[๒๕๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็มิจฉาทิฐิเป็นไฉน คือ ความเห็นดังนี้ว่า
ทานที่ให้แล้ว ไม่มีผล ยัญที่บูชาแล้ว ไม่มีผล สังเวยที่บวงสรวงแล้ว ไม่มีผล
ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้วไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี มารดาไม่มี
บิดาไม่มี สัตว์ที่เป็นอุปปาติกะไม่มี สมณพราหมณ์ทั้งหลายผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติ
ชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้โลกหน้าให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง ในโลกไม่มี
นี้มิจฉาทิฐิ ฯ
[๒๕๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาทิฐิเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เรากล่าวสัมมาทิฐิเป็น ๒ อย่าง คือ สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ
ให้ผลแก่ขันธ์ อย่าง ๑ สัมมาทิฐิของพระอริยะ ที่เป็นอนาสวะ เป็นโลกุตระ
เป็นองค์มรรค อย่าง ๑ ฯ
[๒๕๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ
ให้ผลแก่ขันธ์ เป็นไฉน คือ ความเห็นดังนี้ว่า ทานที่ให้แล้ว มีผล ยัญที่บูชา
แล้ว มีผล สังเวยที่บวงสรวงแล้ว มีผล ผลวิบากของกรรมที่ทำดี ทำชั่วแล้ว
มีอยู่ โลกนี้มี โลกหน้ามี มารดามี บิดามี สัตว์ที่เป็นอุปปาติกะมี สมณพราหมณ์
ทั้งหลาย ผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้โลกหน้าให้แจ่มแจ้ง
เพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง ในโลก มีอยู่ นี้สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ
ให้ผลแก่ขันธ์ ฯ
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=14&A=3724&Z=3923&pagebreak=0
มีเรื่องน่าแปลกอย่างหนึ่งก็คือ เวลาสาวกผีม้าลาย ผีปอบ จะอ้างว่าพวกเขาเป็นสัมมาทิฐิ
ก็มักยก มหาจัตตารีสกสูตรมาอ้าง แล้วตีความเข้าข้าง มิจฉาทิฐิของตนเองอยู่เสมอๆ ครับท่าน
ข้อสังเกตแรก ก็คือ ถ้าไปอ่านอรรถกถา ท่านอธิบายว่า ใจความของสัมมาทิฐิแบบสาสวะ คือ เชื่อหลักกรรม ครับท่าน
ที่ตรัสไว้โดยนัยมีอาทิว่า ทานที่ให้แล้วมีผล ชื่อว่า กัมมัสสกตาสัมมาทิฏฐิ.
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=14&i=252
หมายความว่า ประเด็นที่พึงพิจารณาว่า ใครสักคนจะมีความเห็นชอบระดับชาวบ้าน ก็คือ เขาเชื่อหลักกรรมหรือเปล่า ?
ไม่ใช่ ตัดสินโดยดูว่า เขาเชื่อเรื่องผีปอบ ผีม้าลาย หรือเปล่า นะครับท่าน
ทีนี้ ท่านลองพิจารณาดูว่า กลุ่มคนที่เชื่อเรื่อง ผีปอบ ผีม้าลาย พญานาค บ้าบออะไรนั่น
หากเขาเชื่อเรื่องหลักกรรมจริงๆ เหตุใด พวกเขาจึงเชื่อ และเข้าใจว่า โพธิสัตว์ สามารถเบียดเบียนตนเองและผู้อื่นได้โดยไม่ผิดบาป หละครับ ?
บทว่า สมฺมาทิฏฺฐิ เจ ภวํ ครหติ ความว่า เมื่อกล่าวว่า ชื่อว่ามิจฉาทิฏฐินี้ดี ดังนี้ก็ดี เมื่อกล่าวว่า ชื่อว่า สัมมาทิฏฐินี้ไม่ดี ดังนี้ก็ดี ย่อมชื่อว่าติเตียนสัมมาทิฏฐิ.
บทว่า โอกฺกลา ได้แก่ ชาวโอกกลชนบท.
บทว่า วสฺสภญฺญา ได้แก่ ชน ๒ พวก คือพวกวัสสะและพวกภัญญะ.
บทว่า อเหตุวาทา คือ ผู้มีวาทะเป็นต้นอย่างนี้ว่า ไม่มีเหตุไม่มีปัจจัย เพื่อความหมดจดแห่งสัตว์ทั้งหลาย.
บทว่า อกิริยวาทา ได้แก่ ผู้มีวาทะปฏิเสธการกระทำอย่างนี้ว่า เมื่อทำ (บาป) บาปก็ไม่เป็นอันทำ
บทว่า นตฺถิกวาทา ได้แก่ ผู้มีวาทะเป็นต้นว่า ทานที่ให้แล้วย่อมไม่มีผล.
ชนผู้มีวาทะดังกล่าวนั้น ย่อมเป็นผู้ก้าวลงแน่นอนในทัสสนะ ๓ ประการเหล่านี้.
ถามว่า ก็การกำหนดแน่นอนแห่งทัสสนะเหล่านี้ มีได้อย่างไร?
ตอบว่า ก็บุคคลผู้ใดถือลัทธิเห็นปานนี้ นั่งในที่พักกลางคืนและที่พักกลางวัน สาธยายอยู่ พิจารณาอยู่ มิจฉาสติของบุคคลผู้นั้นย่อมตั้งมั่นในอารมณ์นั้นว่า เหตุไม่มี ปัจจัยไม่มี เมื่อทำ (บาป) บาปก็ไม่เป็นอันทำ ทานที่ให้แล้วไม่มีผล เมื่อกายแตกย่อมขาดสูญ จิตของผู้นั้นย่อมมีอารมณ์เป็นหนึ่ง.
ชวนะทั้งหลายย่อมแล่นไป. ในชวนะที่หนึ่งยังพอแก้ไขได้ ในชวนะที่สองเป็นต้นก็ยังพอแก้ไขได้เหมือนกัน. แต่ในชวนะที่เจ็ด แม้พระพุทธเจ้าทั้งหลายก็ทรงแก้ไขไม่ได้ เป็นผู้มีปกติไม่หวนกลับ เช่นกับภิกษุชื่ออริฏฐกัณฏกะ.
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=14&i=252
ข้อสังเกตที่สอง ก็คือ ความเชื่อเรื่องหลักกรรม ไม่ได้มีแต่ในพระพุทธศาสนาเท่านั้น คนนอกศาสนา เขาก็มีความเชื่อแบบนี้ด้วย
คำถามก็คือ เรายอมรับได้ไหมว่า คนเหล่านั้น เป็นสัมมาทิฐิในพระพุทธศาสนา และสามารถชี้ผิดชี้ถูกในพระธรรมวินัยของเราได้ ?
ขออนุญาตตอบว่า เป็นไปไม่ได้หรอกครับ เพราะพระพุทธเจ้าตรัสว่า พวกกรรมวาที แตกต่างจาก อุจเฉททิฐิ ก็ตรงรู้จักทำความดีละเว้นความชั่ว
ผลคือได้ไปสวรรค์ แต่ก็ไม่ถึงขั้นจะบรรลุมรรคผลอะไรได้
หมายความว่า สัมมาทิฐิระดับชาวบ้าน ที่ท่านนำมาอ้างนั่นน่ะ ไปได้แค่สวรรค์ และมีอยู่ทั่วไปนอกพระพุทธศาสนา ครับท่าน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ชฏิลผู้บูชาไฟเหล่านั้นมาแล้ว พึงอุปสมบทให้ ไม่ต้องให้ปริวาสแก่พวกเธอ.
ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร? ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะชฎิลเหล่านั้น เป็นกรรมวาที กิริยวาที.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=4&A=2764&Z=2875
ข้าแต่ท่านพระโคดม อาชีวกบางคน เมื่อตายไป จะทำที่สุดทุกข์ได้ มีอยู่บ้างหรือ?
ดูกรวัจฉะ อาชีวกบางคน เมื่อตายไป จะทำที่สุดทุกข์ได้นั้น ไม่มีเลย.
ข้าแต่ท่านพระโคดม ก็อาชีวกบางคน เมื่อตายไป จะไปสวรรค์ได้ มีอยู่หรือ?
ดูกรวัจฉะ แต่ภัทรกัปนี้ไปได้เก้าสิบเอ็ดกัปที่เราระลึกได้ เราจักได้รู้จักอาชีวกบางคนที่ไป
สวรรค์หามิได้ นอกจากอาชีวกคนเดียว ที่เป็นกรรมวาที กิริยาวาที.
ข้าแต่ท่านพระโคดม เมื่อเป็นเช่นนั้น ลัทธิของเดียรถีย์เป็นอันสูญโดยที่สุดจากคุณ
เครื่องไปสู่สวรรค์น่ะซี.
อย่างนั้นวัจฉะ ลัทธิของเดียรถีย์นี้ เป็นอันสูญโดยที่สุด แม้จากคุณเครื่องไปสู่สวรรค์.
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว. วัจฉโคตตปริพาชกยินดี ชื่นชมพระภาษิต
ของพระผู้มีพระภาค ดังนี้แล.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=13&A=4235&Z=4315
ข้อสังเกตที่สาม ถ้าพิจารณาให้ดี จะพบว่า กลุ่มสาวกผีสางงมงาย มักมีความคิดความเชื่อย้อนแย้งตนเอง และขัดกับหลักการ หลักธรรมขั้นพื้นฐานเสมอๆ
และเมื่ออธิบายให้สมเหตุผลไม่ได้ ก็มักอ้างการปฏิบัติ ซึ่งพิสูจน์ข้อเท็จจริงอะไรไม่ได้ พอๆกับเรื่องผีสางงมงายของพวกเขานั่นแหละ
บางท่านแย่หน่อย พอตนเองอธิบายข้อเท็จจริงไม่ได้ ก็ด่าทอว่าร้ายผู้อื่น ซึ่งก็ไม่ทราบว่า ท่านปฏิบัติธรรมกันอย่างไร จึงได้ผลออกมาแบบนั้น นะครับ
อนุโมทนาสาธุครับท่าน
กรรมวาที นอกพระพุทธศาสนา
ทานที่ให้แล้ว ไม่มีผล ยัญที่บูชาแล้ว ไม่มีผล สังเวยที่บวงสรวงแล้ว ไม่มีผล
ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้วไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี มารดาไม่มี
บิดาไม่มี สัตว์ที่เป็นอุปปาติกะไม่มี สมณพราหมณ์ทั้งหลายผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติ
ชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้โลกหน้าให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง ในโลกไม่มี
นี้มิจฉาทิฐิ ฯ
[๒๕๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาทิฐิเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เรากล่าวสัมมาทิฐิเป็น ๒ อย่าง คือ สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ
ให้ผลแก่ขันธ์ อย่าง ๑ สัมมาทิฐิของพระอริยะ ที่เป็นอนาสวะ เป็นโลกุตระ
เป็นองค์มรรค อย่าง ๑ ฯ
[๒๕๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ
ให้ผลแก่ขันธ์ เป็นไฉน คือ ความเห็นดังนี้ว่า ทานที่ให้แล้ว มีผล ยัญที่บูชา
แล้ว มีผล สังเวยที่บวงสรวงแล้ว มีผล ผลวิบากของกรรมที่ทำดี ทำชั่วแล้ว
มีอยู่ โลกนี้มี โลกหน้ามี มารดามี บิดามี สัตว์ที่เป็นอุปปาติกะมี สมณพราหมณ์
ทั้งหลาย ผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้โลกหน้าให้แจ่มแจ้ง
เพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง ในโลก มีอยู่ นี้สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ
ให้ผลแก่ขันธ์ ฯ
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=14&A=3724&Z=3923&pagebreak=0
มีเรื่องน่าแปลกอย่างหนึ่งก็คือ เวลาสาวกผีม้าลาย ผีปอบ จะอ้างว่าพวกเขาเป็นสัมมาทิฐิ
ก็มักยก มหาจัตตารีสกสูตรมาอ้าง แล้วตีความเข้าข้าง มิจฉาทิฐิของตนเองอยู่เสมอๆ ครับท่าน
ข้อสังเกตแรก ก็คือ ถ้าไปอ่านอรรถกถา ท่านอธิบายว่า ใจความของสัมมาทิฐิแบบสาสวะ คือ เชื่อหลักกรรม ครับท่าน
ที่ตรัสไว้โดยนัยมีอาทิว่า ทานที่ให้แล้วมีผล ชื่อว่า กัมมัสสกตาสัมมาทิฏฐิ.
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=14&i=252
หมายความว่า ประเด็นที่พึงพิจารณาว่า ใครสักคนจะมีความเห็นชอบระดับชาวบ้าน ก็คือ เขาเชื่อหลักกรรมหรือเปล่า ?
ไม่ใช่ ตัดสินโดยดูว่า เขาเชื่อเรื่องผีปอบ ผีม้าลาย หรือเปล่า นะครับท่าน
ทีนี้ ท่านลองพิจารณาดูว่า กลุ่มคนที่เชื่อเรื่อง ผีปอบ ผีม้าลาย พญานาค บ้าบออะไรนั่น
หากเขาเชื่อเรื่องหลักกรรมจริงๆ เหตุใด พวกเขาจึงเชื่อ และเข้าใจว่า โพธิสัตว์ สามารถเบียดเบียนตนเองและผู้อื่นได้โดยไม่ผิดบาป หละครับ ?
บทว่า สมฺมาทิฏฺฐิ เจ ภวํ ครหติ ความว่า เมื่อกล่าวว่า ชื่อว่ามิจฉาทิฏฐินี้ดี ดังนี้ก็ดี เมื่อกล่าวว่า ชื่อว่า สัมมาทิฏฐินี้ไม่ดี ดังนี้ก็ดี ย่อมชื่อว่าติเตียนสัมมาทิฏฐิ.
บทว่า โอกฺกลา ได้แก่ ชาวโอกกลชนบท.
บทว่า วสฺสภญฺญา ได้แก่ ชน ๒ พวก คือพวกวัสสะและพวกภัญญะ.
บทว่า อเหตุวาทา คือ ผู้มีวาทะเป็นต้นอย่างนี้ว่า ไม่มีเหตุไม่มีปัจจัย เพื่อความหมดจดแห่งสัตว์ทั้งหลาย.
บทว่า อกิริยวาทา ได้แก่ ผู้มีวาทะปฏิเสธการกระทำอย่างนี้ว่า เมื่อทำ (บาป) บาปก็ไม่เป็นอันทำ
บทว่า นตฺถิกวาทา ได้แก่ ผู้มีวาทะเป็นต้นว่า ทานที่ให้แล้วย่อมไม่มีผล.
ชนผู้มีวาทะดังกล่าวนั้น ย่อมเป็นผู้ก้าวลงแน่นอนในทัสสนะ ๓ ประการเหล่านี้.
ถามว่า ก็การกำหนดแน่นอนแห่งทัสสนะเหล่านี้ มีได้อย่างไร?
ตอบว่า ก็บุคคลผู้ใดถือลัทธิเห็นปานนี้ นั่งในที่พักกลางคืนและที่พักกลางวัน สาธยายอยู่ พิจารณาอยู่ มิจฉาสติของบุคคลผู้นั้นย่อมตั้งมั่นในอารมณ์นั้นว่า เหตุไม่มี ปัจจัยไม่มี เมื่อทำ (บาป) บาปก็ไม่เป็นอันทำ ทานที่ให้แล้วไม่มีผล เมื่อกายแตกย่อมขาดสูญ จิตของผู้นั้นย่อมมีอารมณ์เป็นหนึ่ง.
ชวนะทั้งหลายย่อมแล่นไป. ในชวนะที่หนึ่งยังพอแก้ไขได้ ในชวนะที่สองเป็นต้นก็ยังพอแก้ไขได้เหมือนกัน. แต่ในชวนะที่เจ็ด แม้พระพุทธเจ้าทั้งหลายก็ทรงแก้ไขไม่ได้ เป็นผู้มีปกติไม่หวนกลับ เช่นกับภิกษุชื่ออริฏฐกัณฏกะ.
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=14&i=252
ข้อสังเกตที่สอง ก็คือ ความเชื่อเรื่องหลักกรรม ไม่ได้มีแต่ในพระพุทธศาสนาเท่านั้น คนนอกศาสนา เขาก็มีความเชื่อแบบนี้ด้วย
คำถามก็คือ เรายอมรับได้ไหมว่า คนเหล่านั้น เป็นสัมมาทิฐิในพระพุทธศาสนา และสามารถชี้ผิดชี้ถูกในพระธรรมวินัยของเราได้ ?
ขออนุญาตตอบว่า เป็นไปไม่ได้หรอกครับ เพราะพระพุทธเจ้าตรัสว่า พวกกรรมวาที แตกต่างจาก อุจเฉททิฐิ ก็ตรงรู้จักทำความดีละเว้นความชั่ว
ผลคือได้ไปสวรรค์ แต่ก็ไม่ถึงขั้นจะบรรลุมรรคผลอะไรได้
หมายความว่า สัมมาทิฐิระดับชาวบ้าน ที่ท่านนำมาอ้างนั่นน่ะ ไปได้แค่สวรรค์ และมีอยู่ทั่วไปนอกพระพุทธศาสนา ครับท่าน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ชฏิลผู้บูชาไฟเหล่านั้นมาแล้ว พึงอุปสมบทให้ ไม่ต้องให้ปริวาสแก่พวกเธอ.
ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร? ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะชฎิลเหล่านั้น เป็นกรรมวาที กิริยวาที.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=4&A=2764&Z=2875
ข้าแต่ท่านพระโคดม อาชีวกบางคน เมื่อตายไป จะทำที่สุดทุกข์ได้ มีอยู่บ้างหรือ?
ดูกรวัจฉะ อาชีวกบางคน เมื่อตายไป จะทำที่สุดทุกข์ได้นั้น ไม่มีเลย.
ข้าแต่ท่านพระโคดม ก็อาชีวกบางคน เมื่อตายไป จะไปสวรรค์ได้ มีอยู่หรือ?
ดูกรวัจฉะ แต่ภัทรกัปนี้ไปได้เก้าสิบเอ็ดกัปที่เราระลึกได้ เราจักได้รู้จักอาชีวกบางคนที่ไป
สวรรค์หามิได้ นอกจากอาชีวกคนเดียว ที่เป็นกรรมวาที กิริยาวาที.
ข้าแต่ท่านพระโคดม เมื่อเป็นเช่นนั้น ลัทธิของเดียรถีย์เป็นอันสูญโดยที่สุดจากคุณ
เครื่องไปสู่สวรรค์น่ะซี.
อย่างนั้นวัจฉะ ลัทธิของเดียรถีย์นี้ เป็นอันสูญโดยที่สุด แม้จากคุณเครื่องไปสู่สวรรค์.
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว. วัจฉโคตตปริพาชกยินดี ชื่นชมพระภาษิต
ของพระผู้มีพระภาค ดังนี้แล.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=13&A=4235&Z=4315
ข้อสังเกตที่สาม ถ้าพิจารณาให้ดี จะพบว่า กลุ่มสาวกผีสางงมงาย มักมีความคิดความเชื่อย้อนแย้งตนเอง และขัดกับหลักการ หลักธรรมขั้นพื้นฐานเสมอๆ
และเมื่ออธิบายให้สมเหตุผลไม่ได้ ก็มักอ้างการปฏิบัติ ซึ่งพิสูจน์ข้อเท็จจริงอะไรไม่ได้ พอๆกับเรื่องผีสางงมงายของพวกเขานั่นแหละ
บางท่านแย่หน่อย พอตนเองอธิบายข้อเท็จจริงไม่ได้ ก็ด่าทอว่าร้ายผู้อื่น ซึ่งก็ไม่ทราบว่า ท่านปฏิบัติธรรมกันอย่างไร จึงได้ผลออกมาแบบนั้น นะครับ
อนุโมทนาสาธุครับท่าน