ปิตุ๊โกร เปะโต๊ะลอซู น้ำตกที่สูงที่สุดในประเทศไทย
น้ำตกในฝันที่อยากไปเยือนมาหลายปีนักแล ปีนี้ได้สานฝันให้เป็นจริงสักที
ข้อมูลการเดินทาง มีมากมายในกูเกิ้ล ขอข้ามมาถึงบรรยากากาศการเดินทางเข้าน้ำตกเลยนะครับ
การเดินทางไปยังน้ำตกแห่งนี้ต้องเดินด้วยเท้าระยะทางประมาณ 8กม.กว่าๆ เวลาก็แล้วแต่สมาชิกว่าจะมีมากน้อยเพียงใด มีมากก็ใช้เวลามาก มีน้อยก็ใช้เวลาน้อย ส่วนใหญ่หมดไปกับการนั่งพักและรอและก็รอเพื่อนสมาชิกร่วมทริป
ออกเดินทางจากกทม.ถึงอ.อุ้มผาง มาถึงยังหมู่บ้านกุลเลอตอ จัดเตรียมอุปกรณ์ สัมภาระให้พร้อม (ของใช้ส่วนตัว เสื้อผ้า เราจะแบกกันเอง) ส่วนของกองกลาง อุปกรณ์เครื่องนอน อาหารลูกหาบจะช่วยแบกให้
พร้อมแล้วก็ออกเดินทางกันเลยครับ
ถ้าเป็นไปได้อยากให้เดินบนคันนา (เนื่องจากวันที่ไปยังไม่ได้เริ่มดำนา สมาชิกบางท่านจึงเดินบนพื้นนาไปบ้าง)
สองข้างทางเขียวขจี มีขุนเขาโอบทั้งสองข้าง บรรยากาศไม่ร้อนมาก ครึ้มๆ ด้วยเมฆฝน ถือว่าค่อนข้างดีครับ
ทริปนี้เรามากันหน้าฝน ก็ต้องเจอฝนเป็นธรรมดา เรื่องการเจอฝนนี้ไม่ต้องห่วงเตรียมพร้อมรับมือแล้ว
แดดออก แดดร่ม แดดร่ม แดดออก สลับกันไปตลอดทาง คาดว่าไม่ถึง 15นาทีฝนคงต้องตก เพราะลมเริ่มพัดเย็นและมีฝนปรอยๆ มาเป็นระยะๆ
เรื่องการลุยน้ำ ลงน้ำนี่สบายครับ
การเดินไปน้ำตกนี้ต้องผ่านทุกสภาพพื้นผิว ไม่ต้องห่วงว่ารองเท้าจะเลอะ ไม่ต้องกลัวครับ เห็นแอ่งน้ำ ไม่ต้องหลบ เดินลุยมันไปเลย เพราะถึงอย่างไรถึงจุดที่เละที่แฉะรองเท้าก็ต้องเปียกด้วยน้ำ ด้วยโคลนอยู่ดีครับ จะมีลำธารมาเป็นช่วงๆ ก็ค่อยแช่เท้าล้างเท้าได้ แต่อีกเดี๋ยวก็ต้องเลอะอีกครั้ง ฉะนั้นลุยๆ ไปกันครับ ไม่ต้องห่วงสะอาดให้มากนัก
รองเท้า..ขอแนะนำให้เป็นรองเท้าเดินป่า หรือผ้าใบ หุ้มส้น หุ้มข้อครับ รองเท้าสานหรือเป็นแบบสอดรัดหน้าเท้าแล้วเห็นหลังเท้า มันจะลื่นครับ เวลาคงโคลนเท้าเราจะลงไปทั้งเท้า หากโคลนมันแฉะ มันจะติดครับ เวลาดึงเท้าขึ้นมาอาจทำให้รองเท้าหลุดหรือขาดได้
ระหว่างทางจะผ่านหมู่บ้านชาวเขาก็จะเห็นได้เป็นระยะๆ
เดินกันมาสักพักเราก็จะเจอที่พักเป็นกระท่อมหลังน้อยๆ แวะพักให้พอหายเหนื่อย ใครที่เหนื่อยก็มื้อกลางวันกันที่นี่ได้เลย
จากจุดนี้มองไปอีกด้าน จะเห็นสายน้ำตกอยู่ลิบๆ เกือบบนยอดเขาทางด้านโน้นนครับ
ยังไม่ถึงครึ่งทาง พักให้พอหายเหนื่อย แล้วเดินทางกันต่อครับ
ทั้งเดินเลาะริมหน้าผา ลุยน้ำ ปีนป่าย เรามีทุกรูปแบบครับ
รอบตัวเรามีอะไรที่น่าสนใจไม่น้อยทีเดียว
เห็ดถ้วยก็มีครับ มีอยู่เยอะพอสมควรครับ
ต้นไม้ ดอกไม้ ใบหญ้า มีเวลาได้ชื่นชมก็ให้เต็มที่ครับ
ชาวมายามาเคยมาที่นี่แน่
ข้ามน้ำตกอีกสักครั้ง มีสะพานทางเดินดูแล้วไม่น่ากลัวครับ ค่อนข้างแข็งแรง แต่ก็ต้องไม่ประมาทเช่นกัน
ห่างจากกลุ่มแรกมาสักพักต้องรีบเดิน เดี๋ยวจะหลง
ฝนตก แดดออก บางช่วง บางมุม บางจังหวะ แสงมันก็เป็นใจครับ
ฝนยังตกมาเป็นระยะๆ บางช่วงต้นไม้ขวางทางลูกหาบก็ต้องอำนวยความสะดวกให้
คิดว่าจะมีแต่เดินเข้า เดินออก(จากป่า) ก็มีนะครับ ขอเก็บภาพเป็นที่ระลึกหน่อย
เดินในป่าแบบนี้จะประมาทไม่ได้จริงๆ ครับ ทั้งก้อนหิน รากไม้ สะดุด ลื่น ล้มได้ทุกเวลา
ทางเดินริมหน้าผาก็ลื่นมาก เดินต้องระวังให้มากๆ สองมือเกาะต้นไม้ กิ่งไม้
ข้างทางได้ก็ควรต้องเกาะไว้บ้าง เผื่อกันตัวเองไม่ให้ลื่นล้ม
และไม่นานเราก็มาถึงแค้มป์ที่พัก ทางลูกหาบมาถึงก่อนได้จัดเตรียมสถานที่สำหรับคืนนี้ให้เรียบร้อยแล้ว
แต่สิ่งหนึ่งที่ดูแล้วจะเป็นปัญหานั่นคือ พื้น ที่ในการกางเต้นท์ ผูกเปลนอน ค่อนข้างมีจำกัด
พื้นไม่เรียบ มีก้อนหินค่อนข้างเยอะ เต้นท์เรานำกันไปน้อยแค่ 2หลัง ที่เหลือต้องนอนแบบปลาทู
(กางฟายชีตแล้วปูผ้านอนเรียงตับกัน)
ทริปนี้ไม่ได้นอนเต้นท์อย่างคนอื่น เอาเปลไปแต่ไม่มีฟายชีตไว้คลุมก็นอนไม่ได้อีก ต้องมานอนปลาทูครับ
แต่ก็ยังดีเปลที่เอาไปเป็นแบบมีมุ้งทำให้นอนสบายในระดับนึง (ยุงไม่กัด)
ระหว่างนี้ก็ไปอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัวที่ลำธารใกล้ๆที่พักกันก่อน
เดินกันมาเหนื่อยๆ เจอน้ำเย็นๆ แบบนี้ไม่ต้องบรรยายว่าความสุขจะเป็นเช่นไร
สำหรับมื้อค่ำเป็นอะไรที่ง่ายๆ เมนูสุกี้ อากาศเย็นๆ ท่ามกลางฝนโปรยแบบนี้ได้สุกี้ร้อนๆ ใต้แสงตะเกียงและกองฟืนกองไฟแบบนี้
สุกี้เนื้อเน้นๆ กินเหนื่อยครับ กว่าจะหมด พ่อครัวเราจัดเต็ม เครื่องเนื้อเน้นๆ รสชาดนี่พูดแล้วก็ต้องชวนให้กลืนน้ำลายอีกรอบ
อร่อยจริงๆครับ
ขออนุญาตไม่เปิดแฟลต์ เนื่องจากต้องการให้เห็นบรรยากาศจริงเวลานั้น
ภาพอาจไม่ชัด เนื่องจากตั้งแต่ออกเดินเข้าป่ามาจนบัดนี้ยังไม่ได้หยิบกล้องใหญ่ออกมาจากกระเป๋าเลยครับ
ใช้แต่กล้องมือถือทั้งสิ้น (ฝนตก กล้องใหญ่ไม่มีเคสกันน้ำ เกรงว่าจะป่วย)
แต่กล้องมือถือใช่ว่าใช้แล้วจะไม่ป่วย แต่ก็ด้วยที่ต้องการได้ภาพระหว่างเดินทาง ยังไงก็ต้องหยิบออกมาเก็บภาพไว้
ชัดบ้างไม่ชัดบ้างต้องขออภัยครับ
ระหว่างนี้ มื้อค่ำ รับประทานกันอย่างอร่อย นั่งพูดคุยสนทนากันสักพักก็แยกย้ายกันเข้านอน ฝนเริ่มจะลงเม็ดมาอีกแล้ว
zZ ZZ z z
ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตีห้ากว่าๆ จะลุกขึ้นมา ลืมตาออกมองฟ้า ทำไมฟ้ากะพื้นมันเป็นสีเดียวกัน มีแต่หมอกฟุ้งๆ ขอนอนต่อดีกว่า...
หกโมงเช้า..ตื่นล้างหน้าแปรงฟันก่อนจะจิบกาแฟยามเช้ารับอรุณ ขณะนี้ฟ้าเริ่มเปิดให้เห็นน้ำตกที่อยู่เบื้องหน้าแล้วเล็กน้อย
ฝนยังโปรยปรายอยู่ไม่ขาดสาย หมอกที่ฟุ้งก็เริ่มฟุ้งขึ้น ถ้าไม่รีบไปน้ำตกตอนนี้ ฝนตกหนักมาผมว่าคงจะไม่เห็นอะไร สู้ไปตอนนี้
แล้วไปรอวัดใจกันที่นั่นเลยดีกว่า ระยะทางประมาณ 200เมตรไม่น่าจะไกล
ฝนเริ่มตกหนักขึ้นๆ กล้องมือถือไม่อยากจะหยิบออกมาแล้ว แต่ก็ต้องเสี่ยงเอาออกมาเก็บภาพไว้อีกครั้ง
เดินตามลูกหาบชุดแรกมาไม่ทันเหมือนว่าจะหากันไม่เจอ จะเดินกันไปเองก็ไม่รู้ทาง เหมือนว่าจะหลง...
คงต้องรอลูกหาบชุดหลังให้ตามมา โชคดีไปครับลูกหาบชุดหลังมาพอดี เกือบไปแล้ว
เดินกันต่อ ลุยลำธาร ปีนป่าย ไปเรื่อยๆ ไม่นานนักก็มาถึงชะโงกหินก้อนใหญ่
สงสัยว่าคงต้องปีนขึ้นไป และดูเหมือนน้ำตกที่ตามหาจะอยู่เบื้องหน้านั้น
และภาพที่ปรากฏตรงหน้า
ภาพที่ผมเห็นจากตามหน้าเวป ภาพที่ผมเห็นจากเพื่อนๆที่ได้ไปกันมา
บัดนี้สิ่งที่อยู่ตรงหน้าผมคือสิ่งที่ตามมา ผมดั้งด้นมาที่นี่เพื่อจะได้เห็นภาพๆ นี้
มันเกินจะบรรยายได้จริงๆครับ มันเป็นหนึ่งในน้ำตกที่สวยมากจริงๆครับ
เกินจะบรรยายได้ครับ
อีกหนึ่งความประทับใจสำหรับน้ำตกที่จัดมาว่ายากน้ำตกหนึ่งของประเทศนี้
เพื่อนๆ ขึ้นมากันบนนี้ตรงนี้สิบกว่าชีวิต พื้นที่ยืนบนนี้ค่อนข้างน้อย ต้องยืนอย่างระวัง ลื่น พลาดก็คือหล่นครับ
ขาตั้งกล้องอุปกรณ์สำหรับการเก็บภาพที่ขาดไม่ได้ แต่ทริปนี้ไม่ได้นำออกใช้เลย พื้นที่ไม่อำนวย
จะกางขาเก็บภาพก็จะเกะกะเพื่อนๆ ต้องถ่ายด้วยมือให้นิ่งที่สุด ได้ก็ได้ไม่ได้ก็ไม่ได้ต้องวัดกัน เสี่ยงดวงกันครับ
สมควรแก่เวลา ฟ้าเริ่มปิด หมอกฟุ้งๆเริ่มมา ควรต้องรีบกลับไปจุดกางเต้นท์ เตรียมตัวเก็บของเดินทางกลับ
เก็บของสัมภาระ เราจะไม่ทิ้งอะไรไว้ เราจะนำกลับไปหมด เหลือไว้แค่ความทรงจำและความประทับใจ
เส้นทางกลับเราจะกลับอีกทาง ใช้ระยะทางสั้นกว่าใช้เวลาไม่กี่ชม.ไม่เกิน 2ชม.ครับ เดินขึ้นเขาแล้วลง
แล้วจะเดินลงต่อเนื่อง ทางค่อนข้างจะลื่นต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างมาก
แนะนำให้เดินตามลูกหาบให้ทัน เนื่องจากจุดสามแยกที่แยกระหว่างทางลง
กับทางที่จะขึ้นไปยอดมะม่วงสามหมื่นเป็นป่าไผ่ เส้นทางจะคล้ายๆกัน มองทางไม่ค่อยชัดเจนบวกฝนที่ตกเป็นระยะจะทำให้เส้นทางปิด
ไม่สามารถเดาได้ว่าไปทางใด ต้องอาศัยสัญลักษณ์ลูกศรตามต้นไม้ใหญ่และกิ่งไม้ที่ลูกหาบฟันและหักไว้
ขอย้ำว่าอย่าเดินคนเดียว ไม่เช่นนั้นหลงแน่นอนครับ เพราะผมเองก็หลงไปสามครั้งแล้วครับ
เดินมาครึ่งทางจะเจอกระท่อมหลังเดิม เราหยุดแวะพักกินมื้อเที่ยงกันที่นี่
น้ำดื่มหมดไม่ต้องห่วง ลูกหาบมีรองน้ำมาจากน้ำตก ดื่มได้เลยครับ สะอาดสดชื่น
ไปกันต่อ อีกไม่ไกลครับ อึดใจเดียว
ถึงที่หมาย ไปอาบน้ำที่คลองหลังหมู่บ้าน น้ำเย็นชื่นใจครับ
ก่อนกลับแวะมื้อค่ำกันที่ตัวเมือง จำชื่อร้านไม่ได้แต่ลุงกะป้าเจ้าของร้านอารมณ์ดี อาหารอร่อยมากครับ
จบทริปล่ะครับ สั้นๆง่ายๆ สนุกดีครับ
ขอบคุณที่ติดตามครับ
สวัสดี
fb : zoonvor
ปิตุ๊โกร เปรโต๊ะลอซู น้ำตกรูปหัวใจ
น้ำตกในฝันที่อยากไปเยือนมาหลายปีนักแล ปีนี้ได้สานฝันให้เป็นจริงสักที
ข้อมูลการเดินทาง มีมากมายในกูเกิ้ล ขอข้ามมาถึงบรรยากากาศการเดินทางเข้าน้ำตกเลยนะครับ
การเดินทางไปยังน้ำตกแห่งนี้ต้องเดินด้วยเท้าระยะทางประมาณ 8กม.กว่าๆ เวลาก็แล้วแต่สมาชิกว่าจะมีมากน้อยเพียงใด มีมากก็ใช้เวลามาก มีน้อยก็ใช้เวลาน้อย ส่วนใหญ่หมดไปกับการนั่งพักและรอและก็รอเพื่อนสมาชิกร่วมทริป
ออกเดินทางจากกทม.ถึงอ.อุ้มผาง มาถึงยังหมู่บ้านกุลเลอตอ จัดเตรียมอุปกรณ์ สัมภาระให้พร้อม (ของใช้ส่วนตัว เสื้อผ้า เราจะแบกกันเอง) ส่วนของกองกลาง อุปกรณ์เครื่องนอน อาหารลูกหาบจะช่วยแบกให้
พร้อมแล้วก็ออกเดินทางกันเลยครับ
ถ้าเป็นไปได้อยากให้เดินบนคันนา (เนื่องจากวันที่ไปยังไม่ได้เริ่มดำนา สมาชิกบางท่านจึงเดินบนพื้นนาไปบ้าง)
สองข้างทางเขียวขจี มีขุนเขาโอบทั้งสองข้าง บรรยากาศไม่ร้อนมาก ครึ้มๆ ด้วยเมฆฝน ถือว่าค่อนข้างดีครับ
ทริปนี้เรามากันหน้าฝน ก็ต้องเจอฝนเป็นธรรมดา เรื่องการเจอฝนนี้ไม่ต้องห่วงเตรียมพร้อมรับมือแล้ว
แดดออก แดดร่ม แดดร่ม แดดออก สลับกันไปตลอดทาง คาดว่าไม่ถึง 15นาทีฝนคงต้องตก เพราะลมเริ่มพัดเย็นและมีฝนปรอยๆ มาเป็นระยะๆ
เรื่องการลุยน้ำ ลงน้ำนี่สบายครับ
การเดินไปน้ำตกนี้ต้องผ่านทุกสภาพพื้นผิว ไม่ต้องห่วงว่ารองเท้าจะเลอะ ไม่ต้องกลัวครับ เห็นแอ่งน้ำ ไม่ต้องหลบ เดินลุยมันไปเลย เพราะถึงอย่างไรถึงจุดที่เละที่แฉะรองเท้าก็ต้องเปียกด้วยน้ำ ด้วยโคลนอยู่ดีครับ จะมีลำธารมาเป็นช่วงๆ ก็ค่อยแช่เท้าล้างเท้าได้ แต่อีกเดี๋ยวก็ต้องเลอะอีกครั้ง ฉะนั้นลุยๆ ไปกันครับ ไม่ต้องห่วงสะอาดให้มากนัก
รองเท้า..ขอแนะนำให้เป็นรองเท้าเดินป่า หรือผ้าใบ หุ้มส้น หุ้มข้อครับ รองเท้าสานหรือเป็นแบบสอดรัดหน้าเท้าแล้วเห็นหลังเท้า มันจะลื่นครับ เวลาคงโคลนเท้าเราจะลงไปทั้งเท้า หากโคลนมันแฉะ มันจะติดครับ เวลาดึงเท้าขึ้นมาอาจทำให้รองเท้าหลุดหรือขาดได้
ระหว่างทางจะผ่านหมู่บ้านชาวเขาก็จะเห็นได้เป็นระยะๆ
เดินกันมาสักพักเราก็จะเจอที่พักเป็นกระท่อมหลังน้อยๆ แวะพักให้พอหายเหนื่อย ใครที่เหนื่อยก็มื้อกลางวันกันที่นี่ได้เลย
จากจุดนี้มองไปอีกด้าน จะเห็นสายน้ำตกอยู่ลิบๆ เกือบบนยอดเขาทางด้านโน้นนครับ
ยังไม่ถึงครึ่งทาง พักให้พอหายเหนื่อย แล้วเดินทางกันต่อครับ
ทั้งเดินเลาะริมหน้าผา ลุยน้ำ ปีนป่าย เรามีทุกรูปแบบครับ
รอบตัวเรามีอะไรที่น่าสนใจไม่น้อยทีเดียว
เห็ดถ้วยก็มีครับ มีอยู่เยอะพอสมควรครับ
ต้นไม้ ดอกไม้ ใบหญ้า มีเวลาได้ชื่นชมก็ให้เต็มที่ครับ
ชาวมายามาเคยมาที่นี่แน่
ข้ามน้ำตกอีกสักครั้ง มีสะพานทางเดินดูแล้วไม่น่ากลัวครับ ค่อนข้างแข็งแรง แต่ก็ต้องไม่ประมาทเช่นกัน
ห่างจากกลุ่มแรกมาสักพักต้องรีบเดิน เดี๋ยวจะหลง
ฝนตก แดดออก บางช่วง บางมุม บางจังหวะ แสงมันก็เป็นใจครับ
ฝนยังตกมาเป็นระยะๆ บางช่วงต้นไม้ขวางทางลูกหาบก็ต้องอำนวยความสะดวกให้
คิดว่าจะมีแต่เดินเข้า เดินออก(จากป่า) ก็มีนะครับ ขอเก็บภาพเป็นที่ระลึกหน่อย
เดินในป่าแบบนี้จะประมาทไม่ได้จริงๆ ครับ ทั้งก้อนหิน รากไม้ สะดุด ลื่น ล้มได้ทุกเวลา
ทางเดินริมหน้าผาก็ลื่นมาก เดินต้องระวังให้มากๆ สองมือเกาะต้นไม้ กิ่งไม้
ข้างทางได้ก็ควรต้องเกาะไว้บ้าง เผื่อกันตัวเองไม่ให้ลื่นล้ม
และไม่นานเราก็มาถึงแค้มป์ที่พัก ทางลูกหาบมาถึงก่อนได้จัดเตรียมสถานที่สำหรับคืนนี้ให้เรียบร้อยแล้ว
แต่สิ่งหนึ่งที่ดูแล้วจะเป็นปัญหานั่นคือ พื้น ที่ในการกางเต้นท์ ผูกเปลนอน ค่อนข้างมีจำกัด
พื้นไม่เรียบ มีก้อนหินค่อนข้างเยอะ เต้นท์เรานำกันไปน้อยแค่ 2หลัง ที่เหลือต้องนอนแบบปลาทู
(กางฟายชีตแล้วปูผ้านอนเรียงตับกัน)
ทริปนี้ไม่ได้นอนเต้นท์อย่างคนอื่น เอาเปลไปแต่ไม่มีฟายชีตไว้คลุมก็นอนไม่ได้อีก ต้องมานอนปลาทูครับ
แต่ก็ยังดีเปลที่เอาไปเป็นแบบมีมุ้งทำให้นอนสบายในระดับนึง (ยุงไม่กัด)
ระหว่างนี้ก็ไปอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัวที่ลำธารใกล้ๆที่พักกันก่อน
เดินกันมาเหนื่อยๆ เจอน้ำเย็นๆ แบบนี้ไม่ต้องบรรยายว่าความสุขจะเป็นเช่นไร
สำหรับมื้อค่ำเป็นอะไรที่ง่ายๆ เมนูสุกี้ อากาศเย็นๆ ท่ามกลางฝนโปรยแบบนี้ได้สุกี้ร้อนๆ ใต้แสงตะเกียงและกองฟืนกองไฟแบบนี้
สุกี้เนื้อเน้นๆ กินเหนื่อยครับ กว่าจะหมด พ่อครัวเราจัดเต็ม เครื่องเนื้อเน้นๆ รสชาดนี่พูดแล้วก็ต้องชวนให้กลืนน้ำลายอีกรอบ
อร่อยจริงๆครับ
ขออนุญาตไม่เปิดแฟลต์ เนื่องจากต้องการให้เห็นบรรยากาศจริงเวลานั้น
ภาพอาจไม่ชัด เนื่องจากตั้งแต่ออกเดินเข้าป่ามาจนบัดนี้ยังไม่ได้หยิบกล้องใหญ่ออกมาจากกระเป๋าเลยครับ
ใช้แต่กล้องมือถือทั้งสิ้น (ฝนตก กล้องใหญ่ไม่มีเคสกันน้ำ เกรงว่าจะป่วย)
แต่กล้องมือถือใช่ว่าใช้แล้วจะไม่ป่วย แต่ก็ด้วยที่ต้องการได้ภาพระหว่างเดินทาง ยังไงก็ต้องหยิบออกมาเก็บภาพไว้
ชัดบ้างไม่ชัดบ้างต้องขออภัยครับ
ระหว่างนี้ มื้อค่ำ รับประทานกันอย่างอร่อย นั่งพูดคุยสนทนากันสักพักก็แยกย้ายกันเข้านอน ฝนเริ่มจะลงเม็ดมาอีกแล้ว
zZ ZZ z z
ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตีห้ากว่าๆ จะลุกขึ้นมา ลืมตาออกมองฟ้า ทำไมฟ้ากะพื้นมันเป็นสีเดียวกัน มีแต่หมอกฟุ้งๆ ขอนอนต่อดีกว่า...
หกโมงเช้า..ตื่นล้างหน้าแปรงฟันก่อนจะจิบกาแฟยามเช้ารับอรุณ ขณะนี้ฟ้าเริ่มเปิดให้เห็นน้ำตกที่อยู่เบื้องหน้าแล้วเล็กน้อย
ฝนยังโปรยปรายอยู่ไม่ขาดสาย หมอกที่ฟุ้งก็เริ่มฟุ้งขึ้น ถ้าไม่รีบไปน้ำตกตอนนี้ ฝนตกหนักมาผมว่าคงจะไม่เห็นอะไร สู้ไปตอนนี้
แล้วไปรอวัดใจกันที่นั่นเลยดีกว่า ระยะทางประมาณ 200เมตรไม่น่าจะไกล
ฝนเริ่มตกหนักขึ้นๆ กล้องมือถือไม่อยากจะหยิบออกมาแล้ว แต่ก็ต้องเสี่ยงเอาออกมาเก็บภาพไว้อีกครั้ง
เดินตามลูกหาบชุดแรกมาไม่ทันเหมือนว่าจะหากันไม่เจอ จะเดินกันไปเองก็ไม่รู้ทาง เหมือนว่าจะหลง...
คงต้องรอลูกหาบชุดหลังให้ตามมา โชคดีไปครับลูกหาบชุดหลังมาพอดี เกือบไปแล้ว
เดินกันต่อ ลุยลำธาร ปีนป่าย ไปเรื่อยๆ ไม่นานนักก็มาถึงชะโงกหินก้อนใหญ่
สงสัยว่าคงต้องปีนขึ้นไป และดูเหมือนน้ำตกที่ตามหาจะอยู่เบื้องหน้านั้น
และภาพที่ปรากฏตรงหน้า
ภาพที่ผมเห็นจากตามหน้าเวป ภาพที่ผมเห็นจากเพื่อนๆที่ได้ไปกันมา
บัดนี้สิ่งที่อยู่ตรงหน้าผมคือสิ่งที่ตามมา ผมดั้งด้นมาที่นี่เพื่อจะได้เห็นภาพๆ นี้
มันเกินจะบรรยายได้จริงๆครับ มันเป็นหนึ่งในน้ำตกที่สวยมากจริงๆครับ
เกินจะบรรยายได้ครับ
อีกหนึ่งความประทับใจสำหรับน้ำตกที่จัดมาว่ายากน้ำตกหนึ่งของประเทศนี้
เพื่อนๆ ขึ้นมากันบนนี้ตรงนี้สิบกว่าชีวิต พื้นที่ยืนบนนี้ค่อนข้างน้อย ต้องยืนอย่างระวัง ลื่น พลาดก็คือหล่นครับ
ขาตั้งกล้องอุปกรณ์สำหรับการเก็บภาพที่ขาดไม่ได้ แต่ทริปนี้ไม่ได้นำออกใช้เลย พื้นที่ไม่อำนวย
จะกางขาเก็บภาพก็จะเกะกะเพื่อนๆ ต้องถ่ายด้วยมือให้นิ่งที่สุด ได้ก็ได้ไม่ได้ก็ไม่ได้ต้องวัดกัน เสี่ยงดวงกันครับ
สมควรแก่เวลา ฟ้าเริ่มปิด หมอกฟุ้งๆเริ่มมา ควรต้องรีบกลับไปจุดกางเต้นท์ เตรียมตัวเก็บของเดินทางกลับ
เก็บของสัมภาระ เราจะไม่ทิ้งอะไรไว้ เราจะนำกลับไปหมด เหลือไว้แค่ความทรงจำและความประทับใจ
เส้นทางกลับเราจะกลับอีกทาง ใช้ระยะทางสั้นกว่าใช้เวลาไม่กี่ชม.ไม่เกิน 2ชม.ครับ เดินขึ้นเขาแล้วลง
แล้วจะเดินลงต่อเนื่อง ทางค่อนข้างจะลื่นต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างมาก
แนะนำให้เดินตามลูกหาบให้ทัน เนื่องจากจุดสามแยกที่แยกระหว่างทางลง
กับทางที่จะขึ้นไปยอดมะม่วงสามหมื่นเป็นป่าไผ่ เส้นทางจะคล้ายๆกัน มองทางไม่ค่อยชัดเจนบวกฝนที่ตกเป็นระยะจะทำให้เส้นทางปิด
ไม่สามารถเดาได้ว่าไปทางใด ต้องอาศัยสัญลักษณ์ลูกศรตามต้นไม้ใหญ่และกิ่งไม้ที่ลูกหาบฟันและหักไว้
ขอย้ำว่าอย่าเดินคนเดียว ไม่เช่นนั้นหลงแน่นอนครับ เพราะผมเองก็หลงไปสามครั้งแล้วครับ
เดินมาครึ่งทางจะเจอกระท่อมหลังเดิม เราหยุดแวะพักกินมื้อเที่ยงกันที่นี่
น้ำดื่มหมดไม่ต้องห่วง ลูกหาบมีรองน้ำมาจากน้ำตก ดื่มได้เลยครับ สะอาดสดชื่น
ไปกันต่อ อีกไม่ไกลครับ อึดใจเดียว
ถึงที่หมาย ไปอาบน้ำที่คลองหลังหมู่บ้าน น้ำเย็นชื่นใจครับ
ก่อนกลับแวะมื้อค่ำกันที่ตัวเมือง จำชื่อร้านไม่ได้แต่ลุงกะป้าเจ้าของร้านอารมณ์ดี อาหารอร่อยมากครับ
จบทริปล่ะครับ สั้นๆง่ายๆ สนุกดีครับ
ขอบคุณที่ติดตามครับ
สวัสดี
fb : zoonvor