มีชายคนหนึ่งมาหาท่านนบีมูฮัมหมัด ร้องทุกข์ว่าเขายากจนเหลือประมาณ แม้อาหารสักหยิบมือก็ไม่มีที่บ้าน ท่านนบีมูฮัมหมัด จึงบอกว่า ท่านจงกลับไปบ้านดูว่ามีสิ่งของอะไรบ้างแล้วนำมาให้ฉัน
ชายคนนั้นกลับไปบ้าน สักครู่ใหญ่ๆ ก็กลับมาพร้อมด้วยพรมหยาบๆ 1 ผืนกับถ้วยน้ำ 1 ใบ แล้วพูดว่า ผ้าผืนนี้บางคนใช้ปูนอน บางคนใช้ห่ม ถ้วยใบนี้ใช้ตักน้ำรับประทานอยู่เสมอ เมื่อได้รับผ้ากับถ้วยน้ำจากชายคนนั้นแล้ว ท่านนบีมูฮัมหมัด ก็ถามแก่คณะซอฮาบะห์(เพื่อน)ที่นั่งอยู่ในที่นั้นว่า “ของสองสิ่งนี้ราคา 1 ดิรฮัม ใครจะต้องการบ้าง?” คนหนึ่งก็ตอบว่า “ข้าพเจ้าจะเอาเอง” ท่านนบีมูฮัมหมัด ก็ถามอีกว่า “ราคา 2 ดิรฮัมเล่า ใครจะต้องการบ้าง ?” อีกคนหนึ่งก็ตอบว่า “ข้าพเจ้าเอาเอง” ท่านนบีมูฮัมหมัด ก็มอบของสองสิ่งให้แก่ชายคนที่สองไป และรับเงินสองดิรฮัมมา แล้วก็เรียกชายผู้มาขอความช่วยเหลือเข้ามาหา ส่งเงินสองดิรฮัมให้พร้อมกับสั่งว่า “เงิน 2 ดิรฮัมนี้ 1 ดิรฮัม ท่านจงไปซื้อขวานมา 1 เล่ม อีก 1 ดิรฮัม ซื้ออาหารให้แก่ครอบครัวของท่าน”
ชายคนนั้นจากไปสักครู่หนึ่งก็กลับมาหาท่านนบีมูฮัมหมัด พร้อมด้วยขวานหนึ่งเล่ม ท่านนบีมูฮัมหมัด เห็นดังนั้นก็พูดว่า “ดีแล้ว ท่านจงเดินทางเข้าไปในป่านี้ พบอะไรที่พอจะขายได้ ให้ตัดรวบรวมแล้วนำมาจำหน่าย โดยท่านมิต้องมาพบกับฉันอีกภายในระยะเวลา 15 วัน” ชายคนนั้นก็ทำตามคำสั่งของท่านอย่างขยันขันแข็ง จนกระทั่งเวลา 15 วันได้ผ่านพ้นไปแล้ว เขาจึงมาหาท่านนบีมูฮัมหมัดอีก พร้อมด้วยเงิน 10 ดิรฮัม ท่านนบีมูฮัมหมัดก็สั่งว่า “ท่านจงนำเงิน 10 ดิรฮัมนี้ซื้ออาหาร 5 ดิรฮัม อีก 5 ดิรฮัมซื้อเครื่องนุ่งห่ม แล้วนำไปให้แก่ครอบครัวของท่าน”
ชายคนนั้นพูดว่า “โดยคำสั่งที่ท่านให้แก่ข้าพเจ้านี้ อัลลอฮฺได้ทรงประทานความกว้างขวางให้แก่ข้าพเจ้ามาก ท่านนบีมูฮัมหมัด จึงพูดแก่ชายคนนั้นว่า “พฤติการณ์อย่างนี้ดีกว่าที่ท่านจะไปปรากฏในวันกิยามะห์ โดยมีเครื่องหมายการขอทานปรากฏบนใบหน้าของท่าน เพราะการขอทานนั้นเป็นสิ่งที่ต้องห้าม นอกจากแก่บุคคลสามจำพวกคือ
1. ผู้ที่ไม่มีเงินเสียค่าทำขวัญ
2. คนที่มีหนี้สิน สุดวิสัยที่จะใช้ได้
3. คนยากจน ที่ไม่มีทรัพย์สินสิ่งใดเหลืออยู่เลย”
จากเรื่องดังกล่าวทำให้รู้ว่า อิสลามสนับสนุนการทำงาน ดีกว่าการขอทาน
จริงอยู่การขอทานเป็นอาชีพที่ศาสนาไม่ห้าม แต่ประตูของการขอทานก็ได้ถูกจำกัดไว้อย่างแคบเหลือเกิน อนุญาตให้เฉพาะบุคคลประเภทที่ไร้ความสามารถจริง ๆ เพียงแต่ความยากจนอดอยากอย่างเดียวยังไม่นับว่าเป็นเหตุผลเพียงพอที่มุสลิมจะจับงานขอทานเป็นอาชีพ หากยังมีกำลังกายหรือกำลังความคิด หรือความสามารถที่พอจะหาทางออกอื่นได้ เพราะอิสลามถือว่าการขอทานเป็นงานที่เลวทรามต่ำช้าที่สุด เป็นเครื่องทำลายเกียรติแห่งการเป็นมนุษย์ ทั้งในดุนยา (โลกนี้) และในอาคิรัต (โลกหน้า)
ท่านนบี ได้ย้ำว่า อาหารที่ดีที่สุดของคนๆ หนึ่งก็คืออาหารที่ได้จากน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง ดังเช่นในกรณีของนบีดาวุด
(บันทึกโดยบุคอรีย์)
การเป็นคนขยันทำมาหากินแม้จะถือว่าเป็นคนดีแล้วก็ตาม แต่ได้มีผู้ถามท่านนบี ว่า มุสลิมแบบใดที่ดีที่สุด
ท่านตอบว่า คือผู้ที่ให้อาหาร และให้สลาม(ทักทาย)แก่คนที่รู้จัก และไม่รู้จัก
(บันทึกโดยบุคอรีย์และมุ สลิม)
เครดิต : ดาบ แห่งพระเจ้า
ขอทานในหน้าประวัติศาสตร์อิสลาม
มีชายคนหนึ่งมาหาท่านนบีมูฮัมหมัด ร้องทุกข์ว่าเขายากจนเหลือประมาณ แม้อาหารสักหยิบมือก็ไม่มีที่บ้าน ท่านนบีมูฮัมหมัด จึงบอกว่า ท่านจงกลับไปบ้านดูว่ามีสิ่งของอะไรบ้างแล้วนำมาให้ฉัน
ชายคนนั้นกลับไปบ้าน สักครู่ใหญ่ๆ ก็กลับมาพร้อมด้วยพรมหยาบๆ 1 ผืนกับถ้วยน้ำ 1 ใบ แล้วพูดว่า ผ้าผืนนี้บางคนใช้ปูนอน บางคนใช้ห่ม ถ้วยใบนี้ใช้ตักน้ำรับประทานอยู่เสมอ เมื่อได้รับผ้ากับถ้วยน้ำจากชายคนนั้นแล้ว ท่านนบีมูฮัมหมัด ก็ถามแก่คณะซอฮาบะห์(เพื่อน)ที่นั่งอยู่ในที่นั้นว่า “ของสองสิ่งนี้ราคา 1 ดิรฮัม ใครจะต้องการบ้าง?” คนหนึ่งก็ตอบว่า “ข้าพเจ้าจะเอาเอง” ท่านนบีมูฮัมหมัด ก็ถามอีกว่า “ราคา 2 ดิรฮัมเล่า ใครจะต้องการบ้าง ?” อีกคนหนึ่งก็ตอบว่า “ข้าพเจ้าเอาเอง” ท่านนบีมูฮัมหมัด ก็มอบของสองสิ่งให้แก่ชายคนที่สองไป และรับเงินสองดิรฮัมมา แล้วก็เรียกชายผู้มาขอความช่วยเหลือเข้ามาหา ส่งเงินสองดิรฮัมให้พร้อมกับสั่งว่า “เงิน 2 ดิรฮัมนี้ 1 ดิรฮัม ท่านจงไปซื้อขวานมา 1 เล่ม อีก 1 ดิรฮัม ซื้ออาหารให้แก่ครอบครัวของท่าน”
ชายคนนั้นจากไปสักครู่หนึ่งก็กลับมาหาท่านนบีมูฮัมหมัด พร้อมด้วยขวานหนึ่งเล่ม ท่านนบีมูฮัมหมัด เห็นดังนั้นก็พูดว่า “ดีแล้ว ท่านจงเดินทางเข้าไปในป่านี้ พบอะไรที่พอจะขายได้ ให้ตัดรวบรวมแล้วนำมาจำหน่าย โดยท่านมิต้องมาพบกับฉันอีกภายในระยะเวลา 15 วัน” ชายคนนั้นก็ทำตามคำสั่งของท่านอย่างขยันขันแข็ง จนกระทั่งเวลา 15 วันได้ผ่านพ้นไปแล้ว เขาจึงมาหาท่านนบีมูฮัมหมัดอีก พร้อมด้วยเงิน 10 ดิรฮัม ท่านนบีมูฮัมหมัดก็สั่งว่า “ท่านจงนำเงิน 10 ดิรฮัมนี้ซื้ออาหาร 5 ดิรฮัม อีก 5 ดิรฮัมซื้อเครื่องนุ่งห่ม แล้วนำไปให้แก่ครอบครัวของท่าน”
ชายคนนั้นพูดว่า “โดยคำสั่งที่ท่านให้แก่ข้าพเจ้านี้ อัลลอฮฺได้ทรงประทานความกว้างขวางให้แก่ข้าพเจ้ามาก ท่านนบีมูฮัมหมัด จึงพูดแก่ชายคนนั้นว่า “พฤติการณ์อย่างนี้ดีกว่าที่ท่านจะไปปรากฏในวันกิยามะห์ โดยมีเครื่องหมายการขอทานปรากฏบนใบหน้าของท่าน เพราะการขอทานนั้นเป็นสิ่งที่ต้องห้าม นอกจากแก่บุคคลสามจำพวกคือ
1. ผู้ที่ไม่มีเงินเสียค่าทำขวัญ
2. คนที่มีหนี้สิน สุดวิสัยที่จะใช้ได้
3. คนยากจน ที่ไม่มีทรัพย์สินสิ่งใดเหลืออยู่เลย”
จากเรื่องดังกล่าวทำให้รู้ว่า อิสลามสนับสนุนการทำงาน ดีกว่าการขอทาน
จริงอยู่การขอทานเป็นอาชีพที่ศาสนาไม่ห้าม แต่ประตูของการขอทานก็ได้ถูกจำกัดไว้อย่างแคบเหลือเกิน อนุญาตให้เฉพาะบุคคลประเภทที่ไร้ความสามารถจริง ๆ เพียงแต่ความยากจนอดอยากอย่างเดียวยังไม่นับว่าเป็นเหตุผลเพียงพอที่มุสลิมจะจับงานขอทานเป็นอาชีพ หากยังมีกำลังกายหรือกำลังความคิด หรือความสามารถที่พอจะหาทางออกอื่นได้ เพราะอิสลามถือว่าการขอทานเป็นงานที่เลวทรามต่ำช้าที่สุด เป็นเครื่องทำลายเกียรติแห่งการเป็นมนุษย์ ทั้งในดุนยา (โลกนี้) และในอาคิรัต (โลกหน้า)
ท่านนบี ได้ย้ำว่า อาหารที่ดีที่สุดของคนๆ หนึ่งก็คืออาหารที่ได้จากน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง ดังเช่นในกรณีของนบีดาวุด
(บันทึกโดยบุคอรีย์)
การเป็นคนขยันทำมาหากินแม้จะถือว่าเป็นคนดีแล้วก็ตาม แต่ได้มีผู้ถามท่านนบี ว่า มุสลิมแบบใดที่ดีที่สุด
ท่านตอบว่า คือผู้ที่ให้อาหาร และให้สลาม(ทักทาย)แก่คนที่รู้จัก และไม่รู้จัก
(บันทึกโดยบุคอรีย์และมุ สลิม)
เครดิต : ดาบ แห่งพระเจ้า