หลัวเซียน 羅憲 ชื่อรอง หลิงจือ 令則
หลัวเซียน เป็นชาวเมืองซงหยงเป็นบุตรของหลัวเมิ่ง เจ้าเมืองเกงฮันแคว้นจ๊กก๊ก หลัวเซียน มีชื่อเสียง
ในการประพันธ์ตั้งแต่เด็ก เมื่ออายุได้ 13 ปี เขาสามารถเขียนหนังสือราชการได้อย่างถูกต้อง เขาได้รับ
การศึกษาในราชวิทยาลัย เป็นศิษย์เอกของเจาจิ๋ว และ ณ ที่นั้น เขาได้รับการยกย่องว่ามีสติปัญญาทัด
เทียมกันกับ ซือคง ลูกศิษย์ของขงจื้อ
หลัวเซียนมีนิสัยซื่อตรง รอบคอบ ใจคอกว้างขวาง เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาของเล่าเสี้ยน องค์รัชทายาท
และตำแหน่งขุนพลแห่งความสัตย์แจ้ง เขาเคยรับภารกิจในการเจริญสัมพันธไมตรีกับฝ่ายง่อ และได้รับการต้อนรับ
จากขุนนางฝ่ายง่อเป็นอย่างดี
ในวาระสุดท้ายของอาณาจักรจ๊กก๊ก ฮุยโฮขันทีกุมอำนาจทางการเมือง กินสินบาทคาดสินบน และทำให้ราชสำนักปั่นป่วน
อ่อนแอ หลัวเซียนไม่ยอมลงให้ฮุยโฮ เขาจึงถูกย้ายไปประจำการที่เมืองปาต๋ง ครั้นเมื่อจ๊กก๊กล่มสลายในปี ค.ศ.263
หลัวเซียนและชาวเมืองได้แสดงความอาลัยและไว้ทุกข์นาน 3 วัน
คล้อยหลังการล่มสลายไม่นาน ง่อก๊กได้ส่งขุนพลเส็งหมัน เพื่อมาช่วยกอบกู้จ๊กก๊ก เส็งหมันขอให้หลัวเซียนเปิดเส้นทางเข้าสู่
อาณาจักรจ๊กที่เมืองหยงอัน แต่แท้จริงแล้วเป็นอุบายของฝ่ายง่อ ที่ต้องการยึดครองดินแดนปาต๋ง และเส้นทางเลียบแม่น้ำแยงซี
ที่เป็นประตูเข้าสู่อาณาจักรจ๊ก หลัวเซียนรู้เท่าทัน จึงรวบรวมไพร่พลแล้วประกาศว่า ง่อก๊กละเมิดสนธิสัญญาการเป็นพันธมิตร และ
ต้องการจะยึดครองปาต๋ง เขากล่าวอย่างแค้นเคืองว่า “จ๊กล่มจมลงแล้ว ง่อกับเราเคยใกล้ชิดสนิทกันดั่งริมฝีปากกับฟัน ยามคับขัน
ไม่ช่วยเหลือแต่กลับซ้ำเติม เมืองง่อเป็นมิตรชั้นเลว ราชวงศ์ฮั่นเสื่อมสูญ มันจึงจะเอาเราเป็นเชลย”
ฝ่ายง่อส่งขุนพล โปเจีย เข้าโจมตีที่ตำบลเป๊กเต้เสีย แต่หลัวเซียนก็สามารถตั้งแนวป้องกันไว้ได้อย่างหนาแน่นตลอดแนวแม่ย้ำแยงซี
พร้อมกับส่ง เอียวจ๋ง ไปขอกำลังเสริมจากฝ่ายวุย ง่อก๊กสามารถบุกยึดปาต๋งไปได้ หลัวเซียนจึงต้องถอยไปตั้งหลักที่เป๊กเต้เสีย ณ ที่นั้น
หลัวเซียนสามารถป้องกันการโจมตีของง่อก๊กได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ต่อมาฝ่ายง่อได้ส่งแม่ทัพลกข้อง พร้อมกำลังพล 30,000 นายเข้ามา
ช่วยตี แต่ก็ไม่สามารถเอาชนะหลัวเซียนได้ การรบครั้งนั้นยืดเยื้อยาวนานกว่าหกเดือนเต็ม แม้ไม่มีกำลังเสริมและผู้คนในเมืองบาดเจ็บ
ล้มตายกว่าครึ่ง หลัวเซียนก็ไม่ยอมแพ้ หรือทอดทิ้งพวกเขา
หลัวเซียน ได้กล่าวกับทหารที่ชักชวนให้ยอมแพ้หรือหลบหนีว่า “ผู้ปกครองมีหน้าที่ปกครองดูแลประชาชน หากบรรเทาทุกข์ไม่ได้แล้ว
ยังทอดทิ้งหลบหนี จะเรียกว่าเป็นชายชายทหารได้อย่างไร ข้าพเจ้าจะขอสู้ตายอยู่ที่นี่”
ข้างฝ่ายวุยก๊ก เมื่อสุมาเจียวได้รับจดหมายขอกำลังเสริมจากหลัวเซียน เขาพิจารณาเห็นว่ากองกำลังส่วนใหญ่ยังไม่พร้อมเพราะเพิ่งรับศึก
ปราบกบฎเกียงอุยกับจงโฮย ที่เมืองเซงโต๋ เขาจึงสั่งการให้ เฮาเหลก ผู้ตรวจการแคว้นเกงจิวนำกำลังบุกเข้าตีเมืองเสเหลง ของฝ่ายง่อ
ลกข้องเห็นดังนั้นจึงถอนกำลังออกจากเมืองหยงอัน และยกทัพกลับไปป้องกันเมืองแทน การศึกครั้งนั้นทำให้หลัวเซียนได้รับการแต่งตั้ง
เป็นขุนพลแห่งลิมกั๋ง และพระยาหวันเหนียน
หลังการศึกที่เมืองหยงอัน ฝ่ายวุยยึดเมืองบุเหลง ของง่อก๊กมาอยู่ในครอบครอง หลัวเซียนจึงได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองบุเหลง และ
เลื่อนชั้นเป็นพระยาเมืองเส เมื่อสุมาเอี๋ยนโค่นล้มราชวงศ์วุย และสถาปนาราชวงศ์จิ้นแทน พร้อมกับรับ หลัวเส บุตรชายเขาเข้ารับราชการ
ในตำแหน่งขุนนางชั้นผู้น้อย
ระหว่างการรับราชการในจิ้นก๊กนั้น หลัวเซียนได้ชักชวนอดีตสหายและขุนนางฝ่ายจ๊ก เข้ามารับราชการในราชสำนักจิ้นเป็นจำนวนมาก อาทิ
เช่น เฉินโซว่ ผู้ประพันธ์ “สามก๊กจี่” หรือจดหมายเหตุสามก๊ก และจูกัดเจ้ง หลานชายของขงเบ้ง
ผลงานสำคัญอีกประการของหลัวเซียนคือการยึดครองเมืองอูเฉ่ง ใจกลางดินแดนฝ่ายง่อ และเป็นผู้เสนอแผนการพิชิตง่อก๊กให้กับสุมาเอี๋ยน
หลัวเซียน เสียชีวิตในปี ค.ศ.270 และได้รับการเลื่อนชั้นเป็นขุนพลผู้นำพาสันติสุขสู่ชายแดนใต้
http://www.samkok911.com/2013/11/Lou-Xian-Lingze.html
หลัวเซียน ขุนพลผู้นำพาสันติสุขสู่ชายแดนใต้
หลัวเซียน เป็นชาวเมืองซงหยงเป็นบุตรของหลัวเมิ่ง เจ้าเมืองเกงฮันแคว้นจ๊กก๊ก หลัวเซียน มีชื่อเสียง
ในการประพันธ์ตั้งแต่เด็ก เมื่ออายุได้ 13 ปี เขาสามารถเขียนหนังสือราชการได้อย่างถูกต้อง เขาได้รับ
การศึกษาในราชวิทยาลัย เป็นศิษย์เอกของเจาจิ๋ว และ ณ ที่นั้น เขาได้รับการยกย่องว่ามีสติปัญญาทัด
เทียมกันกับ ซือคง ลูกศิษย์ของขงจื้อ
หลัวเซียนมีนิสัยซื่อตรง รอบคอบ ใจคอกว้างขวาง เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาของเล่าเสี้ยน องค์รัชทายาท
และตำแหน่งขุนพลแห่งความสัตย์แจ้ง เขาเคยรับภารกิจในการเจริญสัมพันธไมตรีกับฝ่ายง่อ และได้รับการต้อนรับ
จากขุนนางฝ่ายง่อเป็นอย่างดี
ในวาระสุดท้ายของอาณาจักรจ๊กก๊ก ฮุยโฮขันทีกุมอำนาจทางการเมือง กินสินบาทคาดสินบน และทำให้ราชสำนักปั่นป่วน
อ่อนแอ หลัวเซียนไม่ยอมลงให้ฮุยโฮ เขาจึงถูกย้ายไปประจำการที่เมืองปาต๋ง ครั้นเมื่อจ๊กก๊กล่มสลายในปี ค.ศ.263
หลัวเซียนและชาวเมืองได้แสดงความอาลัยและไว้ทุกข์นาน 3 วัน
คล้อยหลังการล่มสลายไม่นาน ง่อก๊กได้ส่งขุนพลเส็งหมัน เพื่อมาช่วยกอบกู้จ๊กก๊ก เส็งหมันขอให้หลัวเซียนเปิดเส้นทางเข้าสู่
อาณาจักรจ๊กที่เมืองหยงอัน แต่แท้จริงแล้วเป็นอุบายของฝ่ายง่อ ที่ต้องการยึดครองดินแดนปาต๋ง และเส้นทางเลียบแม่น้ำแยงซี
ที่เป็นประตูเข้าสู่อาณาจักรจ๊ก หลัวเซียนรู้เท่าทัน จึงรวบรวมไพร่พลแล้วประกาศว่า ง่อก๊กละเมิดสนธิสัญญาการเป็นพันธมิตร และ
ต้องการจะยึดครองปาต๋ง เขากล่าวอย่างแค้นเคืองว่า “จ๊กล่มจมลงแล้ว ง่อกับเราเคยใกล้ชิดสนิทกันดั่งริมฝีปากกับฟัน ยามคับขัน
ไม่ช่วยเหลือแต่กลับซ้ำเติม เมืองง่อเป็นมิตรชั้นเลว ราชวงศ์ฮั่นเสื่อมสูญ มันจึงจะเอาเราเป็นเชลย”
ฝ่ายง่อส่งขุนพล โปเจีย เข้าโจมตีที่ตำบลเป๊กเต้เสีย แต่หลัวเซียนก็สามารถตั้งแนวป้องกันไว้ได้อย่างหนาแน่นตลอดแนวแม่ย้ำแยงซี
พร้อมกับส่ง เอียวจ๋ง ไปขอกำลังเสริมจากฝ่ายวุย ง่อก๊กสามารถบุกยึดปาต๋งไปได้ หลัวเซียนจึงต้องถอยไปตั้งหลักที่เป๊กเต้เสีย ณ ที่นั้น
หลัวเซียนสามารถป้องกันการโจมตีของง่อก๊กได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ต่อมาฝ่ายง่อได้ส่งแม่ทัพลกข้อง พร้อมกำลังพล 30,000 นายเข้ามา
ช่วยตี แต่ก็ไม่สามารถเอาชนะหลัวเซียนได้ การรบครั้งนั้นยืดเยื้อยาวนานกว่าหกเดือนเต็ม แม้ไม่มีกำลังเสริมและผู้คนในเมืองบาดเจ็บ
ล้มตายกว่าครึ่ง หลัวเซียนก็ไม่ยอมแพ้ หรือทอดทิ้งพวกเขา
หลัวเซียน ได้กล่าวกับทหารที่ชักชวนให้ยอมแพ้หรือหลบหนีว่า “ผู้ปกครองมีหน้าที่ปกครองดูแลประชาชน หากบรรเทาทุกข์ไม่ได้แล้ว
ยังทอดทิ้งหลบหนี จะเรียกว่าเป็นชายชายทหารได้อย่างไร ข้าพเจ้าจะขอสู้ตายอยู่ที่นี่”
ข้างฝ่ายวุยก๊ก เมื่อสุมาเจียวได้รับจดหมายขอกำลังเสริมจากหลัวเซียน เขาพิจารณาเห็นว่ากองกำลังส่วนใหญ่ยังไม่พร้อมเพราะเพิ่งรับศึก
ปราบกบฎเกียงอุยกับจงโฮย ที่เมืองเซงโต๋ เขาจึงสั่งการให้ เฮาเหลก ผู้ตรวจการแคว้นเกงจิวนำกำลังบุกเข้าตีเมืองเสเหลง ของฝ่ายง่อ
ลกข้องเห็นดังนั้นจึงถอนกำลังออกจากเมืองหยงอัน และยกทัพกลับไปป้องกันเมืองแทน การศึกครั้งนั้นทำให้หลัวเซียนได้รับการแต่งตั้ง
เป็นขุนพลแห่งลิมกั๋ง และพระยาหวันเหนียน
หลังการศึกที่เมืองหยงอัน ฝ่ายวุยยึดเมืองบุเหลง ของง่อก๊กมาอยู่ในครอบครอง หลัวเซียนจึงได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองบุเหลง และ
เลื่อนชั้นเป็นพระยาเมืองเส เมื่อสุมาเอี๋ยนโค่นล้มราชวงศ์วุย และสถาปนาราชวงศ์จิ้นแทน พร้อมกับรับ หลัวเส บุตรชายเขาเข้ารับราชการ
ในตำแหน่งขุนนางชั้นผู้น้อย
ระหว่างการรับราชการในจิ้นก๊กนั้น หลัวเซียนได้ชักชวนอดีตสหายและขุนนางฝ่ายจ๊ก เข้ามารับราชการในราชสำนักจิ้นเป็นจำนวนมาก อาทิ
เช่น เฉินโซว่ ผู้ประพันธ์ “สามก๊กจี่” หรือจดหมายเหตุสามก๊ก และจูกัดเจ้ง หลานชายของขงเบ้ง
ผลงานสำคัญอีกประการของหลัวเซียนคือการยึดครองเมืองอูเฉ่ง ใจกลางดินแดนฝ่ายง่อ และเป็นผู้เสนอแผนการพิชิตง่อก๊กให้กับสุมาเอี๋ยน
หลัวเซียน เสียชีวิตในปี ค.ศ.270 และได้รับการเลื่อนชั้นเป็นขุนพลผู้นำพาสันติสุขสู่ชายแดนใต้
http://www.samkok911.com/2013/11/Lou-Xian-Lingze.html