ีเริ่มมีอาการทางจิตที่ไม่ปกติ เห็นภาพหลอน ฝันร้าย อยากตาย ต้องการรักษาและอยากพบจิตแพทย์ แต่ไร้หนทางไม่รู้ว่าควรจะทำยังไง

สวัสดีฮะ ก่อนอื่นขออนุญาตเรียกแทนตัวเองว่าเรานะฮะ เราเป็นคนจังหวัดเชียงใหม่ ตั้งแต่จำความได้ ครอบครัวของเราอบอุ่นและรักกันมาก เราพี่มีน้องหลายคน อายุไล่เลี่ยกันและเป็นผู้ชายทั้งหมด จำได้ว่าตอนที่เรียนอนุบาลจนถึงป.1 เรามีความสุขมากเพราะชีวิตเราดูปกติทุกอย่าง ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองแปลกหรือแตกต่างกับเพื่อนคนอื่นๆเลย จนกระทั่งตอนป.2 เราได้ย้ายที่เรียนเนื่องจากคุณพ่อท่านต้องย้ายที่ทำงาน คุณพ่อของเรารับราชการฮะ ตอนนี้เริ่มรู้สึกแปลกๆกับตัวเองนิดหน่อย ด้วยความที่มีพี่น้องเป็นผู้ชายทั้งหมด กิจกรรมยามว่างของพวกเราโดยส่วนใหญ่จะเป็นการดูการ์ตูนหรือเล่นเกมส์กัน เวลาดูการ์ตูนก็ยังปกติดี เขาดูอะไรกันเราก็ดูแบบนั้น อุลตร้าแมน พาวเวอร์เรนเจอร์ ดิจิมอน แต่พอถึงเวลาเล่นเกมส์ทีไร เราจะห่วยแตกทุกที แพ้ตลอด แพ้ทุกรอบ จนคนอื่นๆรุมแกล้ง เด็กผู้ชายก็เล่นกันแรงๆเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วมั้ง แต่เราไม่ชอบ เราว่ามันป่าเถื่อน แน่นอนว่าเกิดปากเสียงกัน ทีนี้เราโดนรุมฮะ พวกเขาด่าเราว่า "ตุ๊ด" เราทนไม่ไหวบ่อน้ำตาแตก บอกตามตรงว่าตอนนั้นเราไม่รู้ความหมายหรอก แต่พอจะนึกออกไหมฮะเวลาที่เราโดนคนหลายๆคนย้ำคำพูดอะไรสักอย่างใส่เราซ้ำไปซ้ำมา(ความรู้สึกประมาณโดนเพื่อนรุมล้อชื่อคุณพ่อคุณแม่แหละฮะ)มันเหมือนเราทำอะไรผิดสักอย่างแล้วโดนประณาม จนคุณพ่อคุณแม่เข้ามาห้าม คุณแม่โอ๋เราให้หยุดร้อง ส่วนคุณพ่อตวาดพี่น้องเราและกำชับว่าอย่าว่าเราแบบนี้อีก หลังจากนั้นพวกเราแทบไม่ทะเลาะกันอีกเลย เพราะเราไม่ไปยุ่งอะไรกับพวกนั้นมาก เรามักจะอยู่กับคุณแม่ เราเลยติดคุณแม่มากๆ เรียนไปเรียนมาจนจบป.3 คุณพ่อได้ย้ายอีกแล้วฮะ เราก็ต้องย้ายตามอีก ตอนนี้เราขึ้นป.4ฮะ ตอนนี้คือจุดเปลี่ยนของชีวิตเลย ด้วยความที่เด็กรุ่นนี้ในสมัยนั้นแก่นซ่าอยู่พอตัว เราไม่รู้ว่าทำไมเราถึงแตกต่างกับเพื่อนที่เป็นผู้ชายด้วยกันมากมายขนาดนี้ เราไม่ชอบเล่นกีฬา ไม่ชอบแกล้งผู้หญิง ไม่ชอบความรุนแรง เราจึงอยู่ในกลุ่มของเพื่อนผู้หญิงซึ่งเป็นกลุ่มเด็กเรียน เราเองไม่ใช่คนเรียนเก่งเลยพลอยได้บุญซะงั้น และด้วยความที่เราไม่พูดคุยหรือทำกิจกรรมร่วมกับผู้ชายเท่าไหร่ล่ะมั้งฮะ เราเลยถูกแกล้งประจำ ไม่ใช่ไม่สู้นะฮะ เราก็สู้ แต่สู้ด้วยการต่อว่าต่อขานมากกว่า ไม่ได้ใช้กำลังต่อยตี และส่วนมากเพื่อนๆผู้หญิงของเราจะเป็นฮีโร่ฮะ พอพวกวันเดอร์เกิร์ลของเราออกโรง พวกผู้ชายหงอยเลยฮะ (ยังดีที่พอมีความเป็นสุภาพบุรุษอยู่บ้าง) แต่เราไม่ชอบเลยฮะเวลาที่ต้องเรียนลูกเสือกับพลศึกษา เพราะมันแบ่งแยกชายหญิงไงฮะ พอฮีโร่ของเราไม่อยู่ สิ่งที่เราต้องเจอก็คือ (ลูกเสือ) โดนบีบก้น ดีดหลัง ดีดแขน ดีดท้ายทอย เตะฝุ่นใส่ เตะหินใส่ ด่าทอหยาบคาย (กระบี่) โดนเอาไม้กระบี่ตีแขนตีขา ไม่เจ็บมากเพราะกางเกงวอร์มคงเซฟตี้ไว้แต่ก็แดงฮะ (ว่ายน้ำ) อันนี้เกลียดที่สุดฮะ ถ้าวันไหนไม่ไปโรงเรียนได้จะมีความสุขมาก เพราะเราจะโดนมองด้วยสายตาแปลกๆ โดนบีบหน้าอก โดนดึงเกงเกงในน้ำ โดนล็อคแขนล็อคขาในน้ำแล้วโดนพวกมันล้วงทีละคน โดนเอาของในล็อคเกอร์ไปซ่อน ทุกครั้งที่โดนแกล้ง เราร้องไห้ทุกครั้ง ยิ่งสู้ยิ่งโดนแกล้งหนัก เราไม่เคยได้รับคำขอโทษ สิ่งที่เราได้คือเสียงหัวเราะและสายตาสะใจของคนพวกนั้น พวกเขามักจะทำตอนที่คุณครูเผลอเสมอ พอเราบอกให้คุณครูทราบ ท่านเพียงเรียกคนเหล่านั้นไปตักเตือน แต่นั่นไม่ช่วยอะไรเลย (ขอกลับไปเล่าเรื่องที่บ้านบ้าง) พ่อคนแม่คนไม่ใช่ว่าดูไม่ออกหรอกฮะว่าลูกตัวเองเป็นอะไร ทำตัวตุ้งติ้ง รักสวยรักงาม คุณพ่อเลยพาเราไปลงคอร์สเรียนฟุตบอลฮะ เรางอแงทุกครั้งที่ไป ร้องไห้ทุกครั้ง เพราะเราไม่ชอบ เพราะเหตุการณ์ในครั้งนั้นพ่อถึงผิดหวังในตัวเรามาตลอด มีแค่แม่ที่คอยโอ๋ (กลับไปที่โรงเรียนต่อ) มีโดนหนักสุดๆในชีวิตอยู่2ครั้ง(ตอนป.6) วันนั้นลูกเสืองดคลาส คุณครูปล่อยตามอัธยาศัย เพื่อนต่างห้องก็เดินเข้ามาหาเราแล้วบอกว่าตามมานี่หน่อย (คือลูกเสือมันเรียนรวมกันทั้งชั้นน่ะฮะ น่าจะพอจำกันได้) แล้วด้วยความที่เราไม่อยากโดนแกล้งก็เดินตามไป ยิ่งห่างไกลผู้คนเราไม่ก็อยากเดินต่อ ยิ่งเข้าใกล้เขตที่คนไม่ค่อยเดินผ่านกันเรายิ่งกลัว จนในที่สุดพวกนั้นก็หยุดเดิน สองในสามคนนั้นล็อคเเขนเราดันหลังติดกับกำแพง เราเริ่มร้องไห้ เรากลัวมากคิดว่าเราจะโดนทำร้ายร่างกาย แต่เปล่าเลย เพราะคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเริ่มปลดหัวเข็มขัดของตัวเองออก ปลดซิปกางเกงแล้วปล่อยให้กางเกงร่วงไปกองกับพื้นเหลือแค่บ็อกเซอร์ เราจึงร้องไห้หนักกว่าเดิม เขาเลยก็ตะคอกให้เงียบแล้วฟัง(สรุปคือเขาจะให้เราไปขอเบอร์รุ่นน้องผู้หญิงคนนึง เขาขู่ว่าถ้าไม่ได้เขาทำจริงแน่) เราก็เลยตอบตกลง หลังจากนั้นพวกนั้นก็ไม่ยุ่งกับเราอีกเลย อีกเรื่องคือตอนนั้นเราไปเข้าห้องน้ำในฟลอร์ของป.6นี่แหละฮะ ระหว่างที่เราทำธุระอยู่ จู่ๆก็มีมือถือสอดเข้ามาใต้ประตู โชคดีนะที่เห็นตอนสอดมือถือเข้ามาพอดี ตกใจมาก ไล่ยังไงก็ไม่ยอมไป ปล่อยโฮเลยทีนี้ ทำอะไรไม่ถูก รนไปหมด จนหันไปเจอสายฉีดชำระเลยคว้ามาฉีดน้ำใส่มือถือเขาเลย ทีนี้ล่ะฮะรีบดึงมือถือออกไปเลย โวยวายใหญ่โต ด่าทอเราสารพัด ขนมาทั้งสวนสัตว์ น้ำตาที่เริ่มแห้งไปแล้วเริ่มไหลเป็นก๊อกน้ำอีกครั้ง เรารีบจัดการธุระให้เสร็จแล้วรออยู่ในนั้นนานพอสมควร ไม่รู้ว่าเขาไปหรือยัง เรากลัวมาก ไม่กล้าออกจากห้องน้ำ โชคดีที่กริ่งหมดคาบดังพอดี+เปลี่ยนวิชาเรียนด้วย รอสักสองสามนาทีแล้วรวบรวมความกล้าเปิดประตูออกไปช้าๆ โล่งอกที่ไม่มีใครอยู่แล้ว เราไม่รู้หรอกว่าใคร ก็เราโดนแกล้งไปทั่ว แต่สองครั้งนี้เรากลัวมากที่สุดในชีวิต ชอบตกใจง่ายบ่อยๆ มีแค่เพื่อนๆที่รู้ เราไม่กล้าเล่าให้คุณแม่ฟังเพราะกลัวท่านไม่สบายใจ ตอนนั้นถึงขั้นกลัวผู้ชายไปพักใหญ่ แต่ที่กลัวมาจนถึงทุกวันนี้คือกลัวการที่ต้องเดินผ่านหรืออยู่กับผู้ชายที่อยู่กันเยอะๆ กลัวการเข้าห้องน้ำสาธารณะ ไม่ชอบเลย แต่พอขึ้นม.ต้นเริ่มดีขึ้น โดนแกล้งไม่แรงมากนัก มีแค่โดนคำพูดหยาบคาย,ล้อเลียน แต่มีครั้งนึงโดนเอารองเท้าไปซ่อน เราร้องไห้ตั้งแต่หน้าห้องเรียนจนถึงบ้านด้วยเท้าที่สวมเพียงถุงเท้า(ตอนนั้นบ้านเราใกล้รร.ก็เลยเดินเอาฮะ) พอตกอีกวันมาถึงได้คืนเพราะมีคนมาสารภาพ ช่วงนี้ขอเล่าเหตุการณ์ที่บ้านบ้าง ระหว่างเรากับพี่น้องทุกคนปกติดี ไม่ได้มีปัญหาอะไรกัน แต่คุณพ่อ.. ช่วงนั้นมีสาวประเภทสองหลายๆท่านที่มีชื่อเสียง คุณปอยเอย คุณฟิลม์เอย คุณแจ๊สเอย แถมช่วงนั้นบูมมากเรื่องมีสทิฟฟานี่ เมื่อคุณพ่อท่านเห็นสิ่งเหล่านี้ในสื่อต่างๆ ในระหว่างมื้ออาหารก็ดีหรือที่ไหนก็ดีท่านมักจะพูดขึ้นมาว่า "ถ้าพ่อมีลูกแบบนี้คงเสียใจแย่ อย่าไปบอกใครนะว่าเป็นลูกของเขา ตัดพ่อตัดลูกไปเลย ต่างคนต่างอยู่" (และคำเปรียบเปรยอีกมากมายทีเราไม่อยากพูดให้ท่านดูไม่ดีในสายตาของคนอื่น อย่าว่าคุณพ่อเราเลยนะ) ช่วงนั้นเราหน่วงในอกมาก ยิ่งเห็นข่าว เห็นภาพและสื่อมากแค่ไหน คุณพ่อก็ยิ่งพูดประโยคเดิมๆกรอกหู เหมือนเราโดนมีดกรีดที่หัวใจ แอบร้องไห้คนเดียวบ่อยๆไม่ได้แสดงมุมอ่อนแอให้ใครเห็นแม้แต่คุณแม่เองก็ตาม พอขึ้นม.ปลายก็ได้ย้ายอีกแล้วฮะ กลับมาที่เชียงใหม่ ตอนนี้ไม่ค่อยโดนแกล้งแล้วฮะ มีถึงเนื้อถึงตัวบ้างนิดหน่อยขำๆไม่ถึงขั้นลวนลาม เพราะวัยนี้เขามีความรักกันหมดฮะ ไม่ค่อยมีใครสนใจเราหรอก เราใช้ชีวิตเรียบๆตามแบบของเรามาเรื่อยๆจนจบม.ปลาย เราไม่ใช่คนหน้าตาดีหรือโดดเด่น เราอาจจะไม่ถึงขั้นเนิร์ดแต่ก็ไม่ใช่เด็กกิจกรรม เราไม่เคยเป็นเชียร์ลีดเดอร์แม้จะโดนบังคับก็ตาม ที่โดนบังคับนี่ไม่ใช่ว่าหน้าตาดีเพียงแต่เขาคิดว่าแบบเราน่าจะพูดง่ายกว่าผู้ชายแท้ เราไม่ค่อยกล้าแสดงออกหรอก แต่ถามว่าอยากเด่นไหม อยากใส่ชุดสวยๆไหม ลึกๆแล้วในใจเราก็อยากนะ เพราะเราไม่เด่นไง โดนมองข้ามตลอด แต่ความอายมันมีมากกว่า พอโดนบังคับมากๆเราก็ร้องไห้ ก็เลยไม่มีใครเซ้าซี้ พอขึ้นมหาวิทยาลัย สังคมที่นี่ค่อนข้างดี(เราเรียนมหาวิทยาลัยนึงในเชียงใหม่) ผู้ชายทุกคนที่นี่ให้เกียร์ติเรา อย่างเช่นเวลาต้องใช้แรงของผู้ชายทำนั่นทำนี่ ไม่ว่าจะโดนอาจารย์ใช้ก็ดี กิจกรรมก็ดี ยกถังน้ำเอย ยกโต๊ะเอย เราก็จะเดินไปช่วยทุกครั้ง แต่ทุกครั้งก็จะมีใครสักคนพูดขึ้นมาว่า เห้ย! ไม่ต้องหรอก นี่มันงานของผู้ชายเขา ยอมรับนะว่าเรารู้สึกดี แม้ลึกๆแล้วสิ่งที่เราเคยเจอมาตั้งแต่เด็กจะทำให้เรากลัวผู้ชาย แต่พวกเขาก็ดูเป็นคนดี แต่เราไม่ได้สนิทหรือเป็นเพื่อนกับพวกเขาหรอก ออกแนวต่างคนต่างอยู่มากกว่า บางครั้งก็แอบคิดว่าเราโดนรังเกียจบ้างไหมแต่ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ปัจจุบันเราเรียนจบปี1แล้วฮะ กำลังจะขึ้นปี2เทอมนี้ ถ้าถามเรื่องรสนิยมเราเองก็ตอบไม่ได้ว่าจริงๆแล้วเราชอบแบบไหนหรือว่าเราเป็นแบบไหนกันแน่เพราะทั้งชีวิตนี้ยังไม่เคยมีแฟนเลย แต่คิดว่าที่ใกล้เคียงกับลักษณะนิสัยเรามากที่สุดก็คงเป็นกึ่งๆตุ๊ดกึ่งๆเคะ(ฝ่ายรับ)ล่ะมั้งฮะ เราแต่งหน้านะแต่ว่าไม่เคยมีความคิดที่จะแต่งหญิงอยู่ในหัวเลย ไม่ได้ชอบที่จะทำ เวลาอยู่กับเพื่อนเรากรี้ดกร้าดดี๊ด๊าปกติ แต่เวลาปกติเราไม่ได้ตุ้งติ้งมากนัก ส่วนใหญ่คนที่ไม่รู้จักเราจะคิดว่าเราเป็นทอม บางคนคิดว่าเป็นผู้หญิงผมสั้นเลยก็มี เราเลยไม่มีปัญหาเรื่องการใช้ห้องน้ำ เพราะเราเข้าห้องน้ำหญิงตลอด แรกๆก็ไม่กล้าเข้า อย่างน้อยเราก็ควรให้เกียร์ติสตรีเพศ แต่ตอนปี1ผมเผ้าเริ่มยาวขึ้น(ก็แบบผู้ชายทั่วๆไปในวัยนี้) เข้าห้องน้ำชายทีไรทุกคนตกใจทุกที เราโดนทักให้อายตลอดว่าเข้าห้องน้ำผิด ก็เลยทำใจใช้ห้องน้ำหญิงแทน แรกๆก็เกร็งๆปนเกรงใจ ก้มหน้ามองพื้นตลอด  สักพักมีพี่ผญคนนึงกำลังจะเดินออกห้องน้ำไปแต่พี่เขาคงเห็นเรายืนบิดตัวอยู่มั้งก็เลยหยุดทัก "น้องคะ ห้องน้ำว่างแล้วค่ะ" เรารีบโค้งหัวให้แล้วรีบวิ่งเข้าห้องน้ำอย่างไว ชีวิตเราค่อนข้างมีความสุขนะ ส่วนตัวเราเปิดใจคุยกับคุณแม่เรื่องนี้ ท่านเข้าใจและรับได้ เราเองมีเพื่อนที่ดีที่เข้าใจ จนกระทั่งตอนนี้มันเปลี่ยนไป เมื่อพวกเราก้าวเข้าสู่วัยที่เริ่มจริงจังกับการใช้ชีวิตและแพลนอนาคต รวมถึงเรื่องความรัก.. เพื่อนเรามักพูดจาทำร้ายจิตใจเราโดยที่พวกเธอไม่ได้ตั้งใจ อย่างเช่นเวลาที่เห็นคู่รักเกย์บนโซเชียลมีเดีย พวกเธอมักจะพูดว่า "อี๋ อะไรเนี่ย สยอง เขาทำกันยังไง มันน่ารังเกียจไม่ใช่หรอ" ถึงพวกเธอจะพูดถึงคนอื่นแต่มันทิ่มใจเราเต็มๆเลยฮะ บางครั้งถึงกับมีการคะยั้นคะยอให้เราเป็นผู้ชายด้วยนะ แรกๆเราก็นอยด์แต่ก็เคลียร์กันขอโทษกัน แต่เรายังเจอเหตุการณ์แบบนี้เรื่อยๆจนกล่องที่บรรจุความน้อยใจมันเอ่อล้นแล้วอ่ะ มันไม่ไหวแล้ว ลองมาคิดทบทวนดูว่าที่พวกเธอไม่เข้าใจเรา เป็นเพราะพวกเธอไม่ได้เป็นแบบเราหรือเปล่า คิดเข้าข้างตัวเองแบบนี้มาตลอด แต่วันนี้นอนเหม่อทบทวนเรื่องราว ก็คิดได้ว่าแล้วทำไมเราถึงเข้าใจพวกเธอล่ะ เรื่องประจำเดือน เรื่องคนรัก เรื่องทัศนคติของพวกเธอที่มีต่อสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิต ทำไมเราถึงเข้าใจล่ะ สุดท้ายเราก็หาคำตอบได้แล้ว เพราะว่าเรารักพวกเธอไง เราไม่อยากให้พวกเธอรู้สึกว่าทำไมไม่มีใครเข้าใจ เราไม่อยากให้พวกเธอเผชิญหน้ากับเรื่องแย่ๆเพียงลำพัง เราพยายามมาตลอด พยามเข้าใจในความรู้สึกของพวกเธอทั้งๆที่ชาตินี้ยังไงเราก็ไม่มีวันได้เจอกับตัวเองแน่ๆ เพราะแบบนี้ไง คำตอบที่ได้มันก็แค่ตรงข้ามกัน เธออาจจะเข้าใจเราแต่ก็ไม่ทั้งหมด ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ รักเราไม่เท่ากัน ช่วงนี้คุณแม่ค่อนข้างเครียดกับเรื่องงานและเรื่องที่บ้านด้วย เเค่เห็นท่านเหนื่อยเราก็ไม่กล้าเอาเรื่องไปเพิ่มให้ท่านหนักใจแล้ว เราไม่มีใครเลย ทำไมอ่ะ ทำไมต้องเป็นแบบนี้ คุณพ่อก็ปฏิเสธเรา คุณแม่ก็เครียดเรื่องงาน(โรคก็รุมเร้า) เราไม่เหลือใครเลย ทั้งชีวิตเรามีแค่คุณแม่กับพวกเธอ ทำไมโลกนี้ถึงใจร้ายกับเรานัก เราเริ่มมีความคิดและอาการแปลกๆ เริ่มอยากหายไปและคิดถึงเรื่องความตาย พูดกับกระจก ร้องไห้และหัวเราะไปพร้อมๆกัน ฝันเห็นตัวเองร้องไห้ซ้ำๆ เห็นภาพหลอนตอนที่โดนรังแก การตอบสนองช้าลงทำอะไรช้าลง พูดช้าลง ชอบทำอะไรโดยไม่รู้ตัว(รู้อีกทีคือทำไปแล้ว) หน้ามืดและอยากอาเจียนบ่อย ไม่ทานอาหารมาแปดวันแล้ว พยายามจะทานแต่พอได้กลิ่นก็อาเจียน เราไม่อยากเป็นแบบนี้ เราไม่อยากอ่อนแอ เราอยากอยู่เพื่อปกป้องดูแลคุณแม่ เราอยากประสบความสำเร็จให้ท่านภูมิใจในตัวเรา เราอยากเลี้ยงดูตอบแทนบุญคุณของท่านแต่เราควรจะทำยังไงดี เราอยากไปพบจิตแพทย์ เราอยากรักษา
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่