ท่านที่เคารพรักครับ ลงว่าเมื่อยังเป็นคนในยุทธจักร ไม่เป็นตัวของตัวเอง ผูกพันอยู่กับบุญคุณและความแค้น
แล้วหากว่าเป็นคนในศาสนาเล่า ? ผูกพันกับอะไร อุทิศตน เพื่ออะไร ?
หากพูดตามสำนวนกำลังภายในของท่านโกวเล้งที่ว่า
" จงอย่าแข็งทื่อ ดุดัน เป็นกระบอง แต่จงแหลมคมดังดาบและกระบี่ "
นี่ยังอยู่ในระดับท่องเที่ยวหาประสบการณ์ในยุทธจักร ต่อเมื่อพบเจอเพศภัย แก้ไขแปรเปลี่ยนศาสตราวุธเป็นแพรพรรณได้
ถือว่าประสบความสำเร็จดังสำนวนนี้ที่ว่า
" เมื่อพิชิตใจลงได้ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้กระบี่ " หมายความถึงสภาวะความสูงส่งทางจิตใจ อีกระดับหนึ่ง
ที่เริ่มอยู่ในระดับเจ้าสำนัก ที่แบกป้ายยี่ห้อ ต้องเต็มไปด้วย พระเดช และพระคุณ
เวลานี้ไม่ใช่ยุค เดินถือดาบคมกริบเปลือยเปล่าขาววับเข้าไป แล้วสักครู่เดินถือดาบอาบโลหิตออกมา
พร้อมชูดาบขึ้นสูงประกาศกร้าวว่า ข้าคือผู้นำ ใครตามข้าอยู่ ใครขวางข้าตาย เห็นประชาชนเป็นเพียง ลิ่วล้อ หรือ เบี้ย
ไม่ใช่ยุคที่เต็มไปด้วยคำว่า " ใครฆ่าท่านพ่อ ใครทำร้ายซิอแป๋ ? หรือ คนเลือดท่วมตัวก่อนตายกระ
กระสน
ดิ้นรนใช้นิ้วเขียนบนพื้นดินว่า ล้างแค้นให้ข้าด้วย ตามด้วยชื่อฆาตรกร แล้วก็ ครอกกกกกกกก ขาดใจไป
สำหรับคนในวงการแล้ว การมีสหายเป็นร้อยยังนับว่าน้อย การมีศัตรูเพียงหนึ่ง ก็ถือว่ามาก
ไม่จำเป็นต้องเป็นคนอย่าง เฮียเหลา กำนันเป๊าะ เสธ.ต่างๆ ประชาชนเดินดินกินข้าวแกงอย่างเราๆก็พอเข้าใจสัจธรรมข้อนี้ดี
เหลียวมาดูแวดวงการเมืองของเรา ที่บุญคุณความแค้นพัวพันสับสนกันไปหมด เหมือนกลุ่มด้ายที่ยุ่งเหยิง
ยากจะสางได้ในเวลาสั้นๆ ฝ่ายจองล้างจองผลาญก็จ้องไปหมดไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่
หายใจเข้าเป็นยึด หายใจออกเป็นยุบ
แต่เหตุการณ์แต่งงานของลูกบังสนธิ กลับเป็นปรากฏการณ์ที่น่าชื่นชม ของคนในวงการ การเมือง
เพราะในงานมงคลสมรสของลูกชายบังสนธินั้น ผู้ไปร่วมงานด้วยคืออดีตนายกฯสมชาย ซึ่งทำความเข้าใจตรงกันกับบังสนธิคือ
หากก้าวเดินบนถนนการเมือง ต้องลืมอดีต ต้องไม่มีความเป็นฝ่าย นี่คือความจริงที่ขยายผลมาถึงนโยบาย แก้ไข ไม่แก้แค้น
ส่วนบังสนธิ ก็ตั้งพรรคการเมือง ลงเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย เสนอตัวพัฒนาประเทศตามระดับสติปัญญา ไม่ใช้กำลัง
นี่คือระดับความสูงส่งทางจิตใจที่พบเห็นได้ทางการเมือง ที่พูดกันว่า " ไม่มีมิตรแท้ และศัตรูถาวร " ไม่ยึดมั่น ถือมั่น
แต่พากันยึดประเทศชาติเป็นหลัก
ไม่ติดยึดเหนียวหนึบกับคำว่า " เสียของ " ชนิดหายใจเข้าออก หลับตาลงก็หมกหมุ่น
เพราะนั่นเป็นเพียงระดับกระบวนท่าของคนเริ่มสนใจการเมือง
แต่ความจริงยังห่างไกลจากการ " ค้นพบ " ทางออก และห่างไกลจากคำว่า " หลุดพ้น " กรอบการโดนยัดเยียดชุดความคิด
หากจับจากคำสอนของท่าน พุทธทาส ที่ว่าทำไมพวกเราสมัยนี้จึงได้รับประโยชน์จากพุทธศาสนาน้อยเกินไป
เมื่อเทียบกับประโยชน์ทั้งหมดที่พุทธศาสนาได้มีให้
ไม่มีสันติภาพอันพอควรในหมู่มนุษย์ ซึ่งถือกันว่าเป็นสัตว์สูงเหนือสัตว์ทั้งปวง
จนถึงกับกล่าวได้ว่าสันติภาพมีในหมู่สัตว์เดรัจฉานทั่วไปมากกว่าที่มีอยู่ในหมู่มนุษย์ เพื่อจะตอบปัญหานี้
เราควรจะทำความเข้าใจเสียก่อนว่า
คนที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับศาสนานั้นมีอยู่สองประเภทใหญ่ๆคือ เข้ามาเกี่ยวข้องเพียงสักว่าทำตามบรรพบุรุษ หรือตามประเพณีอย่างหนึ่ง
ที่มีคำล้อกันว่า บวชหนีงาน บวชผลาญข้าวสุก บวชสนุกตามเพื่อน บวชเตือนวัฏฏะสงสาร บวชเพื่อกบดาน
กับอีกอย่างหนึ่งนั้น เป็นเพราะมีความต้องการในใจอย่างใดอย่างหนึ่งจากศาสนา....
หากนำเอาหลักธรรมะของท่านพุทธทาสที่ว่า การปฎิบัติธรรมที่ถูกทาง เราต้องควรจะละวางตัวตนลงได้เรื่อยๆ
ไม่ใช่ยิ่งปฎิบัติจะยิ่งคิดเห็นไปว่าเรากลายเป็นผู้วิเศษ ดีเลิศ มีคุณธรรมกว่าคนอื่น
การติดยึดในความดี หลงละเมอว่า พรรคเราดีเลิศ
พวกเราดีเลิศ
ก็แย่พอๆกับการติดยึดว่าพรรคนั้นไม่ดี คนนั้นไม่ดี ตระกูลนั้นไม่ดีเช่นกัน
เพราะมันคือการอยู่ในความคิดที่ว่า มีตัวเรา ของเรา อยู่นั่นเอง.....
การพยายามบอกว่า ที่ผ่านๆมาคือปัญหา โทษนั่น โทษนี่ จนลืมมองไปว่า ปัญหาที่แท้จริงที่เกิดขึ้นทุกวันนี้
ก็คือ ตัวตนของตนเองนั่นแหละที่คือตัวปัญหา ทั้งปัญหาความรัก ปัญหาการเมือง
อย่าลืมว่า มนุษย์คือสัตว์ชนิดหนึ่ง ที่มักเรียกตนเองอย่างยกย่องว่า ตนเองคือสัตว์ที่ประเสริฐ กว่าสัตว์ชนิดอื่นๆ
จนลืมมองไปว่า มนุษย์คือสัตว์ชนิดเดียว ที่ร่วมเพศโดยหันหน้าเข้าหากันครับ
( ขอรบกวนฝากตอนที่หนึ่ง ด้วยครับ เป็นความต่อเนื่องเนื้อหาในกระทู้
ตอนที่สองครับ พี่ๆที่เคารพและขอบคุณพี่เวบมาสเตอร์ด้วยครับ)
http://ppantip.com/topic/33904093
จากเหมยถึงกาสะลอง จากโกวเล้งถึงคุณยิ่งลักษณ์ ( สุเทพ พระ ดารา นักร้อง คนในบอร์ดการเมือง และวุฒิภาวะทางการเมือง 2 X
แล้วหากว่าเป็นคนในศาสนาเล่า ? ผูกพันกับอะไร อุทิศตน เพื่ออะไร ?
หากพูดตามสำนวนกำลังภายในของท่านโกวเล้งที่ว่า
" จงอย่าแข็งทื่อ ดุดัน เป็นกระบอง แต่จงแหลมคมดังดาบและกระบี่ "
นี่ยังอยู่ในระดับท่องเที่ยวหาประสบการณ์ในยุทธจักร ต่อเมื่อพบเจอเพศภัย แก้ไขแปรเปลี่ยนศาสตราวุธเป็นแพรพรรณได้
ถือว่าประสบความสำเร็จดังสำนวนนี้ที่ว่า
" เมื่อพิชิตใจลงได้ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้กระบี่ " หมายความถึงสภาวะความสูงส่งทางจิตใจ อีกระดับหนึ่ง
ที่เริ่มอยู่ในระดับเจ้าสำนัก ที่แบกป้ายยี่ห้อ ต้องเต็มไปด้วย พระเดช และพระคุณ
เวลานี้ไม่ใช่ยุค เดินถือดาบคมกริบเปลือยเปล่าขาววับเข้าไป แล้วสักครู่เดินถือดาบอาบโลหิตออกมา
พร้อมชูดาบขึ้นสูงประกาศกร้าวว่า ข้าคือผู้นำ ใครตามข้าอยู่ ใครขวางข้าตาย เห็นประชาชนเป็นเพียง ลิ่วล้อ หรือ เบี้ย
ไม่ใช่ยุคที่เต็มไปด้วยคำว่า " ใครฆ่าท่านพ่อ ใครทำร้ายซิอแป๋ ? หรือ คนเลือดท่วมตัวก่อนตายกระกระสน
ดิ้นรนใช้นิ้วเขียนบนพื้นดินว่า ล้างแค้นให้ข้าด้วย ตามด้วยชื่อฆาตรกร แล้วก็ ครอกกกกกกกก ขาดใจไป
สำหรับคนในวงการแล้ว การมีสหายเป็นร้อยยังนับว่าน้อย การมีศัตรูเพียงหนึ่ง ก็ถือว่ามาก
ไม่จำเป็นต้องเป็นคนอย่าง เฮียเหลา กำนันเป๊าะ เสธ.ต่างๆ ประชาชนเดินดินกินข้าวแกงอย่างเราๆก็พอเข้าใจสัจธรรมข้อนี้ดี
เหลียวมาดูแวดวงการเมืองของเรา ที่บุญคุณความแค้นพัวพันสับสนกันไปหมด เหมือนกลุ่มด้ายที่ยุ่งเหยิง
ยากจะสางได้ในเวลาสั้นๆ ฝ่ายจองล้างจองผลาญก็จ้องไปหมดไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่
หายใจเข้าเป็นยึด หายใจออกเป็นยุบ
แต่เหตุการณ์แต่งงานของลูกบังสนธิ กลับเป็นปรากฏการณ์ที่น่าชื่นชม ของคนในวงการ การเมือง
เพราะในงานมงคลสมรสของลูกชายบังสนธินั้น ผู้ไปร่วมงานด้วยคืออดีตนายกฯสมชาย ซึ่งทำความเข้าใจตรงกันกับบังสนธิคือ
หากก้าวเดินบนถนนการเมือง ต้องลืมอดีต ต้องไม่มีความเป็นฝ่าย นี่คือความจริงที่ขยายผลมาถึงนโยบาย แก้ไข ไม่แก้แค้น
ส่วนบังสนธิ ก็ตั้งพรรคการเมือง ลงเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย เสนอตัวพัฒนาประเทศตามระดับสติปัญญา ไม่ใช้กำลัง
นี่คือระดับความสูงส่งทางจิตใจที่พบเห็นได้ทางการเมือง ที่พูดกันว่า " ไม่มีมิตรแท้ และศัตรูถาวร " ไม่ยึดมั่น ถือมั่น
แต่พากันยึดประเทศชาติเป็นหลัก
ไม่ติดยึดเหนียวหนึบกับคำว่า " เสียของ " ชนิดหายใจเข้าออก หลับตาลงก็หมกหมุ่น
เพราะนั่นเป็นเพียงระดับกระบวนท่าของคนเริ่มสนใจการเมือง
แต่ความจริงยังห่างไกลจากการ " ค้นพบ " ทางออก และห่างไกลจากคำว่า " หลุดพ้น " กรอบการโดนยัดเยียดชุดความคิด
หากจับจากคำสอนของท่าน พุทธทาส ที่ว่าทำไมพวกเราสมัยนี้จึงได้รับประโยชน์จากพุทธศาสนาน้อยเกินไป
เมื่อเทียบกับประโยชน์ทั้งหมดที่พุทธศาสนาได้มีให้
ไม่มีสันติภาพอันพอควรในหมู่มนุษย์ ซึ่งถือกันว่าเป็นสัตว์สูงเหนือสัตว์ทั้งปวง
จนถึงกับกล่าวได้ว่าสันติภาพมีในหมู่สัตว์เดรัจฉานทั่วไปมากกว่าที่มีอยู่ในหมู่มนุษย์ เพื่อจะตอบปัญหานี้
เราควรจะทำความเข้าใจเสียก่อนว่า
คนที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับศาสนานั้นมีอยู่สองประเภทใหญ่ๆคือ เข้ามาเกี่ยวข้องเพียงสักว่าทำตามบรรพบุรุษ หรือตามประเพณีอย่างหนึ่ง
ที่มีคำล้อกันว่า บวชหนีงาน บวชผลาญข้าวสุก บวชสนุกตามเพื่อน บวชเตือนวัฏฏะสงสาร บวชเพื่อกบดาน
กับอีกอย่างหนึ่งนั้น เป็นเพราะมีความต้องการในใจอย่างใดอย่างหนึ่งจากศาสนา....
หากนำเอาหลักธรรมะของท่านพุทธทาสที่ว่า การปฎิบัติธรรมที่ถูกทาง เราต้องควรจะละวางตัวตนลงได้เรื่อยๆ
ไม่ใช่ยิ่งปฎิบัติจะยิ่งคิดเห็นไปว่าเรากลายเป็นผู้วิเศษ ดีเลิศ มีคุณธรรมกว่าคนอื่น
การติดยึดในความดี หลงละเมอว่า พรรคเราดีเลิศ
พวกเราดีเลิศ
ก็แย่พอๆกับการติดยึดว่าพรรคนั้นไม่ดี คนนั้นไม่ดี ตระกูลนั้นไม่ดีเช่นกัน
เพราะมันคือการอยู่ในความคิดที่ว่า มีตัวเรา ของเรา อยู่นั่นเอง.....
การพยายามบอกว่า ที่ผ่านๆมาคือปัญหา โทษนั่น โทษนี่ จนลืมมองไปว่า ปัญหาที่แท้จริงที่เกิดขึ้นทุกวันนี้
ก็คือ ตัวตนของตนเองนั่นแหละที่คือตัวปัญหา ทั้งปัญหาความรัก ปัญหาการเมือง
อย่าลืมว่า มนุษย์คือสัตว์ชนิดหนึ่ง ที่มักเรียกตนเองอย่างยกย่องว่า ตนเองคือสัตว์ที่ประเสริฐ กว่าสัตว์ชนิดอื่นๆ
จนลืมมองไปว่า มนุษย์คือสัตว์ชนิดเดียว ที่ร่วมเพศโดยหันหน้าเข้าหากันครับ
( ขอรบกวนฝากตอนที่หนึ่ง ด้วยครับ เป็นความต่อเนื่องเนื้อหาในกระทู้
ตอนที่สองครับ พี่ๆที่เคารพและขอบคุณพี่เวบมาสเตอร์ด้วยครับ)
http://ppantip.com/topic/33904093