เที่ยว "ญี่ปุ่น" ยังไงให้เป็นหนี้

กระทู้สนทนา
สวัสดีครับ เอ่อ..จะเริ่มต้นยังไงดีล่ะ นี่เป็นกระทู้แรกของผมด้วยสิ
คือผมเป็นนักเขียนครับ ทำงานประจำอยู่ที่นิตยสารฉบับหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ /จบ.



เรื่องของเรื่องก็คือ เพื่อนผมคนนึงในเชียงใหม่เขาจัดทริปครับ โดยชวนคนรู้จักไปเที่ยวญี่ปุ่นกันทั้งหมด 9 คน แต่ยังขาดไปหนึ่ง (ขาดคนเดียวเขาก็ไปกันไม่ได้ครับ เพราะต้องจองตั๋วเครื่องบินและที่พักกันเป็นกรุ๊ป)
ที่นี้เขาก็เลยนึกถึงผมไง และด้วยราคาอันแสนเย้ายวน ผมเลยตอบตกลงไปโดยยังไม่รู้เลยว่าจะเอาเงินจากไหนไปเที่ยว แต่อีกตั้งหลายเดือนกว่าจะได้เดินทางจริงๆ จองๆ ไว้ก่อนแล้วกันไม่ได้เสียหายอะไร //ราคาตั๋วเครื่องบินไปกลับพร้อมที่พักของผม อยู่ที่ 10,200 บาทถ้วน

อย่าเพิ่งสงสัยนะครับว่าทำไมราคาตั๋วถึงได้ล่อหน้าล่อตาขนาดนี้ ก็เพราะว่าผมต้องไปต่อเครื่องที่กัวลาลัมป์เปอร์ มาเลเซีย เพื่อจะบินไปยัง สนามบินคันไซอีกต่อหนึ่ง แต่ก็ถือเป็นโอกาสดีของผมนะครับ เพราะมาเลเซียก็เป็นประเทศที่ผมยังไม่เคยได้ไปเหยียบเหมือนกัน

มาเลเซีย ประเทศเพื่อนบ้านที่ผมแทบจะไม่ได้ปักหมุดไว้เลยว่าจะได้ไปเยือน เพราะนอกจากเพลงของพี่เป้ อารักษ์ ที่ร้องว่า “มาเล มาเล มาเล มาเล...” และตึกแฝดสูงชะลูดแล้ว ผมก็แทบไม่รู้จักอะไรในประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นสมาชิกของ AEC นี้อีกเลย (จริงๆ ไปประเทศไหน ก็ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรนักหรอกครับ) เมื่อล้อเครื่องบินกล่าวลากับพื้นที่เชียงใหม่ ไปกระแทกพื้นที่กัวลาลัมป์เปอร์
ผมกราบสวัสดีคุณ ตม. หน้าคมเข้ม ขออนุญาตเข้าไปเดินเที่ยวในมาเลย์ โดยทั้งเนื้อทั้งตัวมีงบจำกัดแค่ 50 ริงกิตเท่านั้น (เกือบๆ 500 บาท) รอดไม่รอดต้องลองดู


“ซาลามัด ดาตัง” เป็นภาษามาเลเซียคำเดียวที่ผมมีในหัว พอเอาเข้าจริงก็มักใช้คำว่า Hi หรือ Hello เป็นหลัก (ตอนนี้ยังคิดอยู่เหมือนกันว่าจะจำไปทำไม) หลังผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมือง ผมนั่งรถบัสจากสนามบินมาที่กลางเมืองครับ เพื่อจะจับรถไฟจากสถานีขนส่งกัวลาลัมเปอร์ เข้าไปยัง Bukit Bintang ย่านธุรกิจของที่นี่อีก รถไฟที่นี่เขาก็แปลกดีนะ คล้ายๆ รถไฟตามสวนสนุกเสียมากกว่า เพราะดูไม่คุ้นตากับการที่จะเอามาใช้เป็นระบบขนส่งเท่าไรนัก  แถมบางช่วงรางยังคดโค้ง และเอียงไหลไปเรื่อยๆ ได้อารมณ์เหมือนนั่งรถไฟเหาะในสวนสนุกเลย รถไฟแล่นฉิวพาผมตัดเข้าไปใจกลางเมืองครับ ย่านนี้เขาว่ากันว่าเหมือนสยามในเมืองไทย มีห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร สินค้า เสื้อผ้าแบรนด์ดังเพียบ ได้แต่เดินดูอย่างเดียวแหละครับ เสื้อผ้าพวกนี้มันก็แค่ของนอกกาย ผมมีแล้ว จะขวนขวายมีไปทำไมอีก (จริงๆ ไม่มีตังค์มากกว่าครับ ได้แต่ยืนตะกรุยกระจกหน้าร้าน)

หลังหาของอร่อย (ราคาถูก) ยัดใส่ท้องจนระงับความหิวได้แล้ว ผมก็ไม่รู้จะไปทำอะไรต่อแล้ว มาถึงมาเลย์ทั้งที จะให้เดินห้างตากแอร์รอเวลาไปเรื่อยๆ ก็คงไม่ใช่แนวเท่าไร ผมเลยตัดสินจะบุกเดี่ยวตะลุยกัวลาลัมเปอร์ให้คุ้มค่ากับการเดินทางมาซะหน่อย ว่าแล้วก็ผูกเชือกรองเท้า กระชับกระเป๋าสะพายหลัง กรอกน้ำจนเต็มขวด แล้วเดินออกมานอกห้างในทันที  

ยิ้ม... ฝนตก!!!”
เอ่อ เอาไงดีวะน่ะ ฝนก็ช่างเลือกเวลาตกเนอะ จะนั่งเครื่องลาลับน่านฟ้ามาเลเซียไปก่อนก็ไม่ได้ นี่ผมเป็นนักท่องเที่ยวนะ แถมมาที่นี่ครั้งแรกด้วย ให้เกียรติกันบ้างสิ

10 นาทีผ่านไป เดี๋ยวมันก็หยุด
15 นาทีผ่านไป เฮ้ย... ตกเบาลงแล้ว เดี๋ยวก็หยุด
20 นาทีผ่านไป ยิ้มดด...นี่พายุเข้าเหรอ

ครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น ผมไม่รอแล้วครับ เปียกก็เปียกดิ นี่รอนแรมมาจากเชียงใหม่นะ ฝนแค่นี้เรื่องเล็ก ผมวิ่งตัดสายฝนเริงร่าอย่างกับสาวสะคราญวัยแรกแย้ม มุ่งหน้าสู่ตึกแฝดที่เห็นยอดอยู่ไกลๆ โดยปราศจาก GPS ไม่มีการถามทาง ไม่เปิดแผนที่ ไม่รู้อะไรเลย เดินไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็เจอ (อันนี้คิดเอง) เคราะห์ดีที่เดินมาสักพักฝนก็หยุด การผจญภัยหาตึก Petronas ดูจะราบรื่นจริงๆ ผมใช้เวลาเดินเท้าประมาณเกือบหนึ่งชั่วโมงครับ ลัดเลาะตึก และเดินตัดถนนไปเรื่อยๆ ไม่นานก็เจอตึกแฝดชื่อก้องโลกตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าผมแล้ว

เห็นยอดอยู่ไกลๆ นึกว่าจะเดินแปปเดียว เล่นเอาเกือบชั่วโมงเหมือนกัน


จำได้ว่าตอนเด็กๆ เคยซื้อหนังสือความรู้รอบตัวมาอ่าน แล้วเจอว่าตึกคู่นี้เป็นตึกแฝดที่สูงที่สุดในโลก ใครมาก็ต้องมาถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ผมไม่รอช้าครับ ควักกล้องมือถือกากๆ มาแชะไปสองสามรูป คือจริงๆ อยากจะเซลฟี่กับมันมากๆ เลย จะได้ประกาศให้วงศาคณาญาติได้รับรู้ว่า

“เฮ้ย กูอยู่มาเลย์”

แต่...จะพยายามหามุมขนาดไหนก็ทำได้ดีแค่เห็นหน้า...แต่ไม่เห็นตึก บางรูปเห็นตึก...แต่ไม่เห็นหน้าอีก พอๆ เลิกๆ ไม่ถ่ายแล้วครับ นั่งส่องคนในเมืองไปพลางๆ ก่อนดีกว่า



ช่วงเย็นก่อนกลับสนามบินผมเดินมาหาอะไรกินแถว Jalan Alor ครับ มีคนโม้ไว้เยอะว่าอาหารที่นี่รสชาติเด็ดดวง ทั้งปลากระเบนย่าง ปีกไก่ย่าง อาหารทะเล (จินตนาการง่ายๆ ว่าเหมือนเยาวราชบ้านเรา) แถมมีร้านแปลกๆ (ในสายตาคนไทย) อย่างร้านทุเรียน ที่ถ้าคุณจะกินก็ชี้ได้เลยว่าจะกินลูกนี้นะ ชี้เสร็จ ชั่งน้ำหนัก คิดราคา จากนั้นก็นั่งกินกันเป็นลูกๆ ตรงหน้าร้านนั้นเลยครับ เขาจะมีโต๊ะไว้ให้นั่งเม้าท์มอยกันอยู่ ผมว่าเท่ดีนะ



ร้านทุเรียนข้างทาง เห็นหนุ่มสาวมาเลย์มาออกเดทกันที่ร้านนี้ด้วย ท่าทางจะโรแมนติคน่าดู


จริงๆ ผมอยู่มาเลย์แค่ประมาณ 8 ชั่วโมงเองนะ ถึงแม้ว่าจะมาแป๊บเดียว แต่ผมก็ยังตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้มาเยือนเมืองที่เราไม่เคยไปมาก่อน ได้อยู่กับคนต่างสังคม ต่างวัฒนธรรม เห็นชีวิต และได้ลองชิมอาหารแปลกๆ สุดท้าย 50 ริงกิตของผมก็ติดลบครับ (ยืมคนอื่นเพิ่มอีก ประมาณ 5 บาทไทย) ได้แต่หอบใจโทรมๆ กับกระเป๋าเดินทางไปสนามบิน แล้วลาคุณ ตม. เพื่อไปผจญภัยในญี่ปุ่นต่อ

รอก่อนเหอะ จะ-ชาเขียวให้หมดประเทศเลย //ผมได้แต่คิดในใจขณะขดตัวอยู่บนเครื่องบิน


ปล. ภาพในกระทู้นี้จะมีกล้องหลักๆ อยู่ 3 ตัวนะครับ คือ
1. กล้องจากมือถือกากๆ ของผมเอง
2. กล้องดีขึ้นมาหน่อย อันนี้ยืมออฟฟิศไป //กราบ
และ 3. กล้องใช้แล้วทิ้งที่ผมซื้อที่โน่น (ภาพจากกล้องนี้เป็นภาพที่ผมชอบที่สุด)

ดังนั้นจึงอาจเห็นภาพในรูปแบบที่ต่างกันไปบ้างนะครับ แล้วแต่ว่าตอนนั้นกล้องอันไหนอยู่ใกล้มือมากกว่ากัน
แต่ใครอยากรู้จักกันเพิ่มเติมก็ไปดูได้ที่ Twitter/Instagram : yossoontorn
แนะนำติชมได้ตามสบาย
ขอบคุณล่วงหน้าครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่