[CR] วันฟ้าใส แดดเปรี้ยง กินลมชมวิว ศึกษาประวัติศาสตร์ จ. พระนครศรีอยุธยา

ในใจนั้นผมอยากจะมาเที่ยวที่อยุธยาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เนื่องจากโดยส่วนตัวผมเป็นชอบศึกษาประวัติศาสตร์มาก ยิ่งได้มาเห็นสถานที่จริงๆแล้ว ยิ่งทำให้ผมตื่นเต้นเข้าไปใหญ่ ประกอบกับก่อนหน้านี้ผมได้อ่านรีวิวของพี่ๆน้องที่เคยมาเที่ยวที่อยุธยา โดยเฉพาะการปั่นจักรยานเที่ยวชมรอยเกาะ สิ่งต่างๆเหล่านี้มันทำให้ผมเกิดแรงบันดาลใจอยู่ลึกๆว่า ซักวันต้องไปเยี่ยมเยียนสักครั้งหนึ่ง

และแล้ววันนี้ก็มาถึงครับ พอดีวันที่ผมไป ตรงกับวันหยุดซึ่งก็คือวันวิสาขบูชานั่นเอง ผมเลยได้โอกาสมาซะทีนึง อิอิ(รอวันนี้มานานแล้ว)

แผนการของผมก็คือ ผมจะนั่งรถไฟจากหัวลำโพงเพื่อไปลงที่สถานีอยุธยา เสร็จแล้วผมจะเช่ารถจักรยานปั่นเที่ยวรอบเมืองจนถึงเย็น และเดินทางกลับบ้านโดยรถไฟเหมือนเดิม แผนผมมีแค่นี้จริงๆครับ
      ว่าแล้วก็ไปกันเล้ยยยย...

      วันที่ 1 มิถุนายน 2558 ผมนั่งรถแท็กซี่จากบ้านมาถึงสถานีรถไฟหัวลำโพงประมาณ 04:45 น. เนื่องจากผมตรวจสอบเวลาการเดินรถแล้ว รถไฟจะออกเที่ยวแรกเวลา 05:20 น.
      เวลายังมีเหลือเฟือจึงไม่ต้องรีบร้อนมากนัก ผมค่อยๆเดินไปที่ซื้อตั๋ว เพื่อซื้อตั๋วรถไฟไปอยุธยาขบวนแรก
แต่แล้ว....ทุกอย่างก็เกิดความผิดพลาดขึ้นจนได้ครับ พี่คนขายตั๋วบอกว่า รถไฟขบวนแรกออกไปตั้งแต่ 04:30 แล้วครับ เที่ยวต่อไปจะออกประมาณ 06:40  
      ถึงกับเงิบครับ เพราะเท่ากับว่าผมต้องรออีก 2 ชั่วโมงกว่ารถไฟจะออก (แหกขี้หูขี้ตามาเพื่อ....)
      หลังจากที่ทำใจอยู่สักพัก ก็คิดว่าเราคงกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว เวลาที่เหลือก็เอาเป็นว่าเดินเที่ยวหัวลำโพงก็แล้วกัน 555

      บรรยากาศที่หัวลำโพงช่วงนอกเทศกาล คนน้อยมากครับ  และที่สำคัญข้างในเค้าไม่เปิดแอร์ให้ครับ 555 นี่แหละคือสาเหตุที่ทำให้ผมต้องออกมาเดินเที่ยวข้างนอก อย่างน้อยก็พอมีลมพัดให้ใจเราเย็นขึ้นบ้าง

      เดินเที่ยวได้สักพัก ท้องฟ้าก็เริ่มสว่างแล้วครับ ประกอบกับเจ้าขบวนรถไฟที่ผมจะนั่งไป ดันมาพอดี ผมจึงถ่ายรูปขบวนรถไว้เป็นที่ระทึกซะหน่อย

      ขบวนรถที่ผมจะนั่งเป็นขบวนรถสาย 135 เริ่มต้นตั้งแต่สถานีหัวลำโพง(กรงเทพ) ไปจิดที่สถานีสุดท้ายคือ สถานีอุบลราชธานี
เนื่องจากผมเดินทางไปแค่อยุธยา ทางการรถไฟจึงไม่จัดที่นั่งให้ผมเป็นกิจจะลักษณะครับ ให้ผมนั่งแบบ free style เลย(อยากนั่งไหนก็นั่ง แต่ขอให้อยู่ในส่วนของรถไฟชั้น 3 เป็นพอ) ค่าตั๋วโดยสารก็ตกคนละ 20 บาทเองครับ

      เหลือเวลาอีกไม่เท่าไร รถไฟก็จะออกแล้วครับ ผมเลยรีบขึ้นมาตรวจดูที่นั่งว่า ตรงไหนพอจะว่างบ้าง พอดีสายตาผมเหลือบไปเห็นตู้โบกี้สุดท้ายซึ่งเป็นเบาะอย่างดีใ้ห้กับผู้โดยสาร ประกอบกับตอนนั้นคนน้อยมากครับ ผมจึงเดินไปเลือกที่นั่งเลยครับ ได้ที่นั่งติดริมหน้าต่างพอดี(เผื่อฟลุ๊กได้นั่งยาวไปถึงอยุธยา 555)

และแล้วก็ถึงเวลารถไฟออกจนได้ครับ แต่ก็ยังไม่มีใครมานั่งที่ของผมเลยครับ ดีใจสุดๆ สบายแล้วเรา 555
ยังครับ ยัง..... ยังเหลือปราการด่านสุดท้ายให้เราต้องนั่งลุ้นอีกครับ นั่นก็คือ เจ้าหน้าที่ตรวจตั๋วนั่นเองครับ
"อ้าวน้อง นี่ไม่ใช่ที่ของน้องนะ น้องต้องไปนั่งโบกี้หน้านู่น" กุว่าแล่ว 555 เจ้าหน้าที่ไม่ให้นั่งซะงั้น  ใจจริงผมอยากนั่งที่ตรงนี้มาก เลยเจรจากับพี่เค้าต่อไป "โถ่...พี่ ต้องนี้ยังไม่มีใครมานั่ง ให้ผมนั่งก่อนเหอะ เดี๋ยวพอมีคนมา ผมจะลุกให้นั่ง"
หลังจากที่โต้กันไป โต้กันมา สรุปกันไม่ได้ สุดท้ายผมจึงเป็นฝ่ายแพ้ครับ 5555 (อดนั่งเลยตรู)

สุดท้ายก็กลับมาตายรังกับเบาะไม้ที่แสนจะแข็งเหมือนเดิมครับ ออิ
หัวลำโพง บางซื่อ บางเขน หลักสี่ ดอนเมือง รังสิต บางปะอิน เชียงราก และอยุธยา

ผมเดินทางมาถึงอยุธยาประมาณ 9 โมงครับ ซึ่งตามกำหนดการผมต้องมาถึงที่นี่ 08:25.......เลทไป 45 นาที พอรับได้ครับ
ว่าแล้วก็ไปเปลี่ยนชุด เตรียมตัวปั่นจักรยานเลยดีกว่า

ระหว่างที่ผมเปลี่ยนขุด ผมก็เหลือบไปเห็นอักขระไม่โบราณตรงประตูห้องน้ำ เขียนด้วยหมึกสีแดงแจ๋.....
ใครที่ใส่กางเกงในแล้วยังไม่ซักก็..........เอาไปขายให้พี่เค้าได้นะครับ (ให้เบอร์โทรมาพร้อมซะด้วย ดีออก)

       ร้านเช่าจักรยาน สังเกตง่ายๆเลยครับ อยู่ฝั่งตรงข้ามกับสถานีรถไฟอยุธยา ร้านจะอยู่ข้างในซอยเล็กๆ เข้าไปก็เจอเลยครับ ร้านจะอยู่ทางขวามือ
       อัตราค่าเช่า ถ้าเป็นรถจักรยานก็ตกคันละ 40 บาทครับ หรือถ้าใครกลัวแดด อยากจะถึงที่หมายเร็วๆ ที่ร้านก็มีให้เช่ารถมอเตอร์ไซต์ครับ ตกคันละ 100 บาทพร้อมน้ำมัน
       หลังจากจ่ายตังค์เรียบร้อยแล้ว เราจะได้แผนที่มาคนละ 1 ใบ ในนั้นจะบอกสถานที่เที่ยวสำคัญๆว่าอยู่ตรงส่วนไหน(ส่วนตัวผม ดูไม่รู้เรื่องครับ เอาเป็นว่าดูตามป้ายบอกทางก็แล้วกัน 555)
      
       วันที่ผมไป อากาศร้อนมากครับ แดดเปรี้ยงเลย แนะนำว่าถ้าหากจะปั่นจักรยานให้เตรียมเสื้อที่ใส่แล้วคลุมทั้งแขนและคอก็จะดีมากครับ ส่วนใครกลัวมือดำ ผมแนะนำให้ซื้อถุงมือมาสวมเลยครับ ส่วนกางเกงแนะนำว่าเป็นกางเกงยีน หรือไม่ถ้าอยากปั่นสบายๆจะเป็นกางเกงวอร์มก็ถือว่าเยี่ยมเลยครับ
      
       หลังจากที่คลหาสถานที่เที่ยวอยู่นานโข หลงๆบ้างเลยบ้างตามประสาคนเคยมาครั้งแรก ก็มาถึงวัดมหาธาตุจนได้ครับ
       แนะนำอีกเรื่องนึงครับ การมาเที่ยวสถานที่อย่างนี้ ถ้าหากเราเตรียมหรือศึกษาประวัติแต่ละสถานที่มาดีพอ จะทำให้เราเข้าชมที่สำคัญในแต่ละสถานที่ได้เร็วมากครับ และช่วงระหว่างที่ชม จะทำให้เรารู้สึกอิน และสนุกไปกับสถานที่นั้นๆอีกด้วย ดีกว่าแค่มาถ่ายรูปเฉยๆแล้วก็กลับไปโดยที่ไม่รู้อะไรเลย
      
       กลับเข้าเรื่องกันต่อครับ ที่นี่จะมีที่ให้เราจอดจักรยาน ให้เราเข้ามาข้างในสุดบริเวณที่ขายตั๋วและร้านขายของที่ระลึก จะมีจุดจอดจักรยานให้เราครับ
       ก่อนจะเข้าไปชมความสวยงาม เราต้องเสียค่าธรรมเนียมกันก่อนนะครับ
       ถ้าเป็นคนไทย ก็เสียคนละ 10 บาท เสียครั้งเดียวๆจะเข้ากี่รอบก็ได้ครับแต่ผมไม่แน่ใจว่ามันลิมิตแค่วันนี้วันเดียวหรือว่า 1 สัปดาห์เลยหรือครับ ซึ่งอันนี้ผมก็ไม่แน่ใจครับบ ส่วนถ้าเป็นขาวต่างชาติจะเสียค่าเข้าชมคนละ 50 บาท สิทธิพิเศษก็เหมือนกับคนไทยทุกประการครับ
      
       ว่าแล้วก็ เข้าไปกันเล้ยยยย
      
       ดึงเข้าประวัตินิดนึงครับ
       แต่ก่อนวัดแห่งนี้ตามพระราชพงศาวดารได้บันทึกไว้ว่า ได้ถูกสร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระบรมราชา(ขุนหลวงพ่องั่ว) เมื่อครั้นที่พระองศ์กลับมาจากตีเขมรได้เป็นผลสำเร็จ ต่อมาขุนหลวงพ่องั่วได้เสด็จสวรรคตเสียก่อน สมเด็จพระราเมศวร(พระราชโอรสในสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ปฐมกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรอยุธยา) ได้เสด็จขึ้นเสวยราชย์ต่อจากขุนหลวงพ่องั่ว ทรงเห็นว่าวัดมหาธาตุยังสร้างมิเสร็จสมบูรณ์ จึงมีพระราชคำสั่งให้สร้างจนล้วเสร็จในสมัยพระองศ์

       สถานที่สำคัญ ณ ที่แห่งนี้คงจะหนีไม่พ้นพระปรางค์ประธานขนาดใหญ่และพระพุทธรูปบริเวณด้านหน้าปรางค์ประธาน ซึ่งปัจจุบัน พระปรางค์ประธานได้เกิดการชำรุดทรุดโทรมตั้งแต่สมัยเสียกรุงครั้งที่ 1 แต่ถึงแม้ได้มีการบูรณะในสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง(กษัตริยฺ์อยุธยาพระองศ์หนึ่ง แห่งราชวงศ์ปราสาททอง) โดยพระองศ์ได้ทรงบูรณะพระปรางค์ขึ้นมาใหม่ โดยคราวนี้ทรงสร้างให้พระปรางค์มีขนาดสูงขึ้นกว่าเดิม ก็ยังไม่พ้นที่จะเกิดพงทลายลงมาในสมัยสมด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งยากที่จะบูรณะฟื้นฟูให้กับมาเป็นดังเดิม ทำให้ปรางค์ประธานไม่เหลือสภาพให้เราได้เห็นกันในปัจจุบัน คงเหลือแต่พระพุทธรูปบริเวณด้านหน้าซึ่งแต่เดิมเป็นพระปรางค์ประธานขนาดใหญ่ให้เราได้เยี่ยมขมกัน

        หลังจากที่เดินรอบบริเวณวัด ผมสังเกตเห็นว่ากำแพงวัดไม่ได้มีแค่ด้านนอกแต่อย่างเดียว แต่ภายในวัดนี้จะประกอบไปด้วยกำแพง 3 ชั้นด้วยกัน ซึ่งแต่ละชั้นก็ทำมาจากอิฐและศิลาแลง เรียงต่อกันเป็นชั้นๆ ซึ่งผมดูแล้วก็อดทึ่งในความพยายามและความศรัทธาที่มีต่อพระพุทธศาสนาของคนในสมัยอยุธยาไม่ได้ว่า จริงอยู่ที่ว่าสมัยก่อนไม่มีปูน โครงเหล็กขึ้นรูป และคอนกรีตเหมือนในสมัยนี้ แต่ลองคิดดูนะครับ ในสมัยนั้นกว่าเค้าจะเรียงอิฐมาได้แต่ละขั้นๆจนสร้างเป็นโบราณสถานที่สวยงามให้เราได้เห็นกันจนถึงปัจจุบัน มันต้องใช้ความพยายามและความศรัทธาของชาวอยุธยาที่มีต่อพระพุทธศาสนาแค่ไหน ถือว่าสุดยอดเลยครับ ชูฮกยกนิ้วให้เลย

        มาต่อเรื่องกำแพงวัดครับ
        ชั้นแรกคือชั้นนอกสุด จะเป็นชั้นที่กั้นอาณาเขตวัดมหาธาตุแห่งนี้เอาไว้
        ชั้นที่สองจะเป็นชั้นที่กั้นบริเวณพระอุโบสถและเจดีย์ทรงแปดเหลี่ยม ซึ่งอยู่บริเวณโดยรอบวัดดังกล่าว

         ส่วนชั้นในสุด ชั้นที่สาม จะเป็นชั้นที่กั้นอาณาเขตบริเวณปรางค์ประธานเดิมครับ ซึ่งบริเวณกำแพงจะมีการสร้างพระพุทธรูปโดยรอบ(กี่องศ์ ผมไม่ทราบ) ปัจจุบันพระพุทธรูปได้ถูกตัดเศียรไปทั้งหมด บ้างก็เหลือท่อนล่าง บ้างก็เหลือท่อนบน ให้ราได้เห็นกันในปัจจุบันครับ
         แต่โดยรวมแล้ว ผมว่าถ้าเราอยู่ในสมัยอยุธยา บริเวณนี้คงสวยมากทีเดียวครับ

         ความ unseen ยังไม่หมดเพียงแค่นี้ครับ ยังมีเจดีย์ทรงแปดเหลี่ยม ที่ตั้งอยุ่บริเวณโดยรอบให้เราได้ชมกันอีกครับ  
         ต้องบอกก่อนว่าเจดีย์ลักษณะนี้ถือเป็นศิลปะสมัยอยุธยาตอนต้นโดยเฉพาะเลยนะครับ ซึ่งหลักฐานที่จะเป็นสิ่งย้ำเตือนได้เป็นอย่างดี ก็คงหนีไม่พ้นบริเวณเจดีย์จะมีมุขยื่นออกมาเหมือนหน้าต่าง ซึ่งศิลปะลักษณะนี้ถือเป็นของอยุธยาตอนต้นเช่นเดียวกัน


         ที่สำคัญของที่นี่อีกแห่งหนึ่ง จะเป็นเศียรพระพุทธรูปที่อยู่ในต้นไม้ครับ ซึ่งตามประวัติได้เล่าว่าในสมัยเสียกรุงครั้งที่ 1 ทหารพม่าได้เข้ามาเผาทำลายวัดแห่งนี้ รวมไปถึงขโมยของมีค่าไม่ว่าจะเป็นทองคำที่ห่อหุ้มบริเวณสถานที่ต่างๆภายในวัด และเศียรพระพุทธรูป โดยเชื่อว่าขณะทำการขนย้ายเศียรพระพุทธรูปมีเศียรหนึ่งตกลงมาบนพื้น แต่เนื่องจากในตอนนั้นได้ขนมาเป็นจำนวนมาก ทหารพม่าจึงไม่ทันสังเกตเห็น พอเวลาผ่านไปต้นไทรได้เจริญเติบโต มาคลุมเศียรพระพุทธรูปดังกล่าวให้เราได้เห็นในปัจจุบัน

ชื่อสินค้า:   417 ปีกรุงอโยธยาศรีรามเมพนคร
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่