จากอุบัติเหตุเมื่อปีที่แล้ว อุบัติเหตุที่เปลี่ยนชีวิตเราทั้งชีวิต
นับจากวันที่เกิดอุบัติเหตุวันแรก จนถึงวันนี้ (23 มิ.ย. 58) เรายังมีความหวังเสมอว่าเราจะต้องเดินให้ได้อีกครั้งนึง เราต้องเดินให้ได้ด้วยขาทั้งสองข้างของเราเอง
~ ผ่าตัดครั้งที่ 1 วันที่ 9 เม.ย.57 เนื่องจากไม่สามารถผ่าตัดพร้อมกันทั้ง 2 ขาได้ คุณหมอจึงผ่าตัดใส่เหล็กที่ข้างซ้ายเท่านั้น ส่วนข้างขวาผ่าตัดไม่ได้ เลยได้แต่เข้าเฝือก หลังจากการผ่าครั้งแรกนั้น ทุกคนๆต่างให้กำลังใจว่าเวลาสัก 3-4 เดือนเราจะดีขึ้น เดี๋ยวก็จะเดินได้แล้ว เราใจจดใจจ่อรอเวลาที่ขาข้างซ้ายจะลงน้ำหนักได้ รอเวลาเอาเฝือกข้างขวาออก รอเวลาที่จะเดินด้วยขาทั้งสองข้างพร้อมๆกัน แต่...... พอถึงเวลา เราก็ผิดหวัง เนื่องจากข้างขวาพอเอาเฝือกออกนั้น กระดูกหน้าแข้งตั้งแต่ใต้เข่าลงมามันคด ข้อเท้าติดขยับไม่ได้ ปลายเท้าจิกลงพื้น เท้าไม่สามารถแตะพื้นได้เต็มฝ่าเท้า ลงพื้นเพียงปลายเท้าเท่านั้น ส่วนข้างซ้าย เรารู้สึกเจ็บ ปวด ต้นขา สะโพกตลอดเวลาที่ทำกายภาพ แต่เราก็พยายามฝึกยืนด้วยขาข้างซ้าย แต่มันเจ็บปวดมากจริงๆ (แต่ก็คิดว่าคงเพราะกล้ามเนื้อบริเวณผ่าตัดมันยังบาดเจ็บอยู่ เราจึงอดทนมาตลอด)
~ผ่าตัดครั้งที่ 2 วันที่ 18 ก.ย. 57 เราเข้ารับการผ่าตัดครั้งที่ 2 โดยคุณหมอเจาะยืดเอ็นร้อยหวายที่ข้อเท้า และดัดเท้าเราด้วยแรงทั้งหมดที่มีของคุณหมอ เพื่อให้กลับขึ้นมาให้ตั้งฉาก และเอาเฝือกด้ามไว้ ผ่าตัดครั้งนี้ เรามีความหวังว่า เราจะเดินได้สักที แต่พอเอาเฝือกที่ด้ามเท้าออก เราก็พบว่าขาทั้งสองข้างของเราสั้นยาวไม่เท่ากัน แต่เราก็ทำใจ คิดว่าไม่เป็นไร ขอให้เดินได้ก็พอใจ และเราก็เฝ้ารอจนถึงวันที่ลงน้ำหนักได้ เพราะมันคือความหวัง หลังจากนั้นเราก็ฝึกเดิน แต่.... เราก็เดินไม่ได้อย่างหวัง เพราะเนื่องจากขาที่คดโค้ง ทำให้เท้าเราตะแคง เจ็บจนไม่สามารถเดินแบบนี้ได้ (ระหว่างนี้ ขาซ้ายก็ยังปวดเหมือนเดิม ลงน้ำหนักได้ไม่เต็มที่สักที เราคิดว่า อาจเพราะยังเจ็บเพราะข้างในมีเหล็กอยู่)
~ผ่าตัดครั้งที่ 3 วันที่ 29 ม.ค. 58 เราเข้ารับการผ่าตัดอีกครั้ง ครั้งนี้ทำทั้งข้อเท้าและเข่าพร้อมกัน คุณหมอใส่เหล็กเหนือเข่าลงมาถึงเข่า เพื่อทำให้ขาที่คดกลับมาตรงเท่าที่จะทำได้ และได้ทำตรงข้อเท้าอีกครั้ง เพื่อยืดเอ็น และตัดข้อที่ตายตรงข้อเท้าออก ครั้งนี้เรามีความหวังว่า ช่วงเดือนเมษายน เราคงจะกลับมาเดินได้สักที เราตั้งความหวังมากจริงๆกับครั้งนี้ แต่....... ช่วงมี.ค. - เม.ษ. เราเริ่มปวดขาข้างซ้ายมาก มาก มาก แม้แต่จะนั่ง จะนอน มันปวดร้าวไปหมด เราจึงตัดสินใจไปหาหมออีกครั้งทันที เราเอ็กซเรย์อีกครั้ง ครั้งนี้ถึงกับทำเราช็อกไปเลย เพราะพบว่า ทั้งข้อสะโพกและเบ้าสะโพกข้างซ้ายเราทรุดไปหมดแล้ว ต้องเปลี่ยนเท่านั้น (เหมือนฝันโดนกระชากกลางอากาศ) นี่น่ะเองที่เป็นสาเหตุให้เราปวดตลอดเวลา
~ผ่าตัดครั้งที่ 4 วันที่ 11 มิ.ย. 58 เราเข้ารับการผ่าตัดอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งสุดท้าย เพราะเป็นการผ่าตัดเอาเหล็กที่ด้ามต้นขาข้างซ้ายออกก่อน เพราะเนื่องจากติดตรงเหล็กชิ้นนี้ ทำให้เรายังไม่สามารถเปลี่ยนเบ้าและข้อสะโพกได้
~ผ่าตัดครั้งที่ 5 ....... ถึงเราจะยังไม่รู้กำหนดการผ่าตัด แต่เราก็รู้ล่วงหน้า รู้ว่าอีกไม่กี่เดือน เราจะต้องเจ็บปวดจากการผ่าตัด และเราต้องผ่านมันไปให้ได้ เราต้องอดทน เราต้องสู้ เพราะเรายังหวัง ยังมีหวังว่าสักวัน เราต้องเดินให้ได้
ณ วันนี้ เวลานี้ ที่เรานั่งพิมพ์อยู่ เรายังไม่ได้ตัดไหมด้วยซ้ำ แต่เราจะไม่ท้อ เราก็ยังหวังว่า เราจะเดินได้ และเราก็จะไม่มีวันหมดหวัง แม้ที่ผ่านมา เราจะร้องไห้ทุกครั้งที่ต้องผ่าตัด แม้จะเจ็บปวดมากมายมหาศาลแค่ไหน แม้จะน้อยใจในโชคชะตา แต่เรายังมีหวัง จากที่เคยอายที่ต้องนั่งรถเข็น ตอนนี้กลับรู้สึกขอบคุณเจ้ารถเข็นคันนี้ ที่พาเราออกไปเที่ยวไหนๆได้
ที่มาเขียนเล่าในวันนี้ เราอยากเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่เจ็บป่วย หรือมีความทุกข์ ทั้งทางกายหรือทางใจ ถ้าเราสู้ ยิ้มรับความเจ็บปวด อดทน สู้กับมัน เราเชื่อว่ามันจะผ่านไปได้ อาจไม่ได้เป็นอย่างที่หวังทุกประการ แต่มันจะดีขึ้นแน่นอน
กำลังใจเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เราเข้มแข็งได้ทุกวันนี้ เพราะเรามีกำลังใจ กำลังใจที่ทุกๆคนมอบให้ ครอบครัว คนรัก เพื่อน ญาติพี่น้อง คนรอบข้างทุกคน แม้แต่เพื่อนที่ไม่เคยรู้จักหรือเห็นหน้ามาก่อน เพื่อนในโลกออนไลน์ ทุกๆคนคือกำลังใจ คือพลังที่ให้เราต่อสู้กับความเจ็บปวดมาถึงวันนี้
อยากฝากถึงทุกคนนะคะ "บนท้องถนน ไม่ได้มีคุณคนเดียว ความประมาทเพียงชั่วครู่ของคุณ อาจทำลายชีวิตของผู้อื่น จนบางทีอาจไม่สามารถแก้ไขใดๆได้อีก ชีวิตที่สูญเสีย ไม่สามารถกลับคืนได้ บางคนไม่สูญเสียชีวิต แต่สิ่งที่เกิดขึ้น อาจจะเหมือนตายทั้งเป็น คำขอโทษ ไม่สามารถลบล้างผลของการกระทำของคุณได้นะคะ" ขับรถอย่างมีสตินะคะ
ขอแท็ก อุบัติเหตุ (เพราะมันเกิดจากอุบัติเหตุ)
ครอบครัว (เพราะกำลังใจจากครอบครัวสำคัญที่สุด)
สยามสแคว์ ( เพราะอุบัติเหตุครั้งนี้ เกิดจากเด็กวัยนี้)
// 457 วัน ที่ยังเดินไม่ได้ // แต่สักวันต้องเดินให้ได้
นับจากวันที่เกิดอุบัติเหตุวันแรก จนถึงวันนี้ (23 มิ.ย. 58) เรายังมีความหวังเสมอว่าเราจะต้องเดินให้ได้อีกครั้งนึง เราต้องเดินให้ได้ด้วยขาทั้งสองข้างของเราเอง
~ ผ่าตัดครั้งที่ 1 วันที่ 9 เม.ย.57 เนื่องจากไม่สามารถผ่าตัดพร้อมกันทั้ง 2 ขาได้ คุณหมอจึงผ่าตัดใส่เหล็กที่ข้างซ้ายเท่านั้น ส่วนข้างขวาผ่าตัดไม่ได้ เลยได้แต่เข้าเฝือก หลังจากการผ่าครั้งแรกนั้น ทุกคนๆต่างให้กำลังใจว่าเวลาสัก 3-4 เดือนเราจะดีขึ้น เดี๋ยวก็จะเดินได้แล้ว เราใจจดใจจ่อรอเวลาที่ขาข้างซ้ายจะลงน้ำหนักได้ รอเวลาเอาเฝือกข้างขวาออก รอเวลาที่จะเดินด้วยขาทั้งสองข้างพร้อมๆกัน แต่...... พอถึงเวลา เราก็ผิดหวัง เนื่องจากข้างขวาพอเอาเฝือกออกนั้น กระดูกหน้าแข้งตั้งแต่ใต้เข่าลงมามันคด ข้อเท้าติดขยับไม่ได้ ปลายเท้าจิกลงพื้น เท้าไม่สามารถแตะพื้นได้เต็มฝ่าเท้า ลงพื้นเพียงปลายเท้าเท่านั้น ส่วนข้างซ้าย เรารู้สึกเจ็บ ปวด ต้นขา สะโพกตลอดเวลาที่ทำกายภาพ แต่เราก็พยายามฝึกยืนด้วยขาข้างซ้าย แต่มันเจ็บปวดมากจริงๆ (แต่ก็คิดว่าคงเพราะกล้ามเนื้อบริเวณผ่าตัดมันยังบาดเจ็บอยู่ เราจึงอดทนมาตลอด)
~ผ่าตัดครั้งที่ 2 วันที่ 18 ก.ย. 57 เราเข้ารับการผ่าตัดครั้งที่ 2 โดยคุณหมอเจาะยืดเอ็นร้อยหวายที่ข้อเท้า และดัดเท้าเราด้วยแรงทั้งหมดที่มีของคุณหมอ เพื่อให้กลับขึ้นมาให้ตั้งฉาก และเอาเฝือกด้ามไว้ ผ่าตัดครั้งนี้ เรามีความหวังว่า เราจะเดินได้สักที แต่พอเอาเฝือกที่ด้ามเท้าออก เราก็พบว่าขาทั้งสองข้างของเราสั้นยาวไม่เท่ากัน แต่เราก็ทำใจ คิดว่าไม่เป็นไร ขอให้เดินได้ก็พอใจ และเราก็เฝ้ารอจนถึงวันที่ลงน้ำหนักได้ เพราะมันคือความหวัง หลังจากนั้นเราก็ฝึกเดิน แต่.... เราก็เดินไม่ได้อย่างหวัง เพราะเนื่องจากขาที่คดโค้ง ทำให้เท้าเราตะแคง เจ็บจนไม่สามารถเดินแบบนี้ได้ (ระหว่างนี้ ขาซ้ายก็ยังปวดเหมือนเดิม ลงน้ำหนักได้ไม่เต็มที่สักที เราคิดว่า อาจเพราะยังเจ็บเพราะข้างในมีเหล็กอยู่)
~ผ่าตัดครั้งที่ 3 วันที่ 29 ม.ค. 58 เราเข้ารับการผ่าตัดอีกครั้ง ครั้งนี้ทำทั้งข้อเท้าและเข่าพร้อมกัน คุณหมอใส่เหล็กเหนือเข่าลงมาถึงเข่า เพื่อทำให้ขาที่คดกลับมาตรงเท่าที่จะทำได้ และได้ทำตรงข้อเท้าอีกครั้ง เพื่อยืดเอ็น และตัดข้อที่ตายตรงข้อเท้าออก ครั้งนี้เรามีความหวังว่า ช่วงเดือนเมษายน เราคงจะกลับมาเดินได้สักที เราตั้งความหวังมากจริงๆกับครั้งนี้ แต่....... ช่วงมี.ค. - เม.ษ. เราเริ่มปวดขาข้างซ้ายมาก มาก มาก แม้แต่จะนั่ง จะนอน มันปวดร้าวไปหมด เราจึงตัดสินใจไปหาหมออีกครั้งทันที เราเอ็กซเรย์อีกครั้ง ครั้งนี้ถึงกับทำเราช็อกไปเลย เพราะพบว่า ทั้งข้อสะโพกและเบ้าสะโพกข้างซ้ายเราทรุดไปหมดแล้ว ต้องเปลี่ยนเท่านั้น (เหมือนฝันโดนกระชากกลางอากาศ) นี่น่ะเองที่เป็นสาเหตุให้เราปวดตลอดเวลา
~ผ่าตัดครั้งที่ 4 วันที่ 11 มิ.ย. 58 เราเข้ารับการผ่าตัดอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งสุดท้าย เพราะเป็นการผ่าตัดเอาเหล็กที่ด้ามต้นขาข้างซ้ายออกก่อน เพราะเนื่องจากติดตรงเหล็กชิ้นนี้ ทำให้เรายังไม่สามารถเปลี่ยนเบ้าและข้อสะโพกได้
~ผ่าตัดครั้งที่ 5 ....... ถึงเราจะยังไม่รู้กำหนดการผ่าตัด แต่เราก็รู้ล่วงหน้า รู้ว่าอีกไม่กี่เดือน เราจะต้องเจ็บปวดจากการผ่าตัด และเราต้องผ่านมันไปให้ได้ เราต้องอดทน เราต้องสู้ เพราะเรายังหวัง ยังมีหวังว่าสักวัน เราต้องเดินให้ได้
ณ วันนี้ เวลานี้ ที่เรานั่งพิมพ์อยู่ เรายังไม่ได้ตัดไหมด้วยซ้ำ แต่เราจะไม่ท้อ เราก็ยังหวังว่า เราจะเดินได้ และเราก็จะไม่มีวันหมดหวัง แม้ที่ผ่านมา เราจะร้องไห้ทุกครั้งที่ต้องผ่าตัด แม้จะเจ็บปวดมากมายมหาศาลแค่ไหน แม้จะน้อยใจในโชคชะตา แต่เรายังมีหวัง จากที่เคยอายที่ต้องนั่งรถเข็น ตอนนี้กลับรู้สึกขอบคุณเจ้ารถเข็นคันนี้ ที่พาเราออกไปเที่ยวไหนๆได้
ที่มาเขียนเล่าในวันนี้ เราอยากเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่เจ็บป่วย หรือมีความทุกข์ ทั้งทางกายหรือทางใจ ถ้าเราสู้ ยิ้มรับความเจ็บปวด อดทน สู้กับมัน เราเชื่อว่ามันจะผ่านไปได้ อาจไม่ได้เป็นอย่างที่หวังทุกประการ แต่มันจะดีขึ้นแน่นอน
กำลังใจเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เราเข้มแข็งได้ทุกวันนี้ เพราะเรามีกำลังใจ กำลังใจที่ทุกๆคนมอบให้ ครอบครัว คนรัก เพื่อน ญาติพี่น้อง คนรอบข้างทุกคน แม้แต่เพื่อนที่ไม่เคยรู้จักหรือเห็นหน้ามาก่อน เพื่อนในโลกออนไลน์ ทุกๆคนคือกำลังใจ คือพลังที่ให้เราต่อสู้กับความเจ็บปวดมาถึงวันนี้
อยากฝากถึงทุกคนนะคะ "บนท้องถนน ไม่ได้มีคุณคนเดียว ความประมาทเพียงชั่วครู่ของคุณ อาจทำลายชีวิตของผู้อื่น จนบางทีอาจไม่สามารถแก้ไขใดๆได้อีก ชีวิตที่สูญเสีย ไม่สามารถกลับคืนได้ บางคนไม่สูญเสียชีวิต แต่สิ่งที่เกิดขึ้น อาจจะเหมือนตายทั้งเป็น คำขอโทษ ไม่สามารถลบล้างผลของการกระทำของคุณได้นะคะ" ขับรถอย่างมีสตินะคะ
ขอแท็ก อุบัติเหตุ (เพราะมันเกิดจากอุบัติเหตุ)
ครอบครัว (เพราะกำลังใจจากครอบครัวสำคัญที่สุด)
สยามสแคว์ ( เพราะอุบัติเหตุครั้งนี้ เกิดจากเด็กวัยนี้)