เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า
ผมเพิ่งกลับมาเรียนต่อปริญญาโท เลยได้มีโอกาสใช้บริการรถไฟฟ้าใต้ดินเกือบทุกวัน
คนที่เคยนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินเป็นประจำ คงน่าจะคุ้นชิน กับการต้องหยุดเปิดกระเป๋าให้พี่ๆพนักงานตรงทางเข้าดู
เวลาที่เดินผ่านช่องตรวจ แล้วมันเกิดส่งเสียงร้อง ปี๊ปๆ ขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว เรายังไม่ทันได้เปิดกระเป๋ากันเสร็จดีหรอก
เจ้าหน้าที่ที่เอ่ยปากขอให้เราเปิดกระเป๋าก็จะรีบยิ้มให้ พร้อมพูดว่า "เชิญค่ะ"
บางคนหยิบไฟขึ้นฉายมาแกว่งเบาๆ ทำท่าก้มดูของในกระเป๋า แต่บางคนก็ไม่แม้แต่จะสนใจก้มลงมองดูของในนั้นแม้แต่น้อย
พอเจอแบบนี้เข้าหลายๆครั้ง ผมก็เลยอดสงสัยไม่ได้ว่า ถ้าเกิดมีคนพกระเบิดเข้ามาจริงๆเจ้าหน้าที่เหล่านั้น
จะตรวจเจอระเบิดที่ซ่อนอยู่ในกระเป๋ารึเปล่า? หรือถ้าใครพกอาวุธร้ายแรงติดตัวมาเพื่อจะก่อเหตุวุ่นวาย เจ้าหน้าที่เหล่านั้น
จะสังเกตเห็น และป้องกันอันตรายที่เกิดขึ้นได้ทันท่วงทีรึเปล่า ถ้าคิดดีๆแล้วหน้าที่ตรวจกระเป๋านับเป็นหน้าที่ที่สำคัญมากทีเดียว
ซึ่งเจ้าหน้าที่ทุกคนควรจะตั้งใจทำหน้าที่ ไม่ใช่แค่ทำๆไปตามหน้าที่?
คิดๆดูแล้ว ในชีวิตของเรา ก็มักจะเจอคนที่มีลักษณะนิสัยคล้ายๆกับเจ้าหน้าที่เหล่านี้
คือเวลาที่เห็นเราดูมีปัญหา หรือมีสีหน้าไม่สบายใจ คนเหล่านี้ จะชอบเดินเข้ามาพูดคุย ถามไถ่
“มีปัญหาอะไรรึเปล่า”
"สีหน้าไม่ดีเลย มีอะไรอย่าเก็บไว้คนเดียวนะ"
"ระบายให้พวกเราฟังก็ได้นะ"
“เล่าให้พี่ฟังได้นะ เผื่อพี่พอจะช่วยอะไรได้”
แต่พอเราเริ่มเปิดปากเล่า พวกเขาก็กลับแค่ฟังและก็ปล่อยให้เรื่องนั้นลอยผ่านไป
เพราะมันไม่ใช่เรื่องของเขา หรือที่แย่ไปกว่านั้นบางคนก็ทำท่าสนใจฟัง แต่สักพัก ก็หันไปคุย
หรือสนใจกับเรื่องอื่นที่ผ่านมาอย่างง่ายดาย หรือบางคนพอฟังเราเล่าจบ ก็เพียงแค่ตบไหล่เรา บอกให้เราสู้
และเดินจากไป คนเหล่านั้น ก็เหมือนพนักงานที่คอยยืนขอตรวจดูข้าวของในกระเป๋าของเรานั่นแหละ
พวกเขาทำท่าเหมือนสนใจอยากรู้ แต่เอาจริงๆเขาก็แค่ถามไปตามหน้าที่ หน้าที่ของคนรู้จักกัน
หรือถามไปตามมารยาทสังคมเท่านั้น หรือที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ ถามเพราะอยากรู้อยากเห็นเรื่องของคนอื่น
เมื่อพบว่าเรื่องที่ฟังไม่ได้น่าสนใจ พวกเขาก็พร้อมจะลุกจากไปทันที
ฉะนั้น เราจึงควรแยกแยะให้ออก ว่าใครกันที่สนใจเรื่องราวของเราจริงๆ หรือใครกันที่แค่ถามไปตามมารยาท
แต่ไม่ได้สนใจ ใส่ใจเรื่องราว หรือปัญหาของเราอย่างจริงๆจังๆ ซึ่งถ้าเราต้องเสียเวลานั่งเล่าเรื่องแย่ๆที่เกิดขึ้น
ครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้าย แทนที่จะช่วยให้อะไรๆดีขึ้น มันอาจยิ่งทำให้เรารู้สึกแย่หนักไปกว่าเดิม
เมื่อพบว่าคนที่เหมือนจะเข้ามารับฟัง และเป็นที่ปรึกษาไม่ได้มีท่าทีสนใจ หรือตั้งใจฟังปัญหาของเราอย่างแท้จริง
ที่พูดมาทั้งหมด ไม่ได้แปลว่าผมมองว่าการระบายความทุกข์ หรือการเล่าปัญหาให้ใครสักคนฟังนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ดี
แต่ผมว่าเราควรเลือกให้ดี ว่าจะเล่าความทุกข์ หรือปัญหานั้นให้ใครฟัง
เพราะเรื่องบางเรื่อง ก็เหมาะที่จะเล่าให้ใครสักคน ไม่ใช่ใครทุกคนฟัง
ผมว่าคนที่จะเป็นผู้ฟังปัญหาที่ดีของเรา น่าจะเป็นคนที่รู้จักเราดีด้วยเช่นกัน
อย่าเสียเวลาทั้งวันไปกับการเที่ยวเล่าเรื่องหนักอกหนักใจให้คนนั้น คนนี้ฟัง เพราะผมเคยทำมาแล้ว
และพบว่าแทนที่จะรู้สึกโล่งเมื่อได้พูดออกไป มันกลับยิ่งกลายเป็นว่าปัญหานั้นหนักขึ้นทุกทีๆ
จงแยกแยะคนรอบตัวเราให้ออก ชีวิตของเรามีค่า และเวลาของเรามีน้อยเกินกว่าจะมาเสียเวลานั่งเล่าปัญหาให้กับคนทุกคนฟัง
สำหรับคนที่แค่ถามไปตามหน้าที่ หรือคนที่ดูเหมือนจะใส่ใจ แต่เอาเข้าจริงกลับไม่จริงจังกับเรื่องของเราสักนิด
ปล่อยเขาไปเถอะ
เพราะถ้าเขาไม่ได้สนใจจะตรวจหาระเบิดที่ซ่อนอยู่ในกระเป๋าของเราจริงๆ
เขาก็ไม่มีวันที่จะค้นเจอระเบิดที่ซ่อนอยู่ในนั้นได้หรอก
บางคน..ก็ทำเหมือนใส่ใจเรื่องของเรา
เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า
ผมเพิ่งกลับมาเรียนต่อปริญญาโท เลยได้มีโอกาสใช้บริการรถไฟฟ้าใต้ดินเกือบทุกวัน
คนที่เคยนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินเป็นประจำ คงน่าจะคุ้นชิน กับการต้องหยุดเปิดกระเป๋าให้พี่ๆพนักงานตรงทางเข้าดู
เวลาที่เดินผ่านช่องตรวจ แล้วมันเกิดส่งเสียงร้อง ปี๊ปๆ ขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว เรายังไม่ทันได้เปิดกระเป๋ากันเสร็จดีหรอก
เจ้าหน้าที่ที่เอ่ยปากขอให้เราเปิดกระเป๋าก็จะรีบยิ้มให้ พร้อมพูดว่า "เชิญค่ะ"
บางคนหยิบไฟขึ้นฉายมาแกว่งเบาๆ ทำท่าก้มดูของในกระเป๋า แต่บางคนก็ไม่แม้แต่จะสนใจก้มลงมองดูของในนั้นแม้แต่น้อย
พอเจอแบบนี้เข้าหลายๆครั้ง ผมก็เลยอดสงสัยไม่ได้ว่า ถ้าเกิดมีคนพกระเบิดเข้ามาจริงๆเจ้าหน้าที่เหล่านั้น
จะตรวจเจอระเบิดที่ซ่อนอยู่ในกระเป๋ารึเปล่า? หรือถ้าใครพกอาวุธร้ายแรงติดตัวมาเพื่อจะก่อเหตุวุ่นวาย เจ้าหน้าที่เหล่านั้น
จะสังเกตเห็น และป้องกันอันตรายที่เกิดขึ้นได้ทันท่วงทีรึเปล่า ถ้าคิดดีๆแล้วหน้าที่ตรวจกระเป๋านับเป็นหน้าที่ที่สำคัญมากทีเดียว
ซึ่งเจ้าหน้าที่ทุกคนควรจะตั้งใจทำหน้าที่ ไม่ใช่แค่ทำๆไปตามหน้าที่?
คิดๆดูแล้ว ในชีวิตของเรา ก็มักจะเจอคนที่มีลักษณะนิสัยคล้ายๆกับเจ้าหน้าที่เหล่านี้
คือเวลาที่เห็นเราดูมีปัญหา หรือมีสีหน้าไม่สบายใจ คนเหล่านี้ จะชอบเดินเข้ามาพูดคุย ถามไถ่
“มีปัญหาอะไรรึเปล่า”
"สีหน้าไม่ดีเลย มีอะไรอย่าเก็บไว้คนเดียวนะ"
"ระบายให้พวกเราฟังก็ได้นะ"
“เล่าให้พี่ฟังได้นะ เผื่อพี่พอจะช่วยอะไรได้”
แต่พอเราเริ่มเปิดปากเล่า พวกเขาก็กลับแค่ฟังและก็ปล่อยให้เรื่องนั้นลอยผ่านไป
เพราะมันไม่ใช่เรื่องของเขา หรือที่แย่ไปกว่านั้นบางคนก็ทำท่าสนใจฟัง แต่สักพัก ก็หันไปคุย
หรือสนใจกับเรื่องอื่นที่ผ่านมาอย่างง่ายดาย หรือบางคนพอฟังเราเล่าจบ ก็เพียงแค่ตบไหล่เรา บอกให้เราสู้
และเดินจากไป คนเหล่านั้น ก็เหมือนพนักงานที่คอยยืนขอตรวจดูข้าวของในกระเป๋าของเรานั่นแหละ
พวกเขาทำท่าเหมือนสนใจอยากรู้ แต่เอาจริงๆเขาก็แค่ถามไปตามหน้าที่ หน้าที่ของคนรู้จักกัน
หรือถามไปตามมารยาทสังคมเท่านั้น หรือที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ ถามเพราะอยากรู้อยากเห็นเรื่องของคนอื่น
เมื่อพบว่าเรื่องที่ฟังไม่ได้น่าสนใจ พวกเขาก็พร้อมจะลุกจากไปทันที
ฉะนั้น เราจึงควรแยกแยะให้ออก ว่าใครกันที่สนใจเรื่องราวของเราจริงๆ หรือใครกันที่แค่ถามไปตามมารยาท
แต่ไม่ได้สนใจ ใส่ใจเรื่องราว หรือปัญหาของเราอย่างจริงๆจังๆ ซึ่งถ้าเราต้องเสียเวลานั่งเล่าเรื่องแย่ๆที่เกิดขึ้น
ครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้าย แทนที่จะช่วยให้อะไรๆดีขึ้น มันอาจยิ่งทำให้เรารู้สึกแย่หนักไปกว่าเดิม
เมื่อพบว่าคนที่เหมือนจะเข้ามารับฟัง และเป็นที่ปรึกษาไม่ได้มีท่าทีสนใจ หรือตั้งใจฟังปัญหาของเราอย่างแท้จริง
ที่พูดมาทั้งหมด ไม่ได้แปลว่าผมมองว่าการระบายความทุกข์ หรือการเล่าปัญหาให้ใครสักคนฟังนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ดี
แต่ผมว่าเราควรเลือกให้ดี ว่าจะเล่าความทุกข์ หรือปัญหานั้นให้ใครฟัง
เพราะเรื่องบางเรื่อง ก็เหมาะที่จะเล่าให้ใครสักคน ไม่ใช่ใครทุกคนฟัง
ผมว่าคนที่จะเป็นผู้ฟังปัญหาที่ดีของเรา น่าจะเป็นคนที่รู้จักเราดีด้วยเช่นกัน
อย่าเสียเวลาทั้งวันไปกับการเที่ยวเล่าเรื่องหนักอกหนักใจให้คนนั้น คนนี้ฟัง เพราะผมเคยทำมาแล้ว
และพบว่าแทนที่จะรู้สึกโล่งเมื่อได้พูดออกไป มันกลับยิ่งกลายเป็นว่าปัญหานั้นหนักขึ้นทุกทีๆ
จงแยกแยะคนรอบตัวเราให้ออก ชีวิตของเรามีค่า และเวลาของเรามีน้อยเกินกว่าจะมาเสียเวลานั่งเล่าปัญหาให้กับคนทุกคนฟัง
สำหรับคนที่แค่ถามไปตามหน้าที่ หรือคนที่ดูเหมือนจะใส่ใจ แต่เอาเข้าจริงกลับไม่จริงจังกับเรื่องของเราสักนิด
ปล่อยเขาไปเถอะ
เพราะถ้าเขาไม่ได้สนใจจะตรวจหาระเบิดที่ซ่อนอยู่ในกระเป๋าของเราจริงๆ
เขาก็ไม่มีวันที่จะค้นเจอระเบิดที่ซ่อนอยู่ในนั้นได้หรอก