวิทยาศาสตร์ มีวิธีการอย่างวิทยาศาสตร์ คือต้องเอาของจริง มา ดู ใคร่ครวญ แจ่มแจ้ง และจัดการลงไป โดยประจักษ์แก่ใจอยู่เสมอ ความที่ประจักษ์แก่ใจอยู่เสมอนี้ ไม่ต้องคำนึง คำนวณ ดังนั้นมันจึงไม่ใช่ปรัชญา แต่มันเป็นลักษณะเหมือนกับวิทยาศาสตร์ ไอ้ ความที่ประจักษ์แก่ใจอยู่เสมอนี้ เราเรียกว่าสันทิฏฐิโก
.
คุณก็ท่องอยู่ทุกวันนี่ พอช่วงทำวัตรเย็น มันก็มี สวากขาโต ภควตา ธัมโม สันทิฏฐิโก อกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปนยิโก ปัจจังตัง เวทิตัพโพ นี่ท่องอยู่ทุกวัน ให้เข้าใจคำเหล่านี้แหละ แล้วก็จะรู้ว่าพระธรรม พระธรรมหรือพระศาสนานั้นน่ะ มันมีลักษณะเป็นวิทยาศาสตร์ ข้อที่เป็นสันทิฏฐิโกนะ ยิ่งเป็นวิทยาศาสตร์ที่สุด คือต้องประจักษ์แก่ตา หรือตาปัญญาอยู่เสมอ
.
อกาลิโก ไม่ขึ้นอยู่กับเวลานั่นแหละมันยิ่งเป็นวิทยาศาสตร์ มันมีลักษณะมีกิริยาเมื่อไรก็มีปฏิกิริยาเมื่อนั้น เรียกว่าอกาลิโก
.
เอหิปัสสิโก มันมีตัวอยู่จริง เรียกมาดูได้ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ถ้าสวรรค์หรือนรกก็ตามมันอยู่ชาติหน้า แล้วจะเรียกใครมาดูได้ละ ความเป็นเอหิปัสสิโก มันก็มีไม่ได้เป็นไม่ได้
.
โอปนยิโก ควรน้อมเข้ามาใส่ตัวนี่ มันยิ่งเป็นวิทยาศาสตร์เพราะมันเป็นสิ่งที่ทำได้ จัดการให้เป็นประโยชน์ขึ้นมาได้ ไม่ใช่เป็นเรื่องของคำนวณหรือความรู้แห่งการคำนวณ ซึ่งเป็นปรัชญา และข้อสุดท้าย ปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิ เฉพาะตน ๆ เพราะมันเป็นเรื่องทางจิตใจที่ต้องเห็นด้วยใจของตน ก็กลายเป็นเรื่องเฉพาะตน แต่มันก็มีความหมายของสันทิฎฐิโกรวมอยู่ด้วยในบทนี้ด้วยนะ
.
ปัจจัตตังเวทิตัพโพ นี่คือเป็นเอง สันทิฏฐิโกเห็นเอง พอมาถึงปัจจัตตังเวทิตัพโพ นี่โดยเฉพาะตนเติมเข้ามา เห็นเองเฉพาะตน แล้วก็มีคำว่าวิญญูหิอยู่ด้วย
.
วิญญูหินั้นก็แปลว่าคนที่มีปัญญาตามปกตินะ คนโง่ คนบ้า คนใบ้ คนปัญญาอ่อน ไม่รวมอยู่ในคำว่าวิญญูหินะ เพราะฉะนั้นมันจึงไม่สำเร็จประโยชน์แก่คนโง่ คนปัญญาอ่อน บ้าใบ้ เพราะมันไม่รวมอยู่ในคำว่าวิญญูหิ ฉะนั้นจึงได้เฉพาะไอ้คนที่ปกติและก็มีปัญญา เป็นคนปกติมีปัญญาหรือคนมีปัญญาเป็นปกตินั่นแหละ มันก็เป็นวิญญูหิ พอจะรู้ธรรมะได้ ถ้าคนพาล คนโง่ คนหลง คนปัญญาอ่อนมันไม่ได้ ยกออกไปเสีย ก็เป็นอภพฺพสัตว์ อภัพบุคคลไม่อาจจะเข้าใจได้
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : อบรมพระนวกะ ตอบปัญหาครั้งที่ ๘