สถานการณ์การแพร่กระจายของ โรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง หรือ โรคเมอร์ส ซึ่งกำลังรุนแรงในเกาหลีใต้ จนทำให้มีผู้เสียชีวิตไปแล้วหลายราย และในส่วนของประเทศไทยเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมามีการตรวจพบ ผู้ติดเชื้อเป็นรายแรกจากผู้ป่วยที่เดินทางมารักษาตัวในประเทศ โดยกระทรวงสาธารณสุขได้ควบคุมและรักษาผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันการแพร่กระจายโรค
โดยรวมการเตรียมพร้อมระวังตัว ระวังโรคระบาดเมอร์สของกระทรวงสาธารณสุข ถือได้ว่ามีความตื่นตัว มีการเตรียมมาตรการค่อนข้างดี และเตรียมรับมือค่อนข้างรวดเร็ว รวมถึงมีการให้ความรู้ในเรื่องโรคระบาดเมอร์สเพื่อเป็นการป้องกันตั้งแต่เนินๆ เมื่อทราบข่าวการแพร่ระบาดในประเทศเกาหลีใต้
อย่างไรก็ตามแม้จะมีการเตรียมพร้อมด้วยความระมัดระวังปานใดก็ตาม แต่ในโลกของการเดินทางข้ามประเทศที่มีความสะดวกมากในยุคปัจจุบัน ทำให้ผู้ติดเชื่อได้เดินทางเข้ามาในประเทศ แต่ก็ถูกตรวจพบและกักตัวผู้ป่วยเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อแล้วก็ตาม ก็ยังมีนักวิชาการบางคน ออกมาโจมตีในเรื่องดังกล่าวอยู่บ้าง
โดยพยายาม โยงประเด็นการให้ความสำคัญในเรื่องการระบาดของโรคในเชิงการเมือง มีการนำไปเปรียบกับการเคลื่อนไหวของนักศึกษาบางกลุ่มที่เคลื่อนไหวทางการเมืองต่อต้านรัฐบาล คสช.อยู่ในขณะนี้ กล่าวหาว่ารัฐบาลให้ความสำคัญเรื่องการป้องกันโรคน้อยกว่าการควบคุมตัวหรือจำกัดการเคลื่อนไหวทางการเมืองของนักศึกษากลุ่มนี้
การระวังป้องกันโรคระบาดเมอร์ส ถือเป็นเรื่องสำคัญของคนทั้งประเทศ ต้องร่วมมือกันทุกฝ่าย เพื่อไม่ให้เกิดการแพร่กระจายของโรคร้ายนี้ การนำเรื่องการป้องกันโรคที่ร้ายแรงจนถึงขั้นทำให้เสียชีวิตนี้ ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น และไม่ควรนำมาเป็นประเด็นทางการเมือง กล่าวหารัฐบาลทำลายความน่าเชื่อถือโดยไม่ดูข้อเท็จจริง
และที่สำคัญประชาชนทุกกลุ่มต้องตระหนักและให้ความสำคัญ ให้ความร่วมมือ สนับสนุนมาตรการในทุกมิติเพื่อไม่ให้เกิดการแพร่กระจายของโรคร้ายนี้เข้ามาในประเทศให้ได้
เมื่อวานนี้มีข่าวจากการรายงานของเว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์ ที่น่าตระหนกยิ่ง สะท้อนถึงตัวตนของคนไทยแม้จะเป็นส่วนน้อย หรือคนเดียว หรือไม่กี่คนก็ตามที่เห็นแก่ตัวเห็นแก่ความชื่นชอบส่วนตัวจนลืมเรื่องสำคัญระดับชาติไป คือ..
"เมื่อกระทรวงสาธารณสุข ได้มีการตรวจเข้มผู้ที่เดินทางมาจากเกาหลีใต้มายังประเทศไทย โดยจะมีการตรวจอุณหภูมิด้วยเครื่องเทอร์โมสแกน ซึ่งหากไม่พบอาการไข้ก็จะติดตามเป็นเวลา 14 วัน เพื่อเฝ้าระวังป้องกันโรค ซึ่งนักร้องไอดอลเคป๊อบชื่อดังจากแดนโสม "วง EXO" ซึ่งเดินทางมาแสดงคอนเสิร์ตที่ประเทศไทยวันที่ 20-21 มิ.ย. ที่อิมแพค อารีนา เมืองทองธานี ก็ต้องได้รับการตรวจเพื่อเฝ้าระวังเช่นกัน"
ซึ่งปรากฏว่าได้มีแฟนคลับคนหนึ่งได้โพสต์ข้อความต่อว่า มาตรการดังกล่าวว่าน่าเกลียด ถึงกับกักตัวเอกโซตรวจไวรัสเมอร์ส โดยระบุอีกว่า เอกโซสะอาดกว่าคนไทยตั้งเยอะ เขาไม่มีเชื้อโรคหรอก ขาวจะตาย ทำเกินไป แค่ไวรัสเล็กน้อยๆ ถึงต้องตรวจเลยหรือ
โดยรายงานข่าวบอกด้วยว่า เมื่อมีการโพสต์ขอความดังกล่าวก็มีคนเข้ามาวิจารณ์ความคิดดังกล่าวจำนวนมาก ในเรื่องนี้เป็นตัวอย่างหนึ่งของคนไทยบางส่วนที่เห็นแก่ตัว เอาความรักความชอบของตัวเองมาเป็นที่ตั้ง โดยไม่คำนึงถึงส่วนรวม ไม่คำนึงถึงภัยมหันต์ของโรคระบาด
วันนี้ เราต้องกลับมาทบทวนและทำความเข้าใจกันอีกครั้งหรือไม่ว่า ในเรื่องของโรคระบาดที่ส่งผลกระทบกว้างขวางทั้งในแง่ของสุขภาพ อันตรายถึงแก่ชีวิต ผลกระทบกับเศรษฐกิจในเชิงการท่องเที่ยวฯ ในเรื่องนี้เราต้องให้ความสำคัญ ต้องให้ความร่วมมืออย่างจิงจังทุกฝ่าย อย่างเอากิเลสฯส่วนตัว และตัณหาทางการเมืองมาบั่นทอนการทำงานของเจ้าหน้าที่ เราควรร่วมมือกันในทุกมิติเพื่อป้องกันโรคร้ายดีกว่าหรอไม่?
http://news.sanook.com/1816303/
ติ่งต้องรู้! ป้องกัน “เมอร์ส“ ไอดอลเกาหลีไม่มีละเว้น
สถานการณ์การแพร่กระจายของ โรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง หรือ โรคเมอร์ส ซึ่งกำลังรุนแรงในเกาหลีใต้ จนทำให้มีผู้เสียชีวิตไปแล้วหลายราย และในส่วนของประเทศไทยเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมามีการตรวจพบ ผู้ติดเชื้อเป็นรายแรกจากผู้ป่วยที่เดินทางมารักษาตัวในประเทศ โดยกระทรวงสาธารณสุขได้ควบคุมและรักษาผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันการแพร่กระจายโรค
โดยรวมการเตรียมพร้อมระวังตัว ระวังโรคระบาดเมอร์สของกระทรวงสาธารณสุข ถือได้ว่ามีความตื่นตัว มีการเตรียมมาตรการค่อนข้างดี และเตรียมรับมือค่อนข้างรวดเร็ว รวมถึงมีการให้ความรู้ในเรื่องโรคระบาดเมอร์สเพื่อเป็นการป้องกันตั้งแต่เนินๆ เมื่อทราบข่าวการแพร่ระบาดในประเทศเกาหลีใต้
อย่างไรก็ตามแม้จะมีการเตรียมพร้อมด้วยความระมัดระวังปานใดก็ตาม แต่ในโลกของการเดินทางข้ามประเทศที่มีความสะดวกมากในยุคปัจจุบัน ทำให้ผู้ติดเชื่อได้เดินทางเข้ามาในประเทศ แต่ก็ถูกตรวจพบและกักตัวผู้ป่วยเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อแล้วก็ตาม ก็ยังมีนักวิชาการบางคน ออกมาโจมตีในเรื่องดังกล่าวอยู่บ้าง
โดยพยายาม โยงประเด็นการให้ความสำคัญในเรื่องการระบาดของโรคในเชิงการเมือง มีการนำไปเปรียบกับการเคลื่อนไหวของนักศึกษาบางกลุ่มที่เคลื่อนไหวทางการเมืองต่อต้านรัฐบาล คสช.อยู่ในขณะนี้ กล่าวหาว่ารัฐบาลให้ความสำคัญเรื่องการป้องกันโรคน้อยกว่าการควบคุมตัวหรือจำกัดการเคลื่อนไหวทางการเมืองของนักศึกษากลุ่มนี้
การระวังป้องกันโรคระบาดเมอร์ส ถือเป็นเรื่องสำคัญของคนทั้งประเทศ ต้องร่วมมือกันทุกฝ่าย เพื่อไม่ให้เกิดการแพร่กระจายของโรคร้ายนี้ การนำเรื่องการป้องกันโรคที่ร้ายแรงจนถึงขั้นทำให้เสียชีวิตนี้ ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น และไม่ควรนำมาเป็นประเด็นทางการเมือง กล่าวหารัฐบาลทำลายความน่าเชื่อถือโดยไม่ดูข้อเท็จจริง
และที่สำคัญประชาชนทุกกลุ่มต้องตระหนักและให้ความสำคัญ ให้ความร่วมมือ สนับสนุนมาตรการในทุกมิติเพื่อไม่ให้เกิดการแพร่กระจายของโรคร้ายนี้เข้ามาในประเทศให้ได้
เมื่อวานนี้มีข่าวจากการรายงานของเว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์ ที่น่าตระหนกยิ่ง สะท้อนถึงตัวตนของคนไทยแม้จะเป็นส่วนน้อย หรือคนเดียว หรือไม่กี่คนก็ตามที่เห็นแก่ตัวเห็นแก่ความชื่นชอบส่วนตัวจนลืมเรื่องสำคัญระดับชาติไป คือ..
"เมื่อกระทรวงสาธารณสุข ได้มีการตรวจเข้มผู้ที่เดินทางมาจากเกาหลีใต้มายังประเทศไทย โดยจะมีการตรวจอุณหภูมิด้วยเครื่องเทอร์โมสแกน ซึ่งหากไม่พบอาการไข้ก็จะติดตามเป็นเวลา 14 วัน เพื่อเฝ้าระวังป้องกันโรค ซึ่งนักร้องไอดอลเคป๊อบชื่อดังจากแดนโสม "วง EXO" ซึ่งเดินทางมาแสดงคอนเสิร์ตที่ประเทศไทยวันที่ 20-21 มิ.ย. ที่อิมแพค อารีนา เมืองทองธานี ก็ต้องได้รับการตรวจเพื่อเฝ้าระวังเช่นกัน"
ซึ่งปรากฏว่าได้มีแฟนคลับคนหนึ่งได้โพสต์ข้อความต่อว่า มาตรการดังกล่าวว่าน่าเกลียด ถึงกับกักตัวเอกโซตรวจไวรัสเมอร์ส โดยระบุอีกว่า เอกโซสะอาดกว่าคนไทยตั้งเยอะ เขาไม่มีเชื้อโรคหรอก ขาวจะตาย ทำเกินไป แค่ไวรัสเล็กน้อยๆ ถึงต้องตรวจเลยหรือ
โดยรายงานข่าวบอกด้วยว่า เมื่อมีการโพสต์ขอความดังกล่าวก็มีคนเข้ามาวิจารณ์ความคิดดังกล่าวจำนวนมาก ในเรื่องนี้เป็นตัวอย่างหนึ่งของคนไทยบางส่วนที่เห็นแก่ตัว เอาความรักความชอบของตัวเองมาเป็นที่ตั้ง โดยไม่คำนึงถึงส่วนรวม ไม่คำนึงถึงภัยมหันต์ของโรคระบาด
วันนี้ เราต้องกลับมาทบทวนและทำความเข้าใจกันอีกครั้งหรือไม่ว่า ในเรื่องของโรคระบาดที่ส่งผลกระทบกว้างขวางทั้งในแง่ของสุขภาพ อันตรายถึงแก่ชีวิต ผลกระทบกับเศรษฐกิจในเชิงการท่องเที่ยวฯ ในเรื่องนี้เราต้องให้ความสำคัญ ต้องให้ความร่วมมืออย่างจิงจังทุกฝ่าย อย่างเอากิเลสฯส่วนตัว และตัณหาทางการเมืองมาบั่นทอนการทำงานของเจ้าหน้าที่ เราควรร่วมมือกันในทุกมิติเพื่อป้องกันโรคร้ายดีกว่าหรอไม่?
http://news.sanook.com/1816303/