ออกตัวไว้ก่อนเลยนะครับ นี่เป็นกระทู้แรก ผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
เรื่องมันมีอยู่ว่า ผมขึ้นไปเชียงใหม่ ไปหาที่พัก และ หางาน เพราะผมสมัครเรียนราชภัฎเอาไว้ เป็นภาคพิเศษ เสาร์-อาทิตย์ อยู่ได้ประมาณสัปดาห์กว่าๆ ได้ที่พักแล้ว งานมีติดต่อมาบ้าง แต่ติดเรื่องไม่มีพาหนะใช้ ผมเลยต้องกลับมาทำธุระที่กรุงเทพฯ คือ ขายมอเตอร์ไซค์ และเตรียมไปซื้อรถใหม่อีกที ที่ผมขึ้นไปผมเอาจักรยานไปใช้
เข้าเรื่องดีกว่า 5:50ผมปั่นจักรยานมาถึงสถานีรถไฟเชียงใหม่ จัดแจงขอตั๋วฟรี และฝากจักรยานขึ้นกับตู้สัมภาระ พอจัดแจงเรื่องตั๋วเสร็จ ผมก็จูงจักรยานมารอที่ ชานชลาที่4 ระหว่างที่จูงจักรยานมา สายตาผมเหลือบไปเห็นผู้หญิงคนนึง เธอแต่งตัวธรรมดา เสื้อยืดกางเกกงสีดำ สวมเชิ๊ตยีนส์ทับอีก1ตัว รวบผมไว้กลางหัว ดูกลมกลืนกับผู้คน แต่ผมก็ไม่รู้ว่าทำไม ผมถึงได้สะดุดตาเธอคนนี้ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะตอนนั้นหิวมากครับ จัดแจงหาซื้อมาม่าพอประทังชีพไป จากนั้นก็จูงจักรยานไปรอที่ ส่วนหัวขบวน เพื่อรอฝากขึ้นตู้สัมภาระ หลังจากที่ผมจัดการเจ้ามาม่าคัพ และฝากจักรยานขึ้นไปเสร็จเรียบร้อย ผมก็เดินมารอขึ้นโดยสารที่ตู้โดยสาร หมายเลข8 มันช่างบังเอิญเหลือเกิน ที่ผมมาต่อคิวขึ้นรถไฟจากเธอ ยิ่งทำให้มองเธอถึงแม้จะเป็นจากด้านหลัง เธอดูน่ารักมากครับ ดูแนวๆดี(เหมือนโรคจิตเลยเรา) ต่อคิวได้อึดใจนึงยังไม่ทันได้ขึ้นรถ ผมก็เดินไปซื้อน้ำที่ตู้ขายของ ในชานชลา หันมาอีกที คนขึ้นรถไฟกันหมดแล้ว ผมเดินขึ้นรถไฟ มองหาที่นั่ง ผมมองหาเลขที่นั่งเหนือพนักพิง ปรากฎว่าไม่มี เลยคิดว่านั่งมั่วๆไปแล้วกันวะ(ขามาตู้ที่ผมนั่งเลขที่นั่งมันอยู่เหนือพนักพิง) เดินไปเรื่อยๆจึงถึงบางอ้อ มันอยู่ข้างหน้าต่าง ผมเดินไล่เลขที่นั่งไปเรื่อยๆ ผมได้เลขที่ 68 จนหันไปเจอเลข68เข้า มันเขียนเอาไว้ว่า 68ติดริมทางเดิน จากนั้นผมก็มองไปดูที่ผู้ร่วมชะตากรรม ผมเห็นยาย2คนนั่งด้านริมหน้าต่าง และที่ไม่น่าเชื่อ ผู้หญิงที่ผมแอบมองที่ชานชลา เธอได้ที่นั่งตรงข้ามกับผม วินาทีนั้นหัวใจผมพองโต รู้สึกตื่นเต้น มันเหมือนเราอมยิ้มอยู่ในใจ เพราะปกติผมเป็นคนไม่แสดงอารมณ์ทางสีหน้าอยู่แล้ว นอกจากยิ้มและพยักหน้าพอเป็นมารยาท เวลามีคนคุยกับเรา(เป็นพวกหน้าตาย) พอผมนั่งลง แล้วหันไปยิ้มให้ยายที่นั่งข้างๆ ยายแกยิ้มตอบ
แล้วถามผมแบบคนมีอัธยาศัยดีว่า "ลงไหนล่ะหนู"
ผมตอบว่า "ลงสามเสนครับ"
พร้อมกับพยักหน้าและยิ้มให้แก ในส่วนของการสนทนาระหว่างผมกับยายนั้น ผมขอข้ามไปเลยนะครับ เพราะจิตใจผมไม่ได้โฟกัสอยู่ที่ตรงนั้นเท่าไรแล้ว เท่าที่คุยกันพอจะสรุปใจความได้ว่า ยายที่นั่งข้างๆผม แกอายุ87ปีแล้ว แกท่องเที่ยวคนเดียวแต่ก็ยังดูแข็งแรงอยู่มากเลยทีเดียว ไม่ว่าจะลุกจะนั่งก็ดูกระฉับกระเฉงดี ส่วนยายที่นั่งอยู่เยื้องๆกับผม แกอายุ77ปี ลูกหลานแกเยอะมีอยู่หลายจังหวัด แกกำลังจะเดินทางไปกรุงเทพเหมือนผม แต่จะแวะพักกับลูกที่นครสวรรค์ก่อน1คืน เพราะเดินทางรวดเดียวไม่ไหว ส่วนสาวที่ผมแอบมองมาตั้งแต่ที่ชานชลานั้น เธอนั่งเงียบไม่พูดจากับใคร ดูวิวนอกหน้าต่างไปเรื่อย ส่วนตัวผมก็แอบมองเธออยู่เนืองๆ มีมองหน้าตรงๆพร้อมกับยิ้มน้อยๆให้บ้าง แต่เธอก็ดูจะไม่สนใจ เธอมองวิวออกทางหน้าต่าง ส่วนตัวผมนั้นชอบดูวิวอยู่แล้ว อีกอย่างรถไฟสายเหนือถือเป็นอะไรที่ใหม่กับผมมาก(เพราะขามา มาถึงปลายทางในช่วงเช้ามืด ทำให้ไม่เห็วิวอะไรมากนัก) ผมก็มองออกนอกหน้าต่างเหมือนกัน บางทีก็แกล้งหันไปมองอีกฝั่งบ้าง(แอบมองสาวคนนั้นนั่นแหละ) บางทีก็เห็นเธอมองมาที่ผม(ไม่รู้คิดไปเองรึเปล่า) พอผมตัดสินใจว่าจะลองชวนเธอคุยดูซักที ก็ปรากฎว่า เธอหลับไปแล้วผมก็เลยได้แต่นั่งมองเธอบ้าง(เหมือคนโรคจิตเลย555) ระหว่างนั้น เธอก็หลับๆตื่นๆ ผมเองก็มีหลับบ้าง เพราะนอนน้อย(ตื่นมาเตรียมตัวตั้งแต่ตี4) ระหว่างที่นั่งรถไฟไปผมก็รวบรวมความกล้าไป แอบมองเธอบ้าง เธอมองมาก็หลบตาแสร้งทำเป็นดูวิวบ้าง บางทีก็แกล้งหลับแล้วหรี่ตาดูว่าเธอจะมองเราไหม เธอก็มีมองเราบ้างแต่อาจจะมองด้วยความรำคาณว่า(ไอนี่มันเป็นอะไรมองอยู่ได้)
และแล้วโอกาศของผมมาถึง
เธอตื่นขึ้นมา ทำสายตาตื่น แล้วถามยายที่นั่งข้างๆเธอว่า "เลยพิษณุโลก มารึยังคะ"
ยายแกว่า "ยังหรอกอีกหลายสถานี"
ผมนั่งรวบรวมความกล้าอยู่พักใหญ่ๆ
เลยถามเธอไปว่า "ลงที่ไหนเหรอครับ"
เธอว่า "ลงพิดโลกค่ะ" (ในใจคงคิดว่า จะถามทำไม เมื่อกี๊ก็น่าจะได้ยิน)
ผมถามต่อว่า "ไปเที่ยวเหรอครับ หรือบ้านอยู่ที่นั่น"
เธอตอบ "ป่าวค่ะ บ้านอยูเพชรบูรณ์"
ผม "ไปต่อรถเหรอครับ"
เธอ "ค่ะ"
ผม "แล้วไปทำอะไรที่เชียงใหม่เหรอครับ"
เธอว่า "อ๋อไปเรียนค่ะ"
ผม "...." ได้แต่ยิ้ม (หมดมุกเพราะจีบสาวไม่เป็น)
ยาย "เรียนที่ไหนเหรอลูก"
เธอ "แม่โจ้ ค่ะ"
จากน้นยายแกก็พูดชื่นชมเธอตามมารยาท ซึ่งมันไม่ได้เข้าหูผมแล้ว ผมมัวแต่รู้สึกอิ่มเอิบใจที่ได้พูดคุยกับเธอ ถึงแม้จะเป็นเพียงการสนธนาสั้นๆก็ตาม
เลยอุตรดิตถ์มาได้ประมาน2สถานี
เธอเอ่ยถามขึ้นมาว่า "ใกล้ถึงหรือยังค่ะ"
ผมชิงโอกาศตอบไป ถึงแม้จะไม่ได้ชำนาญทางสายนี้ก็ตาม "อีกสองสถานีมั๊งครับ เมื่อกี๋ได้ยินประกาศ"
ผมถามต่อไปอีก "ในตั๋วมันถึงกี่โมงอ่ะครับ"
เธอตอบ "บ่ายโมงค่ะ"
ผมยกนาฬิกาขึ้นดู "นี่มันบ่ายสองกว่าแล้วนะครับ"
รถเสียเวลาเยอะมากครับ)
เธอยิ้มนิดนึง แล้วก็นอนต่อแต่คราวนี้ไม่หลับ
อีกหนึ่งสถานีก่อนถึง พิษณุโลก ผมชะเง้อดูนอกตัวรถให้ รถไฟชะลอเข้าสถานี
ผมหันไปบอกเธอว่า "น่าจะถึงแล้วนะครับ"
เธอพยักหน้า พร้อมมองหาป้ายสถานี เมื่อรถจอด ปรากฎว่าไม่ใช่สถานีพิษณุโลก แต่เป็นสถานีหนองตม ผมก็เลยยิ้มแก้เขินไป
ยายแกบอก "อีกไม่ไกลหรอก ใกล้ถึงแล้ว"
แล้วยายแกก็เล่าเรื่องลูกสะใภ้แกว่า ลูกสะใภ้แกก็เรียนแม่โจ้เหมือนกับเธอ พอรถเลยสถานีพรหมพิรามมากำลังชะลอเข้าสถานีพิษณุโลก เธอก็หยิบสัมภาระเตรียมตัวลง อมื่อรถจอดสนิท เธอก็เดินลงจากรถไปโดยที่ผมมองหาไม่เห็นอีก เพราะเธอลงคนละฝั่งกับที่ผมนั่ง
แต่วันนี้ถึงแม้ผมจะไม่รู้จัแม่แต่ชื่อของเธอก็ตาม(บางทีก็แอบหวังว่าเราอาจจะมีโอกาศได้เจอ ได้พูดคุยกันอีก อีกแง่นึงก็คิดว่าเธอคงมีแฟนแล้ว อีกอย่างสาวแม่โจ้คงไม่ชายตามามองหนุ่มราชภัฎอย่างผมหรอก) แต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจ อมยิ้มมาตลอดทาง จนทำให้ต้องมาเขียนลงพันทิพ ให้เพื่อนๆพี่ๆได้อ่านกัน
ปล.หากพี่ๆเห็นว่าแท็กไหนไม่เหมาะสม ผมจะลบออกตามคำแนะนำนะครับ
มีใครเคยรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจ อมยิ้มได้ทั้งวันแบบผมมั่งครับ
ออกตัวไว้ก่อนเลยนะครับ นี่เป็นกระทู้แรก ผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
เรื่องมันมีอยู่ว่า ผมขึ้นไปเชียงใหม่ ไปหาที่พัก และ หางาน เพราะผมสมัครเรียนราชภัฎเอาไว้ เป็นภาคพิเศษ เสาร์-อาทิตย์ อยู่ได้ประมาณสัปดาห์กว่าๆ ได้ที่พักแล้ว งานมีติดต่อมาบ้าง แต่ติดเรื่องไม่มีพาหนะใช้ ผมเลยต้องกลับมาทำธุระที่กรุงเทพฯ คือ ขายมอเตอร์ไซค์ และเตรียมไปซื้อรถใหม่อีกที ที่ผมขึ้นไปผมเอาจักรยานไปใช้
เข้าเรื่องดีกว่า 5:50ผมปั่นจักรยานมาถึงสถานีรถไฟเชียงใหม่ จัดแจงขอตั๋วฟรี และฝากจักรยานขึ้นกับตู้สัมภาระ พอจัดแจงเรื่องตั๋วเสร็จ ผมก็จูงจักรยานมารอที่ ชานชลาที่4 ระหว่างที่จูงจักรยานมา สายตาผมเหลือบไปเห็นผู้หญิงคนนึง เธอแต่งตัวธรรมดา เสื้อยืดกางเกกงสีดำ สวมเชิ๊ตยีนส์ทับอีก1ตัว รวบผมไว้กลางหัว ดูกลมกลืนกับผู้คน แต่ผมก็ไม่รู้ว่าทำไม ผมถึงได้สะดุดตาเธอคนนี้ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะตอนนั้นหิวมากครับ จัดแจงหาซื้อมาม่าพอประทังชีพไป จากนั้นก็จูงจักรยานไปรอที่ ส่วนหัวขบวน เพื่อรอฝากขึ้นตู้สัมภาระ หลังจากที่ผมจัดการเจ้ามาม่าคัพ และฝากจักรยานขึ้นไปเสร็จเรียบร้อย ผมก็เดินมารอขึ้นโดยสารที่ตู้โดยสาร หมายเลข8 มันช่างบังเอิญเหลือเกิน ที่ผมมาต่อคิวขึ้นรถไฟจากเธอ ยิ่งทำให้มองเธอถึงแม้จะเป็นจากด้านหลัง เธอดูน่ารักมากครับ ดูแนวๆดี(เหมือนโรคจิตเลยเรา) ต่อคิวได้อึดใจนึงยังไม่ทันได้ขึ้นรถ ผมก็เดินไปซื้อน้ำที่ตู้ขายของ ในชานชลา หันมาอีกที คนขึ้นรถไฟกันหมดแล้ว ผมเดินขึ้นรถไฟ มองหาที่นั่ง ผมมองหาเลขที่นั่งเหนือพนักพิง ปรากฎว่าไม่มี เลยคิดว่านั่งมั่วๆไปแล้วกันวะ(ขามาตู้ที่ผมนั่งเลขที่นั่งมันอยู่เหนือพนักพิง) เดินไปเรื่อยๆจึงถึงบางอ้อ มันอยู่ข้างหน้าต่าง ผมเดินไล่เลขที่นั่งไปเรื่อยๆ ผมได้เลขที่ 68 จนหันไปเจอเลข68เข้า มันเขียนเอาไว้ว่า 68ติดริมทางเดิน จากนั้นผมก็มองไปดูที่ผู้ร่วมชะตากรรม ผมเห็นยาย2คนนั่งด้านริมหน้าต่าง และที่ไม่น่าเชื่อ ผู้หญิงที่ผมแอบมองที่ชานชลา เธอได้ที่นั่งตรงข้ามกับผม วินาทีนั้นหัวใจผมพองโต รู้สึกตื่นเต้น มันเหมือนเราอมยิ้มอยู่ในใจ เพราะปกติผมเป็นคนไม่แสดงอารมณ์ทางสีหน้าอยู่แล้ว นอกจากยิ้มและพยักหน้าพอเป็นมารยาท เวลามีคนคุยกับเรา(เป็นพวกหน้าตาย) พอผมนั่งลง แล้วหันไปยิ้มให้ยายที่นั่งข้างๆ ยายแกยิ้มตอบ
แล้วถามผมแบบคนมีอัธยาศัยดีว่า "ลงไหนล่ะหนู"
ผมตอบว่า "ลงสามเสนครับ"
พร้อมกับพยักหน้าและยิ้มให้แก ในส่วนของการสนทนาระหว่างผมกับยายนั้น ผมขอข้ามไปเลยนะครับ เพราะจิตใจผมไม่ได้โฟกัสอยู่ที่ตรงนั้นเท่าไรแล้ว เท่าที่คุยกันพอจะสรุปใจความได้ว่า ยายที่นั่งข้างๆผม แกอายุ87ปีแล้ว แกท่องเที่ยวคนเดียวแต่ก็ยังดูแข็งแรงอยู่มากเลยทีเดียว ไม่ว่าจะลุกจะนั่งก็ดูกระฉับกระเฉงดี ส่วนยายที่นั่งอยู่เยื้องๆกับผม แกอายุ77ปี ลูกหลานแกเยอะมีอยู่หลายจังหวัด แกกำลังจะเดินทางไปกรุงเทพเหมือนผม แต่จะแวะพักกับลูกที่นครสวรรค์ก่อน1คืน เพราะเดินทางรวดเดียวไม่ไหว ส่วนสาวที่ผมแอบมองมาตั้งแต่ที่ชานชลานั้น เธอนั่งเงียบไม่พูดจากับใคร ดูวิวนอกหน้าต่างไปเรื่อย ส่วนตัวผมก็แอบมองเธออยู่เนืองๆ มีมองหน้าตรงๆพร้อมกับยิ้มน้อยๆให้บ้าง แต่เธอก็ดูจะไม่สนใจ เธอมองวิวออกทางหน้าต่าง ส่วนตัวผมนั้นชอบดูวิวอยู่แล้ว อีกอย่างรถไฟสายเหนือถือเป็นอะไรที่ใหม่กับผมมาก(เพราะขามา มาถึงปลายทางในช่วงเช้ามืด ทำให้ไม่เห็วิวอะไรมากนัก) ผมก็มองออกนอกหน้าต่างเหมือนกัน บางทีก็แกล้งหันไปมองอีกฝั่งบ้าง(แอบมองสาวคนนั้นนั่นแหละ) บางทีก็เห็นเธอมองมาที่ผม(ไม่รู้คิดไปเองรึเปล่า) พอผมตัดสินใจว่าจะลองชวนเธอคุยดูซักที ก็ปรากฎว่า เธอหลับไปแล้วผมก็เลยได้แต่นั่งมองเธอบ้าง(เหมือคนโรคจิตเลย555) ระหว่างนั้น เธอก็หลับๆตื่นๆ ผมเองก็มีหลับบ้าง เพราะนอนน้อย(ตื่นมาเตรียมตัวตั้งแต่ตี4) ระหว่างที่นั่งรถไฟไปผมก็รวบรวมความกล้าไป แอบมองเธอบ้าง เธอมองมาก็หลบตาแสร้งทำเป็นดูวิวบ้าง บางทีก็แกล้งหลับแล้วหรี่ตาดูว่าเธอจะมองเราไหม เธอก็มีมองเราบ้างแต่อาจจะมองด้วยความรำคาณว่า(ไอนี่มันเป็นอะไรมองอยู่ได้)
และแล้วโอกาศของผมมาถึง
เธอตื่นขึ้นมา ทำสายตาตื่น แล้วถามยายที่นั่งข้างๆเธอว่า "เลยพิษณุโลก มารึยังคะ"
ยายแกว่า "ยังหรอกอีกหลายสถานี"
ผมนั่งรวบรวมความกล้าอยู่พักใหญ่ๆ
เลยถามเธอไปว่า "ลงที่ไหนเหรอครับ"
เธอว่า "ลงพิดโลกค่ะ" (ในใจคงคิดว่า จะถามทำไม เมื่อกี๊ก็น่าจะได้ยิน)
ผมถามต่อว่า "ไปเที่ยวเหรอครับ หรือบ้านอยู่ที่นั่น"
เธอตอบ "ป่าวค่ะ บ้านอยูเพชรบูรณ์"
ผม "ไปต่อรถเหรอครับ"
เธอ "ค่ะ"
ผม "แล้วไปทำอะไรที่เชียงใหม่เหรอครับ"
เธอว่า "อ๋อไปเรียนค่ะ"
ผม "...." ได้แต่ยิ้ม (หมดมุกเพราะจีบสาวไม่เป็น)
ยาย "เรียนที่ไหนเหรอลูก"
เธอ "แม่โจ้ ค่ะ"
จากน้นยายแกก็พูดชื่นชมเธอตามมารยาท ซึ่งมันไม่ได้เข้าหูผมแล้ว ผมมัวแต่รู้สึกอิ่มเอิบใจที่ได้พูดคุยกับเธอ ถึงแม้จะเป็นเพียงการสนธนาสั้นๆก็ตาม
เลยอุตรดิตถ์มาได้ประมาน2สถานี
เธอเอ่ยถามขึ้นมาว่า "ใกล้ถึงหรือยังค่ะ"
ผมชิงโอกาศตอบไป ถึงแม้จะไม่ได้ชำนาญทางสายนี้ก็ตาม "อีกสองสถานีมั๊งครับ เมื่อกี๋ได้ยินประกาศ"
ผมถามต่อไปอีก "ในตั๋วมันถึงกี่โมงอ่ะครับ"
เธอตอบ "บ่ายโมงค่ะ"
ผมยกนาฬิกาขึ้นดู "นี่มันบ่ายสองกว่าแล้วนะครับ"รถเสียเวลาเยอะมากครับ)
เธอยิ้มนิดนึง แล้วก็นอนต่อแต่คราวนี้ไม่หลับ
อีกหนึ่งสถานีก่อนถึง พิษณุโลก ผมชะเง้อดูนอกตัวรถให้ รถไฟชะลอเข้าสถานี
ผมหันไปบอกเธอว่า "น่าจะถึงแล้วนะครับ"
เธอพยักหน้า พร้อมมองหาป้ายสถานี เมื่อรถจอด ปรากฎว่าไม่ใช่สถานีพิษณุโลก แต่เป็นสถานีหนองตม ผมก็เลยยิ้มแก้เขินไป
ยายแกบอก "อีกไม่ไกลหรอก ใกล้ถึงแล้ว"
แล้วยายแกก็เล่าเรื่องลูกสะใภ้แกว่า ลูกสะใภ้แกก็เรียนแม่โจ้เหมือนกับเธอ พอรถเลยสถานีพรหมพิรามมากำลังชะลอเข้าสถานีพิษณุโลก เธอก็หยิบสัมภาระเตรียมตัวลง อมื่อรถจอดสนิท เธอก็เดินลงจากรถไปโดยที่ผมมองหาไม่เห็นอีก เพราะเธอลงคนละฝั่งกับที่ผมนั่ง
แต่วันนี้ถึงแม้ผมจะไม่รู้จัแม่แต่ชื่อของเธอก็ตาม(บางทีก็แอบหวังว่าเราอาจจะมีโอกาศได้เจอ ได้พูดคุยกันอีก อีกแง่นึงก็คิดว่าเธอคงมีแฟนแล้ว อีกอย่างสาวแม่โจ้คงไม่ชายตามามองหนุ่มราชภัฎอย่างผมหรอก) แต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจ อมยิ้มมาตลอดทาง จนทำให้ต้องมาเขียนลงพันทิพ ให้เพื่อนๆพี่ๆได้อ่านกัน
ปล.หากพี่ๆเห็นว่าแท็กไหนไม่เหมาะสม ผมจะลบออกตามคำแนะนำนะครับ