วันนี้คงปฏิเสธไม่ได้ว่า "จีน" มีบทบาทโดดเด่นมากขึ้นทุกทีในเวทีโลก ตั้งแต่เติ้งเสี่ยวผิงประกาศเปิดประเทศเมื่อ ปี พ.ศ. 2521 (ค.ศ. 1978) จีนก็เร่งพัฒนาประเทศในทุกด้านอย่างจริงจัง ทำให้วันนี้จีนจากประเทศที่มีแต่ความยากจน กลายเป็นประเทศที่มีฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง เห็นได้จากทุนสำรองระหว่างประเทศ (Foreign Exchange Reserves) ของจีนที่มีมากที่สุดในโลก ด้วยมูลค่าถึง 3.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ตัวเลขประมาณการ ณ ธันวาคม 2557) มากกว่าสหรัฐอเมริกา ประเทศมหาอำนาจอันดับ 1 ของโลกในปัจจุบันที่มีทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ในลำดับที่ 19 ด้วยมูลค่าเพียง 1.45 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (ตัวเลขประมาณการ ณ ธันวาคม 2556)
ด้วยเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่มีจำนวนมหาศาล ทำให้จีนแข็งแกร่งเพียงพอที่จะเข้ามามีบทบาทในระบบการเงินของโลก
วันนี้เงินหยวนของจีนกำลังเข้ามาเป็นหนึ่งในเงินสกุลหลักของโลก ซึ่งสหรัฐฯ เองก็รู้ดีว่า เงินหยวนคือ
คู่แข่งที่น่ากลัวที่จะมาท้าทายเงินสกุลดอลลาร์ของตนที่ครองบัลลังค์เงินสกุลหลักของโลกมายาวนานตั้งแต่การเกิดขึ้นของระบบแบรตตันวูตส์ (Bretton Woods System) ในปี พ.ศ. 2487 (ค.ศ. 1944)
นอกจากเงินหยวนแล้ว จีนก็ยังได้ริเริ่มก่อตั้งสถาบันทางการเงินระหว่างประเทศแห่งใหม่ขึ้นมา นั่นคือ ธนาคารเอไอไอบี (Asian Infrastructure Investment Bank : AIIB)
การเกิดขึ้นของ AIIB นี้ นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญต่างวิเคราะห์กันว่า นี่คือ อีกหนึ่งความพยายามของจีนที่จะเข้ามามีบทบาทแข่งขันกับสถาบันการเงินระหว่างประเทศในปัจจุบัน อย่างธนาคารโลก (World Bank) ซึ่งเป็นผลผลิตจากระบบแบรตตันวูตส์เช่นกัน
ถ้ามองในแง่การเมืองระหว่างประเทศก็น่าจะใช่ แต่นอกจากการเมืองแล้วยังมีเหตุผลอื่นอีกหรือไม่?
เรื่องนี้เจ้าสัวธนินท์เคยให้มุมมองเอาไว้ มุมมองที่ว่านั้นไม่ใช่เรื่องการเมืองระหว่างประเทศแต่เป็นเรื่องการพัฒนา
“จีนคิดรอบคอบเบ็ดเสร็จ รู้ว่า ประเทศเล็กส่วนใหญ่ไม่มีเงิน ประเทศใหญ่ต้องอุ้มประเทศเล็ก จีนเลยสร้างธนาคารปล่อยกู้ให้ประเทศเล็กไปทำโครงสร้างพื้นฐาน นี่แหละพี่ใหญ่แล้ว”
ประเทศกำลังพัฒนาโดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียกำลังต้องการเงินทุนจำนวนมหาศาลสำหรับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ แต่แหล่งเงินทุนที่มีอยู่ เช่น ธนาคารโลก (World Bank) และ ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (Asian Development Bank: ADB) กลับไม่สามารถตอบสนองความต้องการได้อย่างเพียงพอ
จีนเห็นความต้องการดังกล่าวจึงจัดตั้งธนาคาร AIIB นี้ขึ้นมาเป็นแหล่งเงินทุนโครงสร้างพื้นฐานแหล่งใหม่
เจ้าสัวธนินท์วิเคราะห์ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ของจีนด้วยภูมิปัญญาแบบชาวตะวันออกไว้ว่า
“พี่ใหญ่ต้องมาอุ้มน้อง ทำให้รวยทั้งหมด คุณก็ยิ่งรวย คุณไม่เลี้ยงไก่เอาไข่ คุณมัวแต่ไปเชือดไก่เอาไข่ มันก็หมด”
อธิบายให้เข้าใจง่ายก็คือ จีนเคยผ่านจุดที่ไม่มีเงินมาก่อน เขาจึงเข้าใจประเทศกำลังพัฒนาดีว่า ต้องการอะไร จึงสร้างธนาคารนี้ขึ้นมาเพื่อเป็นแหล่งเงินในการพัฒนาประเทศ หลักการคือ ช่วยให้ประเทศกำลังพัฒนาร่ำรวยขึ้น เมื่อประเทศต่างๆ รวยขึ้นก็มีเงินมาค้าขายกับจีน พากันร่ำรวยขึ้นไปอีก
หลักการที่ว่านี้มีส่วนคล้ายกับแนวคิด “สองสูง” ของเจ้าสัวที่มุ่งเน้นเพิ่มรายได้ให้คนจนร่ำรวยขึ้นก่อน โดยมองว่า เมื่อคนจนรวยขึ้นก็จะมีการใช้จ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจ ธุรกิจและประเทศก็จะได้รับผลดีตามมา
"พี่ช่วยน้อง" เป็นวิถีชาวตะวันออกที่ฝรั่งยากที่จะเข้าใจ
เอาใจช่วยพี่ใหญ่จีนให้ทำสำเร็จกันดีไหม ...
ปล. เนื้อหาในบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อแบ่งปันความรู้ ประสบการณ์และแนวคิดของเจ้าสัวให้กับนักธุรกิจ SMEs และผู้ที่สนใจ เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในการทำงาน ดังนั้น ผู้เขียนของดพูดถึงประเด็นขัดแย้งทางสังคมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเจ้าสัว และ CP ในกระทู้นี้ค่ะ ^^
The Side Story
FB:
https://www.facebook.com/Dhaninsidestory
AIIB เมื่อพี่ใหญ่จีนจะมาอุ้มน้อง
ด้วยเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่มีจำนวนมหาศาล ทำให้จีนแข็งแกร่งเพียงพอที่จะเข้ามามีบทบาทในระบบการเงินของโลก
วันนี้เงินหยวนของจีนกำลังเข้ามาเป็นหนึ่งในเงินสกุลหลักของโลก ซึ่งสหรัฐฯ เองก็รู้ดีว่า เงินหยวนคือ
คู่แข่งที่น่ากลัวที่จะมาท้าทายเงินสกุลดอลลาร์ของตนที่ครองบัลลังค์เงินสกุลหลักของโลกมายาวนานตั้งแต่การเกิดขึ้นของระบบแบรตตันวูตส์ (Bretton Woods System) ในปี พ.ศ. 2487 (ค.ศ. 1944)
นอกจากเงินหยวนแล้ว จีนก็ยังได้ริเริ่มก่อตั้งสถาบันทางการเงินระหว่างประเทศแห่งใหม่ขึ้นมา นั่นคือ ธนาคารเอไอไอบี (Asian Infrastructure Investment Bank : AIIB)
การเกิดขึ้นของ AIIB นี้ นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญต่างวิเคราะห์กันว่า นี่คือ อีกหนึ่งความพยายามของจีนที่จะเข้ามามีบทบาทแข่งขันกับสถาบันการเงินระหว่างประเทศในปัจจุบัน อย่างธนาคารโลก (World Bank) ซึ่งเป็นผลผลิตจากระบบแบรตตันวูตส์เช่นกัน
ถ้ามองในแง่การเมืองระหว่างประเทศก็น่าจะใช่ แต่นอกจากการเมืองแล้วยังมีเหตุผลอื่นอีกหรือไม่?
เรื่องนี้เจ้าสัวธนินท์เคยให้มุมมองเอาไว้ มุมมองที่ว่านั้นไม่ใช่เรื่องการเมืองระหว่างประเทศแต่เป็นเรื่องการพัฒนา
“จีนคิดรอบคอบเบ็ดเสร็จ รู้ว่า ประเทศเล็กส่วนใหญ่ไม่มีเงิน ประเทศใหญ่ต้องอุ้มประเทศเล็ก จีนเลยสร้างธนาคารปล่อยกู้ให้ประเทศเล็กไปทำโครงสร้างพื้นฐาน นี่แหละพี่ใหญ่แล้ว”
ประเทศกำลังพัฒนาโดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียกำลังต้องการเงินทุนจำนวนมหาศาลสำหรับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ แต่แหล่งเงินทุนที่มีอยู่ เช่น ธนาคารโลก (World Bank) และ ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (Asian Development Bank: ADB) กลับไม่สามารถตอบสนองความต้องการได้อย่างเพียงพอ
จีนเห็นความต้องการดังกล่าวจึงจัดตั้งธนาคาร AIIB นี้ขึ้นมาเป็นแหล่งเงินทุนโครงสร้างพื้นฐานแหล่งใหม่
เจ้าสัวธนินท์วิเคราะห์ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ของจีนด้วยภูมิปัญญาแบบชาวตะวันออกไว้ว่า
“พี่ใหญ่ต้องมาอุ้มน้อง ทำให้รวยทั้งหมด คุณก็ยิ่งรวย คุณไม่เลี้ยงไก่เอาไข่ คุณมัวแต่ไปเชือดไก่เอาไข่ มันก็หมด”
อธิบายให้เข้าใจง่ายก็คือ จีนเคยผ่านจุดที่ไม่มีเงินมาก่อน เขาจึงเข้าใจประเทศกำลังพัฒนาดีว่า ต้องการอะไร จึงสร้างธนาคารนี้ขึ้นมาเพื่อเป็นแหล่งเงินในการพัฒนาประเทศ หลักการคือ ช่วยให้ประเทศกำลังพัฒนาร่ำรวยขึ้น เมื่อประเทศต่างๆ รวยขึ้นก็มีเงินมาค้าขายกับจีน พากันร่ำรวยขึ้นไปอีก
หลักการที่ว่านี้มีส่วนคล้ายกับแนวคิด “สองสูง” ของเจ้าสัวที่มุ่งเน้นเพิ่มรายได้ให้คนจนร่ำรวยขึ้นก่อน โดยมองว่า เมื่อคนจนรวยขึ้นก็จะมีการใช้จ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจ ธุรกิจและประเทศก็จะได้รับผลดีตามมา
"พี่ช่วยน้อง" เป็นวิถีชาวตะวันออกที่ฝรั่งยากที่จะเข้าใจ
เอาใจช่วยพี่ใหญ่จีนให้ทำสำเร็จกันดีไหม ...
ปล. เนื้อหาในบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อแบ่งปันความรู้ ประสบการณ์และแนวคิดของเจ้าสัวให้กับนักธุรกิจ SMEs และผู้ที่สนใจ เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในการทำงาน ดังนั้น ผู้เขียนของดพูดถึงประเด็นขัดแย้งทางสังคมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเจ้าสัว และ CP ในกระทู้นี้ค่ะ ^^
The Side Story
FB: https://www.facebook.com/Dhaninsidestory