ข้อคิดก่อนตัดสินใจทำภาพยนตร์ จากประสบการณ์ อ.ไพจิตร ศุภวารี



เงินรายได้ห้าล้านสมัยก่อน ก็คือหักอากรแล้ว 50 เปอร์เซนต์ สมมติค่าดู 30 บาท เขาเอาไป 15 บาทแล้ว คุณจะต้องนับเฉพาะเงินรายได้จริง หลังจากหักอากรมหรสพ ของเราจะเป็นของแท้ เพราะเขาจะส่งคนมาเช็คที่ห้องตั๋ว โรงภาพยนตร์เมื่อก่อนเอา 45 เปอเซนต์ สมัยนี้โรงภาพยนตร์เห็นว่าเอา 60-70 เปอร์เซนต์  มันก็เป็นธุรกิจน่ะครับ ผมถึงเลิกสร้าง พอพ้นจากภาษีรัฐ ก็มาเจอภาษีเอกชน สู้ไม่ไหวครับ ผมคิดว่าอาชีพที่มันเสี่ยงที่สุดในประเทศไทยมันก็คืออาชีพทำหนัง เวลานี้ก็ยังเสี่ยง อย่าไปคิดว่าคุณทำหนังร้อยล้าน ท่านมุ้ยทำหนังห้าร้อยล้าน แต่คุณไม่คิดว่าคนทำหนังห้าล้านสิบล้าน หรือล้านสองล้านมันอยู่จำนวนเท่าไร เฉลี่ยแล้วคนที่ทำหนังที่สามารถจะทำกำไรได้ ไม่เกิน 10 เปอร์เซนต์ ทำหนังคุ้มต้นทุนอีก 10 เปอร์เซนต์ เป็น 20 เปอร์เซนต์ นอกนั้นเจ๊งหมด อาชีพอะไรที่เสี่ยงถึงขนาดว่ามีโอกาสขาดทุนถึง 80 เปอร์เซนต์ อะ อย่างสมมติแบ่งมาอีก 10 เปอร์เซนต์เป็นเท่าทุน ก็คือหมายความว่า เป็นความเสี่ยงขาดทุน 70 เปอร์เซนต์ มีอาชีพที่ไหนในโลก เขามีแต่ได้ 70 เสี่ยง 30 จริงมั้ย ได้ 70 เสี่ยง 30 บางทีนายทุนมันยังไม่ทำเลย



อาชีพที่มันง่ายที่สุดอย่างที่ทำกันในประเทศไทย มันก็คือขายตรง ผมเคยทำแล้ว สินค้าต้นทุน 10-12 เปอร์เซนต์ กำไร 90 เปอร์เซนต์ เพราะฉะนั้นอาชีพสร้างหนังไม่ใช่อาชีพที่จีรังยั่งยืน แต่ก็สามารถทำให้คุณรวยได้ ถ้าคุณมีอิทธิพลพอ เช่น คุณเป็นเจ้าของโรง คุณมีหนังสต็อคอยู่ในมือมาก คุณจะทำมาค้าขายเกี่ยวกับสินค้าที่คุณมีอยู่ เช่น วิดีโอ หรืออะไรก็ตามที่มันเกี่ยวกับลิขสิทธิ์ต่อเนื่อง มันอยู่ในมือคุณซัก 50 เปอร์เซนต์ ผมก็ต้องไปติดต่อคุณ โรงของผมที่ซึ่งมันมี 20 หรือ 10 เปอร์เซนต์ของตลาด ถ้าผมสั่งให้หนังออกภาคีก็ต้องเอาออก ถ้าผมไม่สั่งให้หนังออกภาคีก็ไม่เอาออก ทั้งที่มันไม่มีคนดู แต่บางทีก็ต้องทำเพราะอะไรรู้เปล่า ต้องพึ่งพากัน มันกลายเป็นหนึ่งในหกของอิทธิพล เหมือนเมเจอร์ต่างประเทศเลย... มีเสือหกตัวนั่นแหละ ประเทศไทยก็แบบนั้น



ผมพูดเลยไปนิด ที่ผมไม่ทำก็เพราะว่า อัตราเสี่ยงมันสูง แล้วก็หนังยุคใหม่นี้ ก็ยอมรับว่าหนังเขามีคุณภาพ แต่สิ่งที่มันไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง คือผมพยายามต่อต้านอยู่เสมอ จนกระทั่งผมถูกเขาต่อว่าต่อขานกันบ่อยๆ  ผมบอกว่าคุณทำหนังต้นทุนสูงเกินไป คุณเป็นแบบอย่างที่มันไม่ถูกต้อง จนจนกระทั่งคนทำหนังอาชีพเนี่ย ทำไม่ได้ ไม่ว่าอาหลอง ไม่ว่าโคลีเซี่ยม ไม่ว่าอะไร มืออาชีพทั้งหมดเนี่ยนะครับ เลิกกันหมด ที่พอประคองอยู่ได้ก็คือไฟว์สตาร์ ไฟว์สตาร์อยู่ทำไม เพราะเขามีกิจการอื่นเสริม เขามีกิจการร่วมค้า อันนี้ไม่เป็นไรนะครับ แต่ถ้าเจ้าอื่นๆ ธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นผมหรือใคร อยู่ไม่ได้ อยู่ไม่ได้ทั้งนั้น ต้องหยุดกิจการ



เหตุที่ต้นทุนหนังมันสูงเนี่ย หนึ่งคุณไปคิดเวลาเป็นมาตรฐานสากลมากเกินไป ทีมงานที่ระดับผู้ที่แบกหาม ไฟก็ดี กล้องก็ดี เนี่ยนะครับ อุปกรณ์เสริมก็ดี คุณไปคิดเช้าถึงหกโมงเย็น หนึ่งคิว หกโมงเย็นถึงสี่ทุ่มหรือหน้าทุ่ม หนึ่งคิว เที่ยงคืนไปถึงตีสาม หนึ่งคิว วันนึงยังไม่ครบยี่สิบสี่ชั่วโมง คุณเจอเข้าไปสามคิว สามคิวเนี่ยระดับคนงาน แรงละ 500 บาท ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท แต่ก่อนค่าแรงขั้นต่ำมันแค่ร้อยกว่าบาทสองร้อยถูกมั้ยครับ อ่ะ เราตีซะ 300 แล้วทำไมต้อง 500 แล้วทำไมจะต้องนับเวลาเป็นอย่างนี้ โอเค คุณนับกลางวัน คุณนับ 8 ชั่วโมง คุณทำงานให้ครบ 8 ชั่วโมงเหมือนฝรั่งสิครับ แล้วคุณถึงจะคิด แต่นัดกองถ่ายคุณ สมมติ 8 โมงเช้าถึง 6 โมงเย็น  8 โมงได้ถ่ายหรือเปล่า ซึ่งคนที่กำหนดระบบคิวขึ้นมาก็คือบริษัทโฆษณา นี่ไง ที่มันทำอย่างนี้ ทำให้พวกเราต้องเลิกทำ คุณทำโฆษณาเนี่คุณทำได้ ชอทคุณสั้นแค่นี้ คุณหนึ่งล้าน สองล้าน สิบล้าน แต่ชอทเรายาวอย่างนี้ เป็นฟุตเตจ มันไม่ได้ เรื่องที่สอง เรื่องการรักษาพยาบาล ไม่ได้เลย เจ็บนิดเจ็บหน่อย ส่งโรงพยาบาล อันที่สาม ทำหนังสมัยก่อน ข้าวหม้อแกงหม้อจริงมั้ย เดี๋ยวนี้กับข้าว 5 อย่าง คุณตายแน่ๆ ช่างกล้องบางคนไม่เหมาเป็นเรื่อง เหมาเป็นค่าแรง มาตรฐานวันละหมื่น คุณถ่ายสามเดือนเจอเข้าไปเป็นล้าน ตายมั้ยครับ อุปกรณ์ค่าเช่ากล้องอีก ถ้าสนิทกันจริงๆ เหมา ไม่สนิทก็เป็นวัน ไม่ถ่ายก็คิดครึ่งนึง ไม่ถ่ายนี่หมายถึงฝนตก แต่ถ้าไม่ถ่ายเพราะขัดข้องในทีมงานนะ คุณต้องจ่ายเต็ม มันไม่ได้หรอกครับ มันหายไปกับสิ่งฟุ่มเฟือย ไม่น้อยกว่า 70 เปอร์เซนต์  ผมก็บอก ภาษาชาวบ้าน ความ Chip-hai ไปมาหาสู่ ไม่ทำละ ไม่ทำ



เฉพาะบริษัทผมทำหนังมา 36 เรื่อง แต่ถ้านับทำร่วมกับภาคีต่างๆ ก็ตก 104 เรื่อง แต่ก่อนทำร่วมกับชรินทร์ โคลีเซี่ยม นะครับ เวลาทำร่วมกันผมจะเป็นผู้บริหารทุน เช่น คุณสิบ คนนี้ยี่สิบ รายได้ทั้งหมดก็จะเอามารวมกัน แล้วจัดสรรกันไป ส่วนฉายช่องเราจะขายเป็นรอบหนึ่ง รอบสอง รอบสาม คิดเป็นรายได้แบ่งกัน ส่วนของผมบางเรื่องผมก็ขายขาด บางเรื่องก็ยังอยู่ ขายขาดนี่หมายถึงขายกัน 90 ปีเลย คือตอนนั้นผมตั้งใจจะเลิก ล้างมือเด็ดขาด มีอะไรก็เททิ้งขาดหมด แต่ที่ยังอยู่มันก็ยังมี แต่อย่าง K3 นักเลงคอมพิวเตอร์ อย่างนี้ พวกนี้เป็นอุปกรณ์ข้างเคียง ใครจะมายุ่งกับผมไม่ได้ ยุ่งก็โดนแน่ เพราะมันไม่ใช่หนัง มันเป็นอุปกรณ์เสริม ไม่มีปัญหา

ถอดบทสัมภาษณ์โดย... แมงกะโปน

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่