นาทีนี้ไม่มีปัญหาใดจะใหญ่โตมโหฬารมหาศาลเท่าวิกฤติภัยแล้งโจมตีประเทศไทย
และไม่มีหน่วยงานใดโดนโจมตีจั๋งหนับเท่ากรมชลประทาน
เพราะการปล่อยให้ปริมาณน้ำสำรองในเขื่อนเหลือใช้ได้อีกไม่เกิน 30 วัน ถือเป็นความบกพร่องของกรมชลประทานโดยตรง
“แม่ลูกจันทร์” มองอย่างแฟร์ๆ ไม่อยากโทษเป็นความบกพร่องผิดพลาดของกรมชลประทานฝ่ายเดียว
เพราะฝนฟ้าอากาศเป็นเรื่องธรรมชาติ 100 เปอร์เซ็นต์
ฝนน้อยหรือฝนมาก เป็นเรื่องอยู่เหนือการควบคุม
สิ่งที่กรมชลประทานควบคุมได้อย่างเดียวคือ บริหารจัดการปริมาณน้ำสำรองในเขื่อนสำคัญไม่ให้ต่ำกว่าจุดอันตราย
ดังนั้น การปล่อยให้ปริมาณน้ำสำรองของประเทศต่ำเกินจุดอันตราย จึงเป็นความบกพร่องของกรมชลประทานแน่นอน
จะแก้ตัวอย่างไรก็ขว้างงูไม่พ้นคอ
“แม่ลูกจันทร์” ฟังคำชี้แจงสาเหตุที่น้ำหมดเขื่อนของ “นายเลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ” อธิบดีกรมชลประทานแล้ว เห็นด้วยบางประเด็น ไม่เห็นด้วยบางประเด็น
ประเด็นแรก อธิบดีกรมชลฯอ้างว่า โครงการจำนำข้าวของรัฐบาลก่อนเป็นต้นเหตุที่มีการใช้นํ้ามากกว่าเดิม
โดยเฉพาะการปลูกข้าวนาปรัง ที่เพิ่มจาก 6 ล้านไร่ เป็น 15 ล้านไร่ ทำให้ความต้องการใช้น้ำเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว
“แม่ลูกจันทร์” เห็นด้วยว่า โครงการจำนำข้าวเป็นตัวกระตุ้นให้ชาวนาปลูกข้าวกันสุดลิ่มทิ่มประตู
ที่เคยปลูกข้าวปีละ 1 ครั้ง ก็เพิ่มเป็น 2 ครั้ง ที่เคยทำนาปีละ 2 ครั้ง ก็เพิ่มรอบพิเศษเป็นปีละ 3 ครั้ง
เพราะโครงการจำนำข้าวทำให้ชาวนามีรายได้เป็นกอบเป็นกำ
โดยเฉพาะการปลูกข้าวนาปรัง ต้องใช้น้ำชลประทานมากกว่าการปลูกข้าวนาปี
โครงการจำนำข้าวจึงเป็นตัวเร่งการใช้น้ำเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
ประเด็นที่ 2 อธิบดีกรมชลฯ อ้างสาเหตุที่ปริมาณน้ำสำรองในเขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ และเขื่อนแควน้อยบำรุงแดนเหลือน้ำ ใช้การได้ไม่ถึง 1 เดือน
เกิดจากฝ่ายการเมืองเกรงจะเกิดน้ำท่วมใหญ่ซ้ำรอยปี 2554 จึงสั่งให้กรมชลประทานเร่งระบายน้ำในเขื่อนให้เหลือ 45 เปอร์เซ็นต์
ทำให้มีการระบายน้ำออกไปถึง 14,000 ล้าน ลบ.ม.
ซึ่งเป็นการพร่องน้ำจากเขื่อนมากที่สุดในรอบ 15 ปี
“แม่ลูกจันทร์” ชี้ว่าการโยนความผิดให้ฝ่ายการเมืองมีน้ำหนักน้อยเกินไป
เพราะเรื่องมันเกิดตั้งแต่ปี 2555 หรือผ่านไปแล้วถึง 3 ปี
แต่วิกฤติน้ำหมดเขื่อนเหลือใช้การได้ไม่ถึง 30 วันมันเพิ่งจะเกิดขึ้นในช่วงนี้นะคุณ
อย่าลืมว่าต้นปีนี้ปริมาณน้ำสำรองในเขื่อนยังอยู่ที่ 50 เปอร์เซ็นต์
แสดงว่าปริมาณน้ำสำรองหายวูบไปเกือบ 20 เปอร์เซ็นต์ในช่วงไม่กี่เดือนนี้เอง
ถามว่า ในเมื่อกรมชลประทานรู้ล่วงหน้าว่าน้ำจะไม่พอใช้ เหตุใดจึงไม่แจ้งรัฐบาลให้ประกาศห้ามทำนาปรังอย่างสิ้นเชิง?
ถามว่า ในเมื่อกรมชลประทานรู้ว่าปีนี้ฝนจะมาช้า เหตุใดไม่รีบเสนอรัฐบาลให้ประกาศชะลอการทำนาปีไว้ก่อนชั่วคราว
การชักช้าไม่รีบตัดสินใจของกรม ชลประทาน จึงทำให้ชาวนาเริ่มปลูกข้าวนาปีไปแล้ว ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม
วันนี้น้ำไม่พอปลูกข้าว พี่น้องชาวนาเดือดร้อนกันระนาว
ถ้าไม่โทษกรมชลประทานแล้วจะโทษใคร???
“แม่ลูกจันทร์
***** 5555 เดี๋ยวได้เห็นพวกลิ้วล้อ พรรคแมลงสาบ สาวกสลิ่มทั้งหลายออกมางับ แน่ๆเชื่อไอ้เรืองเลยครับ....
ปล. ท่านสวยงามและมีศักดิ์มีศรีมากกว่าไอ้พวกใส่กางเกง อกสามศอกทั้งหลายมากครับ.
ขว้างงูไม่พ้นคอ " แม่ลูกจันท์ "
และไม่มีหน่วยงานใดโดนโจมตีจั๋งหนับเท่ากรมชลประทาน
เพราะการปล่อยให้ปริมาณน้ำสำรองในเขื่อนเหลือใช้ได้อีกไม่เกิน 30 วัน ถือเป็นความบกพร่องของกรมชลประทานโดยตรง
“แม่ลูกจันทร์” มองอย่างแฟร์ๆ ไม่อยากโทษเป็นความบกพร่องผิดพลาดของกรมชลประทานฝ่ายเดียว
เพราะฝนฟ้าอากาศเป็นเรื่องธรรมชาติ 100 เปอร์เซ็นต์
ฝนน้อยหรือฝนมาก เป็นเรื่องอยู่เหนือการควบคุม
สิ่งที่กรมชลประทานควบคุมได้อย่างเดียวคือ บริหารจัดการปริมาณน้ำสำรองในเขื่อนสำคัญไม่ให้ต่ำกว่าจุดอันตราย
ดังนั้น การปล่อยให้ปริมาณน้ำสำรองของประเทศต่ำเกินจุดอันตราย จึงเป็นความบกพร่องของกรมชลประทานแน่นอน
จะแก้ตัวอย่างไรก็ขว้างงูไม่พ้นคอ
“แม่ลูกจันทร์” ฟังคำชี้แจงสาเหตุที่น้ำหมดเขื่อนของ “นายเลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ” อธิบดีกรมชลประทานแล้ว เห็นด้วยบางประเด็น ไม่เห็นด้วยบางประเด็น
ประเด็นแรก อธิบดีกรมชลฯอ้างว่า โครงการจำนำข้าวของรัฐบาลก่อนเป็นต้นเหตุที่มีการใช้นํ้ามากกว่าเดิม
โดยเฉพาะการปลูกข้าวนาปรัง ที่เพิ่มจาก 6 ล้านไร่ เป็น 15 ล้านไร่ ทำให้ความต้องการใช้น้ำเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว
“แม่ลูกจันทร์” เห็นด้วยว่า โครงการจำนำข้าวเป็นตัวกระตุ้นให้ชาวนาปลูกข้าวกันสุดลิ่มทิ่มประตู
ที่เคยปลูกข้าวปีละ 1 ครั้ง ก็เพิ่มเป็น 2 ครั้ง ที่เคยทำนาปีละ 2 ครั้ง ก็เพิ่มรอบพิเศษเป็นปีละ 3 ครั้ง
เพราะโครงการจำนำข้าวทำให้ชาวนามีรายได้เป็นกอบเป็นกำ
โดยเฉพาะการปลูกข้าวนาปรัง ต้องใช้น้ำชลประทานมากกว่าการปลูกข้าวนาปี
โครงการจำนำข้าวจึงเป็นตัวเร่งการใช้น้ำเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
ประเด็นที่ 2 อธิบดีกรมชลฯ อ้างสาเหตุที่ปริมาณน้ำสำรองในเขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ และเขื่อนแควน้อยบำรุงแดนเหลือน้ำ ใช้การได้ไม่ถึง 1 เดือน
เกิดจากฝ่ายการเมืองเกรงจะเกิดน้ำท่วมใหญ่ซ้ำรอยปี 2554 จึงสั่งให้กรมชลประทานเร่งระบายน้ำในเขื่อนให้เหลือ 45 เปอร์เซ็นต์
ทำให้มีการระบายน้ำออกไปถึง 14,000 ล้าน ลบ.ม.
ซึ่งเป็นการพร่องน้ำจากเขื่อนมากที่สุดในรอบ 15 ปี
“แม่ลูกจันทร์” ชี้ว่าการโยนความผิดให้ฝ่ายการเมืองมีน้ำหนักน้อยเกินไป
เพราะเรื่องมันเกิดตั้งแต่ปี 2555 หรือผ่านไปแล้วถึง 3 ปี
แต่วิกฤติน้ำหมดเขื่อนเหลือใช้การได้ไม่ถึง 30 วันมันเพิ่งจะเกิดขึ้นในช่วงนี้นะคุณ
อย่าลืมว่าต้นปีนี้ปริมาณน้ำสำรองในเขื่อนยังอยู่ที่ 50 เปอร์เซ็นต์
แสดงว่าปริมาณน้ำสำรองหายวูบไปเกือบ 20 เปอร์เซ็นต์ในช่วงไม่กี่เดือนนี้เอง
ถามว่า ในเมื่อกรมชลประทานรู้ล่วงหน้าว่าน้ำจะไม่พอใช้ เหตุใดจึงไม่แจ้งรัฐบาลให้ประกาศห้ามทำนาปรังอย่างสิ้นเชิง?
ถามว่า ในเมื่อกรมชลประทานรู้ว่าปีนี้ฝนจะมาช้า เหตุใดไม่รีบเสนอรัฐบาลให้ประกาศชะลอการทำนาปีไว้ก่อนชั่วคราว
การชักช้าไม่รีบตัดสินใจของกรม ชลประทาน จึงทำให้ชาวนาเริ่มปลูกข้าวนาปีไปแล้ว ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม
วันนี้น้ำไม่พอปลูกข้าว พี่น้องชาวนาเดือดร้อนกันระนาว
ถ้าไม่โทษกรมชลประทานแล้วจะโทษใคร???
“แม่ลูกจันทร์
***** 5555 เดี๋ยวได้เห็นพวกลิ้วล้อ พรรคแมลงสาบ สาวกสลิ่มทั้งหลายออกมางับ แน่ๆเชื่อไอ้เรืองเลยครับ....
ปล. ท่านสวยงามและมีศักดิ์มีศรีมากกว่าไอ้พวกใส่กางเกง อกสามศอกทั้งหลายมากครับ.