นิยายพาเที่ยวภูฏาน ; ในอ้อมกอด...มังกรสายฟ้า...: บทนำ

กระทู้สนทนา
ภูฏาน เป็นหนึ่งในประเทศที่ไอซ์สาบานกับตัวเองว่าจะต้องไปให้ได้ แล้วไอซ์ก็ได้ไปจริง ๆ ค่ะ

ต้องบอกว่าไม่ผิดหวังเลย เมื่อธรรมชาติ ความงดงามต่าง ๆ ตราตรึงเป็นความประทับใจจนไอซ์อดเขียนเรื่องราวมาเล่าให้ฟังไม่ได้จริง ๆ ค่ะ

แต่จะเล่าเฉย ๆ ไอซ์ก็ไม่ถนัด ขออนุญาตเขียนเป็นเรื่องราวตามสไตล์ ให้อัญญาเล่าให้ทุกท่านแทนดีกว่านะคะ

----


เรื่องราวการเดินทางเพื่อเยียวยาหัวใจ ของผู้หญิงที่ดื้อรั้นและพยศกว่าม้าป่า รักอิสระกว่าอินทรี และเปราะบาง...กว่าตุ๊กตาแก้ว...

หากอัญญาคืออินทรีจากลุ่มเจ้าพระยา ปีกเธอหักแล้วด้วยความรัก หัวใจเธอสลายแล้วด้วยความทรมาน ใครจะเยียวยาได้นอกจากตัวเธอ

หากทาชิคือมังกรสายฟ้าแห่งหิมาลายา ดวงตาเขามั่นคงเพียงภาพเธอ กรงเล็บนั้นมีไว้เพื่อปกป้องเพียงหัวใจเธอ

หลับเถอะคนดี...หลับใหลในอ้อมกอด...มังกรสายฟ้า...

---

“แต่งงานกับพี่นะครับ...”

คำถามอ่อนหวานกับสายตาที่มองตรงอย่างมั่นคงคงทำให้ผู้หญิงที่ได้ฟังหัวใจละลายได้ไม่ยาก เธอเองก็ไม่ต่างกัน ความรู้สึกของหัวใจที่เต้นรัวเร็วอยู่ในอกราวจะระเบิดออกมานั้นชัดเจนจนยากจะเก็บไว้ ก้อนเนื้อวายร้ายนั้นสั่งให้เธอตอบตกลง แต่สติสัมปชัญญะส่วนหนึ่งดึงเธอกลับมาสู่ความจริง

“หลังอัญเรียนจบได้ไหมคะ” เธอไม่รู้ว่าผู้หญิงปกติเขาตอบคำถามนี้กันอย่างไร อัญญาไม่อยากปฏิเสธผู้ชายที่เธอรัก แต่เธอก็ยังไม่พร้อมจะหยุดทุกอย่างเพื่อเขา โดยเฉพาะความฝันที่เธอตั้งใจมานาน

ชายหนุ่มนิ่งงันไปนาน ก่อนจะถอนใจเบา ๆ

“ไม่ว่าเมื่อไร เธอก็คิดถึงแต่ตัวเองก่อนตลอด” เขาแค่นหัวเราะอย่างเย็นชา

“พี่พยายามมาตลอด เพราะคิดว่าเธอจะปรับตัวเองได้บ้าง แต่ก็ไม่เคยสำเร็จ”

อัญญานิ่งงันไปกับคำต่อว่าร้ายกาจ เธอเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อว่าคำพวกนั้นจะออกมาจากปากผู้ชายตรงหน้า

“ไปหาคนที่คอยตามใจเธอเถอะ”

แล้วคนตัวสูงก็ลุกขึ้นเดินห่างไป ภาพนั้นลอยลับจากสายตา ขณะที่อัญญาได้แต่นั่งนิ่งมองดูโดยไม่ทันแม้จะเอ่ยคำใด ๆ

แล้วหยาดน้ำตาก็พร่างพรูลงมาทั้งสองข้างแก้ม “อัญขอโทษ...อย่าไปนะคะ...”

“อัญขอโทษ...” เสียงแผ่วเบานั้นยังติดอยู่ที่ริมฝีปาก แม้ยามที่เธอลืมตาสะดุ้งตื่นขึ้นบนเตียง

อัญญาสูดลมหายใจยาวช้า ๆ เรียกสติให้ตัวเอง ปลายหางตายังรู้สึกถึงความเปียกชื่นของหยาดน้ำตาที่รื้นรินมาทุกคราวที่ความฝันยังตามมาคอยหลอกหลอน

“หยุดบ้าเสียทีเถอะ...อัญญา”

หญิงสาวปาดน้ำตาก่อนลุกขึ้นยืน เดินไปล้างหน้าล้างตา ก่อนจะลงไปที่ห้องนั่งเล่นชั้นล่าง มารดานอนอ่านหนังสืออยู่ที่นั่น

“ตื่นแล้วเหรอ”

“ค่ะ...เหนื่อยจัง” เธอบ่นเบา ๆ เมื่อทรุดตัวลงนั่งหน้าโต๊ะทำงาน

เสียงฝนพรำเบา ๆ ดังผ่านประตูมุ้งลวดเข้ามาให้ได้ยิน ไอเย็นชื้นจากละอองน้ำภายนอกถูกสายลมหอบเข้ามาแตะร่างจนหนาวสะท้าน อัญญาสะบัดผ้าฝ้ายเนื้อหนาที่วางพาดบนพนักเก้าอี้ขึ้นคลุมไหล่ กอดร่างตัวเองแน่นอย่างคนขี้หนาว

ทั้งที่ไม่อยากจะคิดถึง ทั้งที่อยากจะลืมให้สิ้นทุกอย่าง แต่ความทรงจำก็ยังตอกย้ำในใจให้เธออดหยันตัวเองไม่ได้เมื่อคิดถึงอ้อมกอดของใครบางคนที่เคยคลายหนาวให้อยู่เสมอ

มีคนเคยบอกว่า...คนบางคนไม่ได้เกิดมา...เพื่อจะรัก

อัญญาเคยคิดอย่างนั้น เชื่ออย่างนั้น จนใครบางคนก้าวเข้ามาเปลี่ยนความคิดของเธอ จากผู้หญิงที่ไม่เคยมองอนาคตร่วมกับใคร เขาคนนั้นทำให้เธอคิดถึงวันเวลาที่ประคองกันเดินยามแก่เฒ่า ก่อนที่ทุกอย่างจะจบลงราวความฝัน

ใครบางคนที่เคยมองตาเธอ เอ่ยคำขออย่างอ่อนหวาน

“แต่งงานกับพี่นะครับ...”

แล้วเธอก็ปฏิเสธ เพราะเชื่อว่าวัยที่เพิ่งเริ่มทำงาน เพิ่งเริ่มใช้ชีวิตนั้นยังเยาว์เกินกว่าจะตัดสินใจสร้างครอบครัว เธอหลงรักความฝัน ทุ่มเทกับการทำงาน หลงใหลกับอิสระ จนลืมไปว่า...ความรักก็ต้องการการดูแลไม่ต่างกัน

จนวันที่รักจากไป เธอจึงได้รู้

ชีวิต การงาน เงินตรา เธออาจไขว่คว้ามาได้ด้วยหนึ่งสมองและสองมือ แต่กับหัวใจใครบางคน...แม้ซื้อด้วยชีวิตและหัวใจก็ไม่อาจได้คืนมา

อัญญาเผลอมองการ์ดงานแต่งงานหลายแผ่นที่วางกองอยู่บนโต๊ะ ความรู้สึกหนึ่ง เธอดีใจกับเพื่อนและรุ่นพี่ที่ได้พบคนที่รัก กำลังจะสร้างครอบครัวกับคนที่เหมาะสม แต่อีกเสี้ยวหนึ่งของหัวใจ การ์ดตรงหน้ากำลังป่าวร้องราวจะหยันในความคิดที่เธอเคยมี ย้ำเตือนให้ยอมรับว่าเธอไม่ใช่เด็กน้อยที่เยาว์วัยอีกแล้ว

กลางทศวรรษที่สามอาจเป็นช่วงเวลาที่สวยงามที่สุดในชีวิตผู้หญิง เมื่อทุกอย่างพร้อมสรรพ ทั้งรูปโฉม ชีวิต การงาน หากจะหาสักสิ่งเพื่อเติมความสมบูรณ์แห่งความสุขของชีวิต สิ่งนั้นอาจเป็นความรัก...รักที่เธอเผลอปล่อยให้หลุดหายไป เพื่อซื้อเวลาวิ่งตามความฝัน

หญิงสาวถอนใจเบา ๆ อดคิดวนไปมาซ้ำ ๆ ไม่ได้

เธออาจเป็นผู้หญิง...ที่ไม่ได้เกิดมาเพื่อรัก

เป็นโชคดีแล้วที่เขาคนนั้นผ่านเข้ามา ให้เธอรู้จักคำว่ารัก แม้ไม่ได้ครอบครองความรัก

เมื่อเธอรักอิสระยิ่ง ก็ต้องยอมรับ...ที่จะปล่อยมือจากความรัก

เมื่อเธอไม่อาจให้เขาผูกมัดไว้ ก็ต้องยอม...ล่อยให้เขาเดินจากไป

อัญญาส่ายหน้าแรง ๆ ไล่ความคิดฟุ้งซ่านให้เลือนหายไป แตะนิ้วลงบนแท็บเล็ต ไล่อ่านบทความวิจัยต่าง ๆ ที่เปิดทิ้งไว้ตั้งแต่ก่อนไปพัก เพื่อเป็นข้อมูลในงานเขียนบทความวิชาการ แต่สมองที่ล้ากับหัวใจที่ซุกซนก็พานิ้วเธอไปหยุดที่โฆษณาบริษัททัวร์ที่ปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอ

…สัมผัสอ้อมกอดแห่งมังกรสายฟ้า 5 วัน 4 คืน...

หญิงสาวนิ่งอยู่นาน ก่อนจะแตะนิ้วลงบนหน้าจออีกครั้ง อ่านดูรายละเอียดเพียงไม่นาน เธอก็กดปฏิทินดูช่วงเวลาว่าง แล้วกรอกข้อมูลลงไปติดต่อบริษัททัวร์ดังกล่าวอย่างรวดเร็ว

จะรีรออะไรเมื่อหัวใจร่ำร้องถึงการพักมากมายเหลือเกิน

เลิกบ้ากับใครบางคนที่หายไป แล้วเดินหน้าพาหัวใจไปพักบ้างคงดีกว่า

“แม่คะ...ไปภูฏานกันไหม”

“หืม...”

“กลางเดือนหน้าอัญต้องไปเรียนต่อ ต้นเดือนพอมีเวลาน่าจะขออาจารย์พักไปเที่ยวก่อนได้น่ะค่ะ” หญิงสาวคะเนช่วงเวลาค่าว ๆ
สตรีวัยกลางเหลือบตามองอย่างไม่ใส่ใจ “แล้วแต่เราสิ”

“อย่างนั้นอัญจองทัวร์เลยนะคะ” คงเพราะได้ยินลูกสาวดูเอาจริงเอาจัง เธอจึงวางหนังสือเงยหน้ามองอย่างสนใจมากขึ้น

“ไปจริงเหรอ”

“เอาจริงสิคะ” หลายคราวแล้วที่เธออยากไปท่องเที่ยว อยากแบกเป้ไปพักอย่างที่เพื่อน ๆ ทำกัน แต่ติดขัดที่ความเป็นคนติดบ้าน เธอติดครอบครัว เกรงใจผู้ให้กำเนิดยิ่ง จึงแทบไม่เคยย่างเท้าก้าวไปต่างแดนเพียงลำพัง

แล้วก็เป็นเพราะเขาคนนั้นนั่นล่ะที่ก้าวเข้ามาในชีวิต เหมือนจุดเริ่มต้นของความเปลี่ยนแปลง เขาสอน...ให้บิดามารดามองเธอในฐานะผู้หญิงคนหนึ่งมากขึ้น
ผู้หญิงที่มีชีวิตและอิสระ ไม่ใช่ตุ๊กตาที่ใครจะปั้นหรือเอาไปตั้งที่ไหนได้ดังใจ

อัญญาเหยียดริมฝีปากกึ่งหยันในโชคชะตาของตน เอ่ยถามเบา ๆ “แม่ไปด้วยกันไหมคะ”

“ไม่ล่ะ มันสูง” มารดาไม่ชอบที่ที่มีออกซิเจนต่ำ

“อย่างนั้นอัญจะขออาจารย์ไปภูฏานช่วงต้นเดือน กลับมาแล้ว...แม่อยากไปไหนหรือเปล่าคะ ไต้หวันไหม” อัญญาจำได้ว่ามารดาอยากไป

“อัญอยากไปไหนล่ะ ไม่ไปญี่ปุ่น เกาหลีเหรอ สาว ๆ เขาชอบไปกันนี่”

หญิงสาวแค่นหัวเราะในคอ “ไม่ล่ะค่ะ...เขาไปกันเยอะแล้ว ทำไมเราต้องไปตามเขาด้วยล่ะคะ”

อัญญาไม่ได้ขวางโลก เธอแค่มีความเป็นตัวเองสูง นานมาแล้วที่เธอปล่อยชีวิตให้ล่องลอยไปตามเส้นทางที่ผู้ให้กำเนิดขีดวางหรือชี้นำ หลายเรื่องที่สำคัญกับชีวิตคล้ายเธอจะเป็นคนเลือก แต่เมื่อมองให้ดี อัญญารู้ เธอถูกขีดให้เดินด้วยการหล่อหลอมที่ผ่านมา หลายสิ่งทำให้ความฝันชัดเจน เธอมั่นคงมากขึ้นบนเส้นทางที่ดูสวยงามอย่างคุณหนูในห้องหอ เธอจึงอยู่นิ่ง ๆ ไม่เรียกร้อง ไม่วุ่นวาย ไม่ตามหากระทั่งความต้องการของตน

แล้วโลกก็สอนว่าเธอยังเป็นมนุษย์ มีความฝัน มีความปรารถนา และมีสิทธิ์ที่จะก้าวไปบนเส้นทางใด ๆ ด้วยการตัดสินใจของตนเอง

“เราเที่ยว เราสนุกก็ตัวเรา...ไม่ใช่เพราะได้ไปตามที่เขานิยมนี่คะ”

มารดานิ่งไปเพียงครู่ แล้วพยักหน้ารับ “แล้วแต่เถอะ ไว้ค่อยคิดแล้วกัน”

“อย่างนั้นอัญจองทัวร์ไปภูฏานก่อนนะคะ”


อัญญาขอลางานล่วงหน้าเกือบครึ่งเดือน อาจารย์แพทย์ที่เป็นหัวหน้าสายตรงในแผนกหัวเราะเบา ๆ เมื่อเธอบอกถึงจุดหมายปลายทาง

"คิงท่านเษกแล้วนะ อัญ"

อัญญาหัวเราะคิก "โธ่...อาจารย์คะ อัญไม่ได้ไปเพราะคิงเสียหน่อย"

"แล้วไปทำอะไร มีอะไรน่าสนใจนักเหรอ"

"เยอะแยะไปค่ะ...อัญอยากไปพักบ้าง ขออนุญาตนะคะบอส" เธอแกล้งทำเสียงหวาน

"คุณพ่อว่ายังไงล่ะ"

"ก็ไม่ว่าอะไรค่ะ" เธอลอยหน้าลอยตาตอบ ความจริงแล้วบิดาว่าอะไรไม่ออกเสียมากกว่า รู้ตัวอีกทีลูกสาวตัวแสบก็จองทัวร์ไปเรียบร้อยแล้ว

คนเป็นทั้งผู้บังคับบัญชาและอาจารย์ถอนใจเบา ๆ มองใบหน้าเปื้อนยิ้มที่ซ่อนรอยโศกไว้ในดวงตาแล้วพยักหน้า “คุณพ่อยังไม่ว่า พี่จะกล้าขัดเหรอ”

“เออ...อัญรู้จักโมซาไหม” อาจารย์เอ่ยถามถึงรุ่นพี่ชาวภูฏานที่ข้ามน้ำข้ามทะเลมาร่ำเรียนวิชาแพทย์ที่แผ่นดินไทย ชายหนุ่มเพิ่งกลับไปทำงานที่บ้านเกิดเมืองนอนได้ไม่ถึงปี

“ค่ะ...แต่ไม่สนิทเท่าไร”

“เดี๋ยวพี่ไลน์ไปฝากโมซาช่วยดูแลแล้วกัน เผื่อขาดเหลืออะไรจะได้ไม่ลำบาก” เขายังอดห่วงไม่ได้ ขณะที่อัญญาหัวเราะคิก

“ขอบคุณค่ะ แต่อัญไปกับทัวร์นะคะอาจารย์”

“นั่นล่ะ ถ้าว่างเผื่อจะแวะไปดูโรงพยาบาลของเขาบ้างว่าเป็นยังไง”

“ให้อัญแวะเข้าไปดูห้องผ่าตัดเลยไหมคะ เผื่อจะขอไปสร้างทีมที่นั่น”

“พูดอย่างนี้...เรียนจบแล้วอย่าหนีไปอยู่นั่นเชียวนะ” เขาอดดักคอไม่ได้ เพราะรู้นิสัยของลูกศิษย์เป็นอย่างดี

อัญญาเหมือนนกอินทรี เธอเฉลียวฉลาด กล้าหาญ และพร้อมจะโบยบินอย่างเสรียิ่ง หากไร้สิ่งผูกมัดอย่างความรัก และความฝัน เด็กคนนี้จะทะยานไปโดยไร้เงื่อนไข

“โธ่...อาจารย์น่ะ” เธอย่นจมูกใส่ ก่อนจะชะงักไปเมื่อเดินผ่านประตูไม้ซึ่งเป็นห้องทำงานของใครที่คุ้นเคย บานประตูเปิดกว้างพร้อมกับร่างสูงของเจ้าของห้องที่ก้าวออกมา

ลมหายใจสะดุดวูบ หัวใจราวถูกคว้านออกจากอก อัญญานิ่งไปอึดใจรีบดึงสายตาออกจากใบหน้าของคนที่เปิดประตูออกมา เสก้มหน้ามองพื้นราวไม่พบเห็น

เขาหยุดมอง ยกมือไหว้และเอ่ยทักอาจารย์ของเธอเพียงไม่กี่คำ ก่อนขอตัวเดินไปทำงานต่อ ขณะที่อัญญายังยืนนิ่งอยู่กับที่ แล้วก็เผลอ...มองตามแผ่นหลังที่คุ้นเคยนั้นไปอย่างอดไม่ได้

เธอหลับตา สูดลมหายใจช้า ๆ สะกดเอาหยาดน้ำตาที่เอ่อล้นให้กลับเข้าไป กัดริมฝีปากเก็บเอาทุกคำถามที่อยากเอ่ย

…พี่เป็นอย่างไร...สบายดีไหม
…เหนื่อยหรือเปล่า มีใครดูแลหรือยัง...

ร้อยพันความห่วงใยไม่เคยเลือนหาย แม้ใครจะบอกว่าเขาไม่คู่ควรกับความรักของเธอสักเท่าไร แต่สำหรับอัญญา เธอมีเพียงความปรารถนาดีและความห่วงใยให้เขาเสมอ

“อัญ...อัญญา...” เสียงดุทำให้เธอได้สติอีกครั้ง หญิงสาวกระพริบตาปริบ ๆ มองหน้าอาจารย์ที่มองมาอย่างเป็นห่วง

“ขอโทษค่ะ...”

อาจารย์ถอนใจเบา ๆ “ผู้ชายแบบนั้นคู่ควรกับความเจ็บปวดของอัญเหรอ”

อัญญาไม่รู้ว่าทำไม ในสายตาเธอ มองเขาเป็นแค่เด็กเกเรที่ชอบเรียกร้องความสนใจ แต่กับเพื่อนร่วมงานและใครหลายคน เขาคือคนเห็นแก่ตัวที่หลายคนชัง เธอพยายามบอกทุกคนตลอดมาว่าเขาเป็นแค่เด็กไม่รู้จักโตที่น่าสงสาร

“ห่วงแต่เขา สงสารแต่เขา...ไม่สงสารหัวใจตัวเองบ้างหรือ” อาจารย์ถามตรงไปตรงมา เหมือนที่เคยถามในวันที่เธอเล่าถึงความรู้สึกที่มีต่อเขาให้ฟัง

“มันคงต้องใช้เวลานะคะ” หญิงสาวถอนใจเบา ๆ “อัญไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหน แต่จะพยายามเข้มแข็งให้มากขึ้นนะคะ”

ผู้อาวุโสกว่ามองอย่างเข้าใจ อดไม่ได้ที่จะยกมือลูบหัวเธอเบา ๆ กึ่งปลอบโยนและให้กำลังใจ “แข็งใจไว้นะ...วันหนึ่งใจมันจะแข็งเอง”

อัญญาก้มหน้ามองพื้น กระพริบตาเร็ว ๆ ไม่ให้หยาดน้ำตาร่วงหล่นลงมา เธอทำให้รุ่นพี่และอาจารย์ต้องเป็นห่วงอยู่เสมอ และทุกครั้งเธอก็ได้รู้ว่าตัวเองเป็นที่รักมากเพียงใด

น่าเศร้าที่ร้อยพันคนรัก หากเพียงหนึ่งที่เธอปรารถนาให้รัก กลับไม่มีหัวใจให้กันอีกแล้ว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่