เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ครั้งแรก ที่ผมจะขอนำมาแชร์นะครับ ผมเรียนอยู่ มหาวิทยาลัยในกรุงเทพและได้มีโอกาสไปออกค่ายอาสา ที่จังหวัดหนึ่งทางภาคเหนือ (ขอไม่บอกสถานที่แล้วกันนะครับ) ค่ายที่เราไปเป็นค่ายของรุ่นพี่ในคณะครับที่จัดกันขึ้นมาเอง และช่วงนั่นเป็นช่วงปิดเทอร์มขึ้นเทอร์มสองในเดือก มกราคม สถานที่ที่เราไป เราจะไปสร้างห้องศูนย์การเรียนรู้ให้กับน้องๆบนโรงเรียนที่นั่น ซึ่งสถานที่นี้ต้องบอกเลยว่ายังขาดแคลนและห่างไกลความเจริญมากๆ ครับ ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ไฟฟ้าก็ยังใช้แผงโซล่าเซลล์ครับ สมาชิกที่ไปกันก็ประมาณสี่สิบคนครับ ส่วนใหญ่จะเป็นรุ่นพี่ใน คณะ ส่วนผมเป็นเด็กสุดในคณะครับ ค่ายเราไปกัน 6 คืน 7 วันครับ นั่งรถไฟไปกันครับ ส่วนพวกของที่ต้องใช้ในการก่อสร้างอาจารย์บนโรงเรียนนั่นก็จัดการให้เรียบร้อยหมดแล้ว เพราะการจะไปสถานที่แห่งนั่นต้องเหมารถสองแถวขึ้นไปกัน ตอนแรกทางบ้านไม่ยอมให้ไปแต่ผมก็ดึงดันที่จะไปให้ได้เพราะอยากลองไปสัมผัสชีวิตแบบนั่นดูบ้างแล้วเราเองก็ชอบแนวๆนี้อยู่แล้ว ก็เลยตัดสินใจไปครับ เรียกได้ว่า พอถึงโรงเรียนบนดอยแห่งนั่นผมนี้อ้วกมาตลอดทางเลยทีเดียว บนดอยแห่งนั่นอากาศดีมากครับ แถมหนาวมากๆๆ ขนาดตอนกลางวันก็ประมาณ 15 องศา กลางคืนนี้ไม่ต้องพูดครับ 4 องศาแค่นั่น ผมนี้ฟินสุดๆ จนมาในวันที่ 3 ปูนกับทรายที่เราต้องใช้เกิดหมด ผมในฐานะรุ่นน้องสุดก็โดนเตะโด่งให้ลงไปยังตัวอำเภอเพื่อไปสั่งของที่ขาดโดยมีรุ่นพี่อีกคนนึงไปเป็นเพื่อนครับ แค่จากบนดอยไปยังตัวอำเภอด้านล่างก็ 4ชั่วโมงแล้วครับ ผมกับรุ่นพี่เลยต้องนั่งรถสองแถวคันๆเก่าประจำหมู่บ้านซึ่งอยู่เลยตัวโรงเรียนขึ้นไปอีก สองกิโลเมตร (รถประจำหมู่บ้านมีแค่สองรอบนะครับ รอบเช้ากับรอบเที่ยง) พอประมาณบ่ายสองกว่าๆ รถสองแถวคันเก่าๆ ก็มาหยุดอยู่ที่ร้านค้าวัสดุก่อสร้างในตัวอำเภอ ผมกับรุ่นพี่จึงสั่งของที่เราจำเป็นต้องใช้ไป เจ้าของร้านจึงเร่งสั่งลูกน้องและหันมาถามผมว่า จะให้ไปส่งที่ไหน พอผมบอกสถานที่ไป เจ้าของร้านกับคนขับรถพูดออกมาเป็นเสียงเดียวกันว่า "ห้ะ!!" และถามย้ำอีกรอบว่า "ที่ไหนน้ะ ถ้าที่นั่นผมไม่ไปหรอกนี้ก็เกือบบ่ายสามแล้ว" ผมได้แต่ยืนเกาหัวพลางคิดในใจ "อ้าวชิบพ้ายแล้ว แล้วกรูจะกลับยังไงว้ะเนี่ยยย" แต่โชคยังดี(หรือป่าวไม่รู้) รุ่นพี่ผมเขาจะให้ค่าจ้างเพิ่มสามเท่า คนขับรถจึงจำใจยอมรับไปส่งเรา
รถบรรทุกสี่ล้อคันไม่ใหญ่มากกำลังวิ่งไต่เนินเขาและขับสลับทางคดเคี้ยวไม่นานหนัก แสงอาทิตย์ก็เริ่มลาลับขอบฟ้า แสงไฟจากหน้ารถตัดกับหมอกที่เริ่มปกคลุม อากาศในตอนนั่นเย็นลงทันที ผมกระชับเสื้อกันหนาวให้แน่นขึ้น ก่อนจะตกเข้าสู่ภวังค์มีเพียงเสียงเครื่องยนต์รอบต่ำที่กำลังทำหน้าที่ของมัน แต่แล้วก็มีเสียงหนึ่งที่คุ้นหูกระซิบผมเบาๆ สมมุติว่าผมชือ นก พี่ผมชื่อ แมว "นก ตื่นๆ พี่ว่า
หลงแล้วป่าววะช่วยกันดูทางหน่อย" ผมเลื่อนเสื้อขึ้นเพื่อมองดูนาฬิกาที่ข้อมือ .. ทุ่มครึ่ง บรรยากาศในตอนนั่นมืดสนิท ผมหันซ้ายมองขวาอยู่สักพัก แต่ 'เห้ย !' นี้มันลูกเขาลูกเดิมที่เราผ่านเมื่อกี้หรือป่าวว้ะ ผมได้แต่คิดในใจ แต่อีกใจก็คิดว่ามันคงไม่น่าใช้อาจจะมืดก็เลยตาฝาด ถ้ามันเลยเนินเขาไปนิดนึงก็ต้องเจอทางแยกที่จะเลี้ยวขวาขึ้นไปบนดอยกับโรงเรียนสิ ผมเริ่มนั่งไม่ติดแล้วครับ ทีนี้แหล้ะครับ พี่คนขับก็เหมือนจะรู้ตั้งแต่ตอนแรกแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเราสามคนหันมามองหน้ากัน โดยพี่คนขับอยู่ทางด้านขวา พ้มนั่งตรงกลาง พี่พ้มนั่งซ้ายสุด ขยับเข้ามาเบียดกันเลยครับในตอนนี้ พี่คนขับถึงกับพูดขึ้นว่า 'นั่นไง โดนเข้าแล้วไหมละกรู ไม่น่าเลย' บรรยากาศในตอนนั่นมันกดดันมากครับ เราก็พยายามที่จะหาทางขึ้นต่อไป แต่หายังไงมันนก็วนกลับมาที่เดิมแล้วก็ไม่มีทางที่จะแยกขึ้นไปครับ ตอนนั่นผมใจเสียมากครับ ยอมรับครับว่ากลัวมากๆ รุ่นพี่ผมนี้ถึงกับน้ำตาไหลเลย จะว่าตาฝาดไหม สามคนเลยนะครับตอนนั่นที่ช่วยกันมองทาง หลงทางไหม ไม่ได้หลงแน่นอนครับเพราะมันนเป็นทางขึ้นเขาลงเขาอย่างเดียวไม่มีทางแยกไหนเลยครับ คือเป็นครั้งแรกครับที่ผมเคยเจอออะไรแบบนี้ซึ่งปกติแล้วผมก็เฉยๆกับเรื่องพวกนี้นะครับ ส่วนพี่คนขับแกก็ตั้งหน้าตั้งตาขับต่อไปครับ แต่ก็ดูออกว่าพี่เขาก็กลัวอยู่ไม่ใช่น้อย ในในผมตอนนั่นคิดถึงแต่บ้าน คิดถึงพ่อแม่ มากครับ แต่มันมีความรู้สึกหนึงที่แว้บเข้ามา คำพูดของยายผมที่ท่านเคยเตือนผมตอนเด็กๆว่า ถ้าเราไปไหนต่างถิ่นต่างที่ก็ให้ยกมือไหว้เสีย ผมเลยพนมมือแล้วอธิษฐานในใจว่า ผมมาทำบุญ ผมมาเพื่อพัฒนาให้โรงเรียนแห่งนี้ ผมไม่ได้มีเจตนาอะไรที่ไม่ดีเลย หากผมทำอะไรล่วงเกินหรือลบหลู่ก็ขอโปรดอโหสิกรรมให้ผมด้วย ขอผลบุญนี้จงถึงแก่ท่าน ผมอธิษฐานในใจวนไปวนมาอยู่หลายรอบ จนในที่สุดครับ พอเราผ่านเนินเขาลูกี่เราวนไปวนมา อยู่เป็นชั่วโมง ทางแยกครับ ทางแยกที่จะขึ้นไปยังโรงเรียนแห่งนี้ (แต่ต้องขึ้นไปอีกประมาณครั่งชั่วโมงนะครับ) คือ มันมาจากไหน มันมาได้ยังไง เราวนมาหลายรอบแต่ก็ไม่เจอ อารมร์ไหนตอนนั่นแบบ เห้ย มันคืออะไร มันเป็นเรื่องที่สำหรับผมมันเกินบรรยายมากครับ มันไม่รู้จะพูดยังไงดี ผมกลับรุ่นพี่นี้หันกลับมากอดกันแน่นเลยครับ ส่วนคนขับรถแกก็ ดีใจจนอุทานออกมาเป็นภาษาเหนือซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าแปลว่าอะไรเหมือนกันครับ กว่าเราจะขึ้นมาถึงโรงเรียนก็เกือบๆสามทุ่มครับ พี่คนขับแกก็เลยนอนอยู่ที่นั่นคืนนึงครับ ส่วนผมนี้ในคืนนั่นนอนไม่หลับเลยครับ เลยเดินออกไปคุยกับพี่คนขับรถ แกก็นั่งผิงไฟอยู่ยังไม่นอนเช่นกัน แกเล่าให้ฟังประมาณว่า "พูดๆก็พูดเลยนะ ที่พวกน้องๆมาเนี้ย แรงมาก เมื่อสามเดือนที่แล้ว มีพวกที่แอบลักลอบขึ้นมาตัดไม้ พอดีพวกชาวบ้านขึ้นไปหาของป่า เจอไอ้พวกนี้ เจ็ดแปดคน นอนชักกันอยู่ บ้างก็โวยวายไม่ได้สติ บ้างก็นั่งก้มหน้าหลับตาเหม่อลอย เจ้าหน้าที่จึงขึ้นมาจับกุมแล้วสอบถามได้ใจความว่า มีกลุ่มนายทุนจ้างให้พวกเขามาตัดไม้เพื่อนำไปขายอะไรทำนองนี้ แต่มันว่า พอตัดได้ตะวันเลยหัว (ประมาณว่าช่วงบ่ายแก่ๆครับ) มันเดินยังไงก็วนกลับมาที่เดิม เดินวนไปวนมา พอตัดดตรงนู้นเสร็จ จะเดินไปตัดอีกที่มันก็เดินวนกลับมาที่เดิมแล้วต้นไม้ที่มันตัดก็ยังอยู่เหมือนเดิมเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นแล้วพอพวกมันหันขึ้นไปดูบนต้นไม้ มันว่า เห็น เป็นคนเป็นร้อยๆๆเลย ยืนอยู่ตามกิ่งไม้ สายตานี้เขียวมาก แขนของพวกนั่น ค่อยลากยาวมาถึงพื้น พอพวกนั่นแสยะยิ้มมาพวกมันว่าก็ไม่ได้สติ ไม่รู้สึกตัวกันแล้ว " รุ่งเช้าพวกรุ่นพี่ของผมพอทราบเรื่องก็จัดการเตรียมหาของเซ่นไหว่กันยกใหญ่ เท่าที่ผมจำได้เราไม่ได้บอกกล่าวให้พวกเขาได้รับรู้ เขาเลยอาจจะคิดว่าเรามาทำอะไรที่ไม่ดี แต่หลังจากนั่นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกเลครับ ทุกอย่างก็ดูราบรื่นไปหมด นี้ก็เป็นประสบการณ์ครั้งแรกที่ผมเจอมากับตัวครับ อาจจะผิดพลาดก็ต้องขอโทษด้วยนะครับ ใครเคยเจออะไรแบบนี้ แชร์ๆ กันมาให้อ่านบ้างนะครับ ขอบคุณทุกคอมเม้นครับ ขอบคุณที่ติดตามครับ ขอบคุณครับ _/\_
ผีบังตาใช่ไหมครับ ? ออกค่ายครั้งแรก บนดอยอันไกลโพ้น
รถบรรทุกสี่ล้อคันไม่ใหญ่มากกำลังวิ่งไต่เนินเขาและขับสลับทางคดเคี้ยวไม่นานหนัก แสงอาทิตย์ก็เริ่มลาลับขอบฟ้า แสงไฟจากหน้ารถตัดกับหมอกที่เริ่มปกคลุม อากาศในตอนนั่นเย็นลงทันที ผมกระชับเสื้อกันหนาวให้แน่นขึ้น ก่อนจะตกเข้าสู่ภวังค์มีเพียงเสียงเครื่องยนต์รอบต่ำที่กำลังทำหน้าที่ของมัน แต่แล้วก็มีเสียงหนึ่งที่คุ้นหูกระซิบผมเบาๆ สมมุติว่าผมชือ นก พี่ผมชื่อ แมว "นก ตื่นๆ พี่ว่าหลงแล้วป่าววะช่วยกันดูทางหน่อย" ผมเลื่อนเสื้อขึ้นเพื่อมองดูนาฬิกาที่ข้อมือ .. ทุ่มครึ่ง บรรยากาศในตอนนั่นมืดสนิท ผมหันซ้ายมองขวาอยู่สักพัก แต่ 'เห้ย !' นี้มันลูกเขาลูกเดิมที่เราผ่านเมื่อกี้หรือป่าวว้ะ ผมได้แต่คิดในใจ แต่อีกใจก็คิดว่ามันคงไม่น่าใช้อาจจะมืดก็เลยตาฝาด ถ้ามันเลยเนินเขาไปนิดนึงก็ต้องเจอทางแยกที่จะเลี้ยวขวาขึ้นไปบนดอยกับโรงเรียนสิ ผมเริ่มนั่งไม่ติดแล้วครับ ทีนี้แหล้ะครับ พี่คนขับก็เหมือนจะรู้ตั้งแต่ตอนแรกแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเราสามคนหันมามองหน้ากัน โดยพี่คนขับอยู่ทางด้านขวา พ้มนั่งตรงกลาง พี่พ้มนั่งซ้ายสุด ขยับเข้ามาเบียดกันเลยครับในตอนนี้ พี่คนขับถึงกับพูดขึ้นว่า 'นั่นไง โดนเข้าแล้วไหมละกรู ไม่น่าเลย' บรรยากาศในตอนนั่นมันกดดันมากครับ เราก็พยายามที่จะหาทางขึ้นต่อไป แต่หายังไงมันนก็วนกลับมาที่เดิมแล้วก็ไม่มีทางที่จะแยกขึ้นไปครับ ตอนนั่นผมใจเสียมากครับ ยอมรับครับว่ากลัวมากๆ รุ่นพี่ผมนี้ถึงกับน้ำตาไหลเลย จะว่าตาฝาดไหม สามคนเลยนะครับตอนนั่นที่ช่วยกันมองทาง หลงทางไหม ไม่ได้หลงแน่นอนครับเพราะมันนเป็นทางขึ้นเขาลงเขาอย่างเดียวไม่มีทางแยกไหนเลยครับ คือเป็นครั้งแรกครับที่ผมเคยเจอออะไรแบบนี้ซึ่งปกติแล้วผมก็เฉยๆกับเรื่องพวกนี้นะครับ ส่วนพี่คนขับแกก็ตั้งหน้าตั้งตาขับต่อไปครับ แต่ก็ดูออกว่าพี่เขาก็กลัวอยู่ไม่ใช่น้อย ในในผมตอนนั่นคิดถึงแต่บ้าน คิดถึงพ่อแม่ มากครับ แต่มันมีความรู้สึกหนึงที่แว้บเข้ามา คำพูดของยายผมที่ท่านเคยเตือนผมตอนเด็กๆว่า ถ้าเราไปไหนต่างถิ่นต่างที่ก็ให้ยกมือไหว้เสีย ผมเลยพนมมือแล้วอธิษฐานในใจว่า ผมมาทำบุญ ผมมาเพื่อพัฒนาให้โรงเรียนแห่งนี้ ผมไม่ได้มีเจตนาอะไรที่ไม่ดีเลย หากผมทำอะไรล่วงเกินหรือลบหลู่ก็ขอโปรดอโหสิกรรมให้ผมด้วย ขอผลบุญนี้จงถึงแก่ท่าน ผมอธิษฐานในใจวนไปวนมาอยู่หลายรอบ จนในที่สุดครับ พอเราผ่านเนินเขาลูกี่เราวนไปวนมา อยู่เป็นชั่วโมง ทางแยกครับ ทางแยกที่จะขึ้นไปยังโรงเรียนแห่งนี้ (แต่ต้องขึ้นไปอีกประมาณครั่งชั่วโมงนะครับ) คือ มันมาจากไหน มันมาได้ยังไง เราวนมาหลายรอบแต่ก็ไม่เจอ อารมร์ไหนตอนนั่นแบบ เห้ย มันคืออะไร มันเป็นเรื่องที่สำหรับผมมันเกินบรรยายมากครับ มันไม่รู้จะพูดยังไงดี ผมกลับรุ่นพี่นี้หันกลับมากอดกันแน่นเลยครับ ส่วนคนขับรถแกก็ ดีใจจนอุทานออกมาเป็นภาษาเหนือซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าแปลว่าอะไรเหมือนกันครับ กว่าเราจะขึ้นมาถึงโรงเรียนก็เกือบๆสามทุ่มครับ พี่คนขับแกก็เลยนอนอยู่ที่นั่นคืนนึงครับ ส่วนผมนี้ในคืนนั่นนอนไม่หลับเลยครับ เลยเดินออกไปคุยกับพี่คนขับรถ แกก็นั่งผิงไฟอยู่ยังไม่นอนเช่นกัน แกเล่าให้ฟังประมาณว่า "พูดๆก็พูดเลยนะ ที่พวกน้องๆมาเนี้ย แรงมาก เมื่อสามเดือนที่แล้ว มีพวกที่แอบลักลอบขึ้นมาตัดไม้ พอดีพวกชาวบ้านขึ้นไปหาของป่า เจอไอ้พวกนี้ เจ็ดแปดคน นอนชักกันอยู่ บ้างก็โวยวายไม่ได้สติ บ้างก็นั่งก้มหน้าหลับตาเหม่อลอย เจ้าหน้าที่จึงขึ้นมาจับกุมแล้วสอบถามได้ใจความว่า มีกลุ่มนายทุนจ้างให้พวกเขามาตัดไม้เพื่อนำไปขายอะไรทำนองนี้ แต่มันว่า พอตัดได้ตะวันเลยหัว (ประมาณว่าช่วงบ่ายแก่ๆครับ) มันเดินยังไงก็วนกลับมาที่เดิม เดินวนไปวนมา พอตัดดตรงนู้นเสร็จ จะเดินไปตัดอีกที่มันก็เดินวนกลับมาที่เดิมแล้วต้นไม้ที่มันตัดก็ยังอยู่เหมือนเดิมเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นแล้วพอพวกมันหันขึ้นไปดูบนต้นไม้ มันว่า เห็น เป็นคนเป็นร้อยๆๆเลย ยืนอยู่ตามกิ่งไม้ สายตานี้เขียวมาก แขนของพวกนั่น ค่อยลากยาวมาถึงพื้น พอพวกนั่นแสยะยิ้มมาพวกมันว่าก็ไม่ได้สติ ไม่รู้สึกตัวกันแล้ว " รุ่งเช้าพวกรุ่นพี่ของผมพอทราบเรื่องก็จัดการเตรียมหาของเซ่นไหว่กันยกใหญ่ เท่าที่ผมจำได้เราไม่ได้บอกกล่าวให้พวกเขาได้รับรู้ เขาเลยอาจจะคิดว่าเรามาทำอะไรที่ไม่ดี แต่หลังจากนั่นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกเลครับ ทุกอย่างก็ดูราบรื่นไปหมด นี้ก็เป็นประสบการณ์ครั้งแรกที่ผมเจอมากับตัวครับ อาจจะผิดพลาดก็ต้องขอโทษด้วยนะครับ ใครเคยเจออะไรแบบนี้ แชร์ๆ กันมาให้อ่านบ้างนะครับ ขอบคุณทุกคอมเม้นครับ ขอบคุณที่ติดตามครับ ขอบคุณครับ _/\_