ติดตามรีวิวอื่นๆได้นะครับ
แผนการเดินทางและที่พัก (Itinerary and accommodation)
http://ppantip.com/topic/33704481
สำหรับคนชอบหินอ่อน (Day 1: A first look of Milan’s lux)
http://ppantip.com/topic/33733640
สู่สวรรค์วิมาน (Day 2: Lake Como, a gateway to a piece of paradise)
http://ppantip.com/topic/33740051
ดาวินชีเป็นไดเวอร์เจนต์?!!!! (Day 3: Say Salve to Da Vinci and confess your love with Juliet)
http://ppantip.com/topic/33768802
วงกตแห่งคลอง (Day 4: Treasure and treachery of Venice)
http://ppantip.com/topic/33794965
ทัศนศึกษาประวัติศาสตร์ศิลปะ (Day 6: A tour of Renaissance)
http://ppantip.com/topic/33877524
หอเอนในตำนาน (Day 7: The Field of Miracles)
http://ppantip.com/topic/34885362
โรมยามเย็น (Day 8: From Palazzo Vecchio to the buzzling piazzas of Rome)
http://ppantip.com/topic/34914024
Prologue:
ทุกคนน่าจะสปาเกตตี้โบโลนีส แต่มีน้อยคนที่จะรู้ถึงความงามของเมืองโบราณสีแดงอันมีเสน่ห์ต้นกำเนิดอาหารอิตาเลียนนับร้อย เมืองหอคอยนี้ไม่ได้มีดีแค่สปาเกตตี้ซอสไก่ เพราะเป็นถึงเมืองหลวงแคว้นเอมิเลีย-โรมันยาและศูนย์กลางการคมนาคมในอิตาลีตอนกลางเลยทีเดียว
"Vorrei fare il check-out per favore."
ออกจากโรงแรม มารอที่ท่าเรือ ก็เจอสิ่งเหล่านี้...
หมอกลง บรรยากาศสุดยอดดดดดด
Dov'è la isla di San Giorgo Maggiore?
เกาะหาย?
โบสถ์ Santa Maria della Salute เหมือนอยู่บนสวรรค์ มีแต่หมอก
Ponte dell'Accademia
กอนโดลายังไม่ออกมาจากอู่
ิปิดท้ายเวนิซด้วย วิวจาก Grand Canal อันสุดท้าย
จาก Venice เราจะนั่งรถไฟระดับสอง Frecciagento ไปยังสถานี Bologna Centrale รอบที่ออกคือ 9.25-10.50
อ่านหนังสือเพลินๆในรถ
ถึงแล้ว Bologna Centrale สถานีรถไฟอายุ 150 ปีนี้เป็นหนึ่งในสถานีที่วุ่นวายที่สุดในอิตาลี เพราะเป็นจุดเปลี่ยนสายของรถไฟหลายสาย ทำให้สถานีที่ดูเล็กๆนี้ต้องทำชานชลาใต้ดินเพิ่มไปอีกถึงสองชั้นเลย
เป้าหมายที่มาเมืองนี้คือ 1.ตามนิยาย จะมาปีนหอคอยคู่แบบ Leo Valdez ใน Mark of Athena 2. มากินอาหารอิตาเลียนแบบออริจินัลเล่
จากสถานีรถไฟ เราจะเดินเลี้ยวซ้ายไปเล็กน้อยจนเจอประตูเมือง แล้วเลี้ยวขวาไปทางประตูเดินตรงไปตาม Via dell'Indipendenza ไปประมาณ 30 นาที (ถ้าโอ้เอ้) ก็จะถึง Piazza Maggiore ศูนย์กลางของเขต Centro storico (ย่านเมืองเก่า)
Porta Galliera ประตูเมืองชั้นนอกสร้างสมัยช่วงศตวรรษที่ 17 เป็นศิลปะแบบบาโรก ใครสังเกตดีๆจะเห็นสัญลักษณ์กุญแจไขว้กัน กุญแจแห่งสวรรค์คือสัญลักษณ์ของ St.Peter พระสันตปาปาองค์แรก เพราะฉะนั้นกุญแจไขว้จึงสื่อถึงอำนาจแห่งสันตปาปา (Papacy) ที่มันมาอยู่ตรงนี้ได้ ก็เพราะในอดีต Bologna เคยเป็นส่วนหนึ่งของ "Papal State" หรือรัฐแห่งสันตปาปานั่นเอง
ในอดีต Papal state เป็นรัฐที่มีอำนาจล้นฟ้า มีแบคอัพสำคัญมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นฝรั่งเศส เวนิซหรือทัสคานี แถมยังมีอาณาจักรครอบคลุมอิตาลีตอนกลางไปเกินครึ่งเลย
เดินตามทางไปเรื่อยๆครับ เสน่ห์ของเมืองนี้อยู่ที่ "Portico" พวกนี้ครับ ในอดีตตั้งแต่ศตวรรษที่ 11-13 เมืองที่สร้างชายคาแบบนี้จะถือว่าเป็นเมืองที่ดูศิวิไลซ์ โบโลญญาจัดให้ครับ สร้างทางเดินใต้ portico ในเขต centro storico รวม 38 km แสดงความเจริญทางเศรษฐกิจอย่างเต็มที่
วันนี้วันอาทิตย์ ถือเป็นวันหยุดงานสากลของศาสนาคริสต์ครับ ผู้คนต่างพากันมาเดินเล่น
มีโชวเต้นระบำเก๋ๆ
Eddard Stark, Lord of Winterfell, Warden of the North and Hand of the King คารวะคนวาดจริงๆ
เดินมาสุดทางก็จะเจอ Fontana di Nettuno น้ำพุประดับรูปปั้นสำริดเนปจูน ยืนอวดองค์อรเอย ผลงานของ Giambologna
เดิมที Giambologna เสนอผลงานนี้ให้ไปประดับไว้ที่ Florence แต่ที่นั่นเขาปฏิเสธ ก็เลยย้ายมาประดับที่นี่แทน
ปล. สังเกตดีๆ ใครเห็นโลโก้รถชื่อดังจากอิตาลีบ้าง บริษัทรถก็ถูกก่อตั้งที่เมืองนี้ด้วยนะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้Mario Maserati เลือกสัญลักษณ์ตรีศูลจากรูปปั้นนี้ไปประดับบนรถสปอร์ตของตน เนื่องจากเทพเนปจูนยังเป็นสัญลักษณ์แห่งความแข็งแกร่งอีกด้วย
ถึงแล้ว Piazza Maggiore คนอย่างเยอะ เหมือนจะมีมหกรรมนาทีทองบางอย่าง
สแควร์นี้ถูกสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่15 โดยลักษณะของตัวลานและตึกที่ล้อมรอบนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่นิดเดียว
Palazzo d'Accursio ตึกนี้อายุเกือบ 700 ปี ในอดีตเป็นที่ตั้งของสภาสูงผู้บริหารเมือง
รูปปั้นของพระสันตปาปาชาวเมืองนี้ผู้โด่งดัง Gregory XIII โป๊ปองค์นี้แหละที่สั่งให้มีการทำปฏิทินรูปแบบใหม่ขึ้นมา หลังจากที่ค้นพบว่าปฏิทินจูเลียน (Julian Calendar) ที่ใช้กันมาตั้งแต่สมัย Julius Caesar เมื่อ 45 B.C. นั้นมีความคลาดเคลื่อน จนทำให้มีวันที่หายไปเลยถึง 10 วัน โป๊ปเลยเรียกรวมเหล่าผู้เชี่ยวชาญมาคิดปฏิทินใหม่ขึ้นมา โดยสรุป 1 ปี = 365 วัน 5 ชม. 49 นาที ถูกใช้อย่างสากลมาจนถึงทุกวันนี้
นอกจากนี้ Gregory XIII ยังมีดำรัสให้ตกแต่งวาติกันให้เสร็จ ทุกวันนี้ความอลังการของผลงานของศิลปินที่โป๊ปจิกหัวมาก็ยังเห็นได้ทั่วๆไปใน Vatican Museum และ St.Peter's basilica
ด้านบน เขียนภาษาละตินกล่าวถึง St.Petronius นักบุญผู้อุปถัมภ์เมือง แปลว่า "เปโตรเนียสผู้เป็นดั่งเทพเจ้า พระบิดาและผู้ปกป้อง"
มองตรงไปจะเห็นโบสถ์ที่มีขนาดใหญเป็นอันดับที่ 15 ของโลก, Basilica di San Petronio สร้างถวายแด่บิช็อปแห่งโบโลญญา ถูกสร้างเมื่อปี 1390 จนกระทั่งในปี 1514 นาย Arduino degli Arriguzzi สถาปนิกคนหนึ่งก็คิดการใหญ่ จะขยายวิหารให้ยิ่งใหญ่กว่าเดิม เพื่อเอาชนะวิหารเซนต์ปีเตอร์(อันเก่า)ที่โรม เมื่อ Pope Pius IV ได้ยินเข้า ก็สั่งระงับโปรเจคทันที ทำให้ façade ถูกทิ้งไว้ในสภาพนี้
วิหารนี้เป็นสถาปัตยกรรมแบบโกทิค หินอ่อนด้านหน้าแกะสลักเป็นเรื่องราวใน The Old Testament
แวะซื้อน้ำกิน
จาก Piazza Maggiore เดินไปทางทิศตะวันออกไม่ไกล ก็จะไปถึง Due Torri/The two towers สัญลักษณ์ของเมือง
ระหว่างทางเจอร้านดอกไม้ด้วย
ร้านขายแฮม
ร้านขายขนมปัง
ถึงแล้ว Le due torre di Bologna หอคอยสร้างสมัยคริสตศตวรรษที่ 12 หอสูงชื่อ Asinelli ตั้งชื่อตามตระกูลผู้สร้าง มีความสูง 97 เมตร จัดว่าเป็นหอคอยที่สูงเป็นอันดับ 4 ในอิตาลีถึงจะดูเก่าๆ กะโหลกกะลาแต่หอนี้มีประโยชน์ไม่ใช่เล่นๆเลยนะ เพราะภายหลังเนี่ยถูกใช้เป็นป้อมชั่วคราวและคุกในกรณีที่เกิดเหตุไม่สงบของบ้านเมือง ในปี 1640 นักวิทยาศาสตร์ชาวอิตาลีใช้หอคอยเพื่อศึกการเคลื่อนที่ของโลก และในช่วง WWII หอคอยนี้ใช้เป็นที่สังเกตการณ์เวลาเครื่องบินฝ่ายสัมพันธมิตรจะทิ้งระเบิดด้วย
ส่วนหอเตี้ยที่เอียงเยอะๆ ชื่อว่า Garisenda สร้างในเวลาใกล้เคียงกับหออันแรก มีความสูง 48 เมตร เดิมถูกสร้างสูง 60 เมตร แต่ในศตวรรษที่ 14 พอหอเริ่มเอียงลงเรื่อยๆ ชั้นบนๆก็ถูกโละออกเพื่อกันไม่ให้ถล่ม
เชื่อว่าในสมัยก่อนมีหอคอยในเมืองมากถึง 180 หอ สันนิษฐานว่าเหล่าคหบดีสร้างขึ้นไว้เป็นที่หลบภัยหรือโจมตีส่วนตัว ในช่วงเกิดจลาจล ภายหลังหอจำนวนมากถูกทำลายบ้าง ล้มลงเองบ้าง ที่เหลือก็ถูกเปลี่ยนเป็นคุก หอสังเกตการณ์ ไม่ก็ที่พักอาศัย ปัจจุบันมีเหลืออยู่ไม่ถึงสิบ
เห็นดูธรรมดาอย่างนี้ รู้หรือไม่ว่าหอคอยคู่นี่เป็นแรงบันดาลใจให้กับ Minoru Yamasaki ในการออกแบบ World Trade Center เลยนะครับ
มัวแต่พูดมาก ขึ้นหอดีกว่าครับ หอที่ขึ้นได้คือหอสูงเท่านั้นนะครับ ค่าขึ้น 3€
เห็นบันไดแล้วอย่าเพิ่งท้อนะครับ แนะนำใครเป็น acrophobia มากๆอย่าขึ้นครับ อาจจะเจอ panic attack ได้
บันไดทั้งหมดมีประมาณ 500 ขั้นครับ เดินมาไม่ถึงครึ่งผมก็เหนื่อยละครับ มองไปข้างหน้าเจอเด็กฝรั่งวัยประมาณป.2 วิ่งชิลๆขึ้นไปเลย ยอมไม่ได้รีบคืบคลานตามไป...
ผ่านไปอีก20นาที ก็เดินขึ้นมาจนสุด วิวนี่แดงไปหมดเลยครับ
ที่เห็นไกลๆก็คือ Metropolitan area ของเมือง มีประชากรทั้งหมดหนึ่งล้านกว่าชีวิตครับ คิดเป็นอันดับที่ 7 ของอิตาลี
คุมโทนของจริง อย่างกับเอาจิ๊กซอว์สีแดงเล็กๆมาประกบกัน
[img]http://f.ptcdn.info/755/032/000/1435161
ถนนในเมืองมุ่งเข้าหา Tower
มองเห็น Piazza Maggiore
duomo ของเมือง
อีกทิศ
[CR] REVIEW: Italy Sightseeing Trip, Day 5 : The red jigsaws of Bologna
แผนการเดินทางและที่พัก (Itinerary and accommodation)
http://ppantip.com/topic/33704481
สำหรับคนชอบหินอ่อน (Day 1: A first look of Milan’s lux)
http://ppantip.com/topic/33733640
สู่สวรรค์วิมาน (Day 2: Lake Como, a gateway to a piece of paradise)
http://ppantip.com/topic/33740051
ดาวินชีเป็นไดเวอร์เจนต์?!!!! (Day 3: Say Salve to Da Vinci and confess your love with Juliet)
http://ppantip.com/topic/33768802
วงกตแห่งคลอง (Day 4: Treasure and treachery of Venice)
http://ppantip.com/topic/33794965
ทัศนศึกษาประวัติศาสตร์ศิลปะ (Day 6: A tour of Renaissance)
http://ppantip.com/topic/33877524
หอเอนในตำนาน (Day 7: The Field of Miracles)
http://ppantip.com/topic/34885362
โรมยามเย็น (Day 8: From Palazzo Vecchio to the buzzling piazzas of Rome)
http://ppantip.com/topic/34914024
Prologue:
ทุกคนน่าจะสปาเกตตี้โบโลนีส แต่มีน้อยคนที่จะรู้ถึงความงามของเมืองโบราณสีแดงอันมีเสน่ห์ต้นกำเนิดอาหารอิตาเลียนนับร้อย เมืองหอคอยนี้ไม่ได้มีดีแค่สปาเกตตี้ซอสไก่ เพราะเป็นถึงเมืองหลวงแคว้นเอมิเลีย-โรมันยาและศูนย์กลางการคมนาคมในอิตาลีตอนกลางเลยทีเดียว
"Vorrei fare il check-out per favore."
ออกจากโรงแรม มารอที่ท่าเรือ ก็เจอสิ่งเหล่านี้...
หมอกลง บรรยากาศสุดยอดดดดดด
Dov'è la isla di San Giorgo Maggiore?
เกาะหาย?
โบสถ์ Santa Maria della Salute เหมือนอยู่บนสวรรค์ มีแต่หมอก
Ponte dell'Accademia
กอนโดลายังไม่ออกมาจากอู่
ิปิดท้ายเวนิซด้วย วิวจาก Grand Canal อันสุดท้าย
จาก Venice เราจะนั่งรถไฟระดับสอง Frecciagento ไปยังสถานี Bologna Centrale รอบที่ออกคือ 9.25-10.50
อ่านหนังสือเพลินๆในรถ
ถึงแล้ว Bologna Centrale สถานีรถไฟอายุ 150 ปีนี้เป็นหนึ่งในสถานีที่วุ่นวายที่สุดในอิตาลี เพราะเป็นจุดเปลี่ยนสายของรถไฟหลายสาย ทำให้สถานีที่ดูเล็กๆนี้ต้องทำชานชลาใต้ดินเพิ่มไปอีกถึงสองชั้นเลย
เป้าหมายที่มาเมืองนี้คือ 1.ตามนิยาย จะมาปีนหอคอยคู่แบบ Leo Valdez ใน Mark of Athena 2. มากินอาหารอิตาเลียนแบบออริจินัลเล่
จากสถานีรถไฟ เราจะเดินเลี้ยวซ้ายไปเล็กน้อยจนเจอประตูเมือง แล้วเลี้ยวขวาไปทางประตูเดินตรงไปตาม Via dell'Indipendenza ไปประมาณ 30 นาที (ถ้าโอ้เอ้) ก็จะถึง Piazza Maggiore ศูนย์กลางของเขต Centro storico (ย่านเมืองเก่า)
Porta Galliera ประตูเมืองชั้นนอกสร้างสมัยช่วงศตวรรษที่ 17 เป็นศิลปะแบบบาโรก ใครสังเกตดีๆจะเห็นสัญลักษณ์กุญแจไขว้กัน กุญแจแห่งสวรรค์คือสัญลักษณ์ของ St.Peter พระสันตปาปาองค์แรก เพราะฉะนั้นกุญแจไขว้จึงสื่อถึงอำนาจแห่งสันตปาปา (Papacy) ที่มันมาอยู่ตรงนี้ได้ ก็เพราะในอดีต Bologna เคยเป็นส่วนหนึ่งของ "Papal State" หรือรัฐแห่งสันตปาปานั่นเอง
ในอดีต Papal state เป็นรัฐที่มีอำนาจล้นฟ้า มีแบคอัพสำคัญมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นฝรั่งเศส เวนิซหรือทัสคานี แถมยังมีอาณาจักรครอบคลุมอิตาลีตอนกลางไปเกินครึ่งเลย
เดินตามทางไปเรื่อยๆครับ เสน่ห์ของเมืองนี้อยู่ที่ "Portico" พวกนี้ครับ ในอดีตตั้งแต่ศตวรรษที่ 11-13 เมืองที่สร้างชายคาแบบนี้จะถือว่าเป็นเมืองที่ดูศิวิไลซ์ โบโลญญาจัดให้ครับ สร้างทางเดินใต้ portico ในเขต centro storico รวม 38 km แสดงความเจริญทางเศรษฐกิจอย่างเต็มที่
วันนี้วันอาทิตย์ ถือเป็นวันหยุดงานสากลของศาสนาคริสต์ครับ ผู้คนต่างพากันมาเดินเล่น
มีโชวเต้นระบำเก๋ๆ
Eddard Stark, Lord of Winterfell, Warden of the North and Hand of the King คารวะคนวาดจริงๆ
เดินมาสุดทางก็จะเจอ Fontana di Nettuno น้ำพุประดับรูปปั้นสำริดเนปจูน ยืนอวดองค์อรเอย ผลงานของ Giambologna
เดิมที Giambologna เสนอผลงานนี้ให้ไปประดับไว้ที่ Florence แต่ที่นั่นเขาปฏิเสธ ก็เลยย้ายมาประดับที่นี่แทน
ปล. สังเกตดีๆ ใครเห็นโลโก้รถชื่อดังจากอิตาลีบ้าง บริษัทรถก็ถูกก่อตั้งที่เมืองนี้ด้วยนะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ถึงแล้ว Piazza Maggiore คนอย่างเยอะ เหมือนจะมีมหกรรมนาทีทองบางอย่าง
สแควร์นี้ถูกสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่15 โดยลักษณะของตัวลานและตึกที่ล้อมรอบนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่นิดเดียว
Palazzo d'Accursio ตึกนี้อายุเกือบ 700 ปี ในอดีตเป็นที่ตั้งของสภาสูงผู้บริหารเมือง
รูปปั้นของพระสันตปาปาชาวเมืองนี้ผู้โด่งดัง Gregory XIII โป๊ปองค์นี้แหละที่สั่งให้มีการทำปฏิทินรูปแบบใหม่ขึ้นมา หลังจากที่ค้นพบว่าปฏิทินจูเลียน (Julian Calendar) ที่ใช้กันมาตั้งแต่สมัย Julius Caesar เมื่อ 45 B.C. นั้นมีความคลาดเคลื่อน จนทำให้มีวันที่หายไปเลยถึง 10 วัน โป๊ปเลยเรียกรวมเหล่าผู้เชี่ยวชาญมาคิดปฏิทินใหม่ขึ้นมา โดยสรุป 1 ปี = 365 วัน 5 ชม. 49 นาที ถูกใช้อย่างสากลมาจนถึงทุกวันนี้
นอกจากนี้ Gregory XIII ยังมีดำรัสให้ตกแต่งวาติกันให้เสร็จ ทุกวันนี้ความอลังการของผลงานของศิลปินที่โป๊ปจิกหัวมาก็ยังเห็นได้ทั่วๆไปใน Vatican Museum และ St.Peter's basilica
ด้านบน เขียนภาษาละตินกล่าวถึง St.Petronius นักบุญผู้อุปถัมภ์เมือง แปลว่า "เปโตรเนียสผู้เป็นดั่งเทพเจ้า พระบิดาและผู้ปกป้อง"
มองตรงไปจะเห็นโบสถ์ที่มีขนาดใหญเป็นอันดับที่ 15 ของโลก, Basilica di San Petronio สร้างถวายแด่บิช็อปแห่งโบโลญญา ถูกสร้างเมื่อปี 1390 จนกระทั่งในปี 1514 นาย Arduino degli Arriguzzi สถาปนิกคนหนึ่งก็คิดการใหญ่ จะขยายวิหารให้ยิ่งใหญ่กว่าเดิม เพื่อเอาชนะวิหารเซนต์ปีเตอร์(อันเก่า)ที่โรม เมื่อ Pope Pius IV ได้ยินเข้า ก็สั่งระงับโปรเจคทันที ทำให้ façade ถูกทิ้งไว้ในสภาพนี้
วิหารนี้เป็นสถาปัตยกรรมแบบโกทิค หินอ่อนด้านหน้าแกะสลักเป็นเรื่องราวใน The Old Testament
แวะซื้อน้ำกิน
จาก Piazza Maggiore เดินไปทางทิศตะวันออกไม่ไกล ก็จะไปถึง Due Torri/The two towers สัญลักษณ์ของเมือง
ระหว่างทางเจอร้านดอกไม้ด้วย
ร้านขายแฮม
ร้านขายขนมปัง
ถึงแล้ว Le due torre di Bologna หอคอยสร้างสมัยคริสตศตวรรษที่ 12 หอสูงชื่อ Asinelli ตั้งชื่อตามตระกูลผู้สร้าง มีความสูง 97 เมตร จัดว่าเป็นหอคอยที่สูงเป็นอันดับ 4 ในอิตาลีถึงจะดูเก่าๆ กะโหลกกะลาแต่หอนี้มีประโยชน์ไม่ใช่เล่นๆเลยนะ เพราะภายหลังเนี่ยถูกใช้เป็นป้อมชั่วคราวและคุกในกรณีที่เกิดเหตุไม่สงบของบ้านเมือง ในปี 1640 นักวิทยาศาสตร์ชาวอิตาลีใช้หอคอยเพื่อศึกการเคลื่อนที่ของโลก และในช่วง WWII หอคอยนี้ใช้เป็นที่สังเกตการณ์เวลาเครื่องบินฝ่ายสัมพันธมิตรจะทิ้งระเบิดด้วย
ส่วนหอเตี้ยที่เอียงเยอะๆ ชื่อว่า Garisenda สร้างในเวลาใกล้เคียงกับหออันแรก มีความสูง 48 เมตร เดิมถูกสร้างสูง 60 เมตร แต่ในศตวรรษที่ 14 พอหอเริ่มเอียงลงเรื่อยๆ ชั้นบนๆก็ถูกโละออกเพื่อกันไม่ให้ถล่ม
เชื่อว่าในสมัยก่อนมีหอคอยในเมืองมากถึง 180 หอ สันนิษฐานว่าเหล่าคหบดีสร้างขึ้นไว้เป็นที่หลบภัยหรือโจมตีส่วนตัว ในช่วงเกิดจลาจล ภายหลังหอจำนวนมากถูกทำลายบ้าง ล้มลงเองบ้าง ที่เหลือก็ถูกเปลี่ยนเป็นคุก หอสังเกตการณ์ ไม่ก็ที่พักอาศัย ปัจจุบันมีเหลืออยู่ไม่ถึงสิบ
เห็นดูธรรมดาอย่างนี้ รู้หรือไม่ว่าหอคอยคู่นี่เป็นแรงบันดาลใจให้กับ Minoru Yamasaki ในการออกแบบ World Trade Center เลยนะครับ
มัวแต่พูดมาก ขึ้นหอดีกว่าครับ หอที่ขึ้นได้คือหอสูงเท่านั้นนะครับ ค่าขึ้น 3€
เห็นบันไดแล้วอย่าเพิ่งท้อนะครับ แนะนำใครเป็น acrophobia มากๆอย่าขึ้นครับ อาจจะเจอ panic attack ได้
บันไดทั้งหมดมีประมาณ 500 ขั้นครับ เดินมาไม่ถึงครึ่งผมก็เหนื่อยละครับ มองไปข้างหน้าเจอเด็กฝรั่งวัยประมาณป.2 วิ่งชิลๆขึ้นไปเลย ยอมไม่ได้รีบคืบคลานตามไป...
ผ่านไปอีก20นาที ก็เดินขึ้นมาจนสุด วิวนี่แดงไปหมดเลยครับ
ที่เห็นไกลๆก็คือ Metropolitan area ของเมือง มีประชากรทั้งหมดหนึ่งล้านกว่าชีวิตครับ คิดเป็นอันดับที่ 7 ของอิตาลี
คุมโทนของจริง อย่างกับเอาจิ๊กซอว์สีแดงเล็กๆมาประกบกัน
[img]http://f.ptcdn.info/755/032/000/1435161
ถนนในเมืองมุ่งเข้าหา Tower
มองเห็น Piazza Maggiore
duomo ของเมือง
อีกทิศ