มาเชียงใหม่คราวนี้ ไม่มีข้าวซอย ไม่มีดอยอินทนน ไม่มีถนนนิมมาน ไม่มีร้านเก๋ๆ
จะมีแต่ช้าง ภูเขา แม่น้ำ ต้นไม้ใบหญ้า
จากกระทู้ที่แล้ว ที่เรามาเล่าเรื่องราวของควาญญี่ปุ่นสุดแซ่บอย่างโมะโตะซัง
แต่วันนี้จะมาเล่าประสบการณ์ของเราที่ได้มีโอกาสไปเป็นควาญช้างมือใหม่ที่ไทยอิแลแฟนท์โฮม ^_^
แคมป์ช้างเล็กๆ ในอำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ขอพูดถึงโครงการที่เรากำลังทำคร่าวๆ คือ การประชาสัมพันธ์ชุมชนการท่องเที่ยวสีเขียว
เพื่อให้คนไทยได้ทำความรู้จักกับชุมชนเล็กๆ ที่มีอยู่ในประเทศไทยอีกมากมาย
ไทยอิแลแฟนท์โฮมก็เป็นหนึ่งในนั้น
โครงการนี้คือ Green Rangers ร่วมกับ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
นอกจากไทยอิแลแฟนท์โฮมยังอีกหลายชุมชน
สามารถเข้าไปดูข้อมูลและรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
http://creativemove.com/greenrangers/community
เอาหล่ะเรามาเริ่มกันเลยดีกว่า
วันนี้เราเลือกการเดินทางโดยรถทัวร์ ลงที่ขนส่งอาเขต นัดแนะกับพี่ที่ไทยอิแลแฟนท์โฮมให้มารับ
แต่ด้วยความเอ๋อเหรอ ลืมของบางอย่างจึงต้องไปหาซื้อที่พันทิพย์เชียงใหม่
จึงได้เจอกับพี่โจ ผู้ดูแลเราตลอดทริปนี้ ที่พันทิพย์
ในที่สุดก็เดินทางมาถึงแล้วววว
พอเก็บของเสร็จ เวลาเหลือน้อยก่อนพระอาทิตย์จะตกดินเราก็ไปขี่ช้างกันนิดหน่อย
แต่ด้วยความที่ไม่เคยขี่ช้างมาก่อน ก็ทำการฝึกกัน
ด้วยการเริ่มจากภาษาช้าง
แม็บลง = นั่งลง
ฮื้อ = ไป
ฮาว = หยุด
จากนั้นก้เริ่มขี่ช้างกันเลย วิธีขี่ช้างสำหรับมือใหม่อย่างคือ
ดึงหูช้าง พร้อมกับพูดว่าแม็บลง ให้พี่ช้างเรานั่งลง จากนั้นเหยียบขาช้างแต่ดันตัวเองขึ้นไป
จัดท่านั่งให้สบายมากที่สุด พยายามให้ตัวเองอยู่ตรงคอช้าง อย่านั่งตรงกระดูกขา เพราะเวลาช้างเดินอาจจะตกได้
อันนี้มิกิซัง นักศึกษาสัตวแพทย์จากประเทศญี่ปุ่นที่มาเรียนรู้วิถีของช้าง เธอมาที่นี่หลายครั้งแล้วว
จากนั้นก็ไปขี่ช้างรอบๆ บ้านแม่ตะมาน
ละแวกแถวนี้ส่วนใหญ่ก็เป็นปางช้าง แคมป์ช้าง มีรีสอร์ท โรงแรม
มีกิจกรรมให้ทำมากมาย ทั้งล่องแพ นั่งเกวียน ขับ ATV
แต่สำหรับไทยอิแลแฟนท์โฮม เป็นแคมป์ช้างเล็กๆ
เริ่มต้นจากคุณลุงเสถียรที่เป็นคนในชุมชน
มองเห็นปัญหาจากการที่ชุมชนเริ่มเป็นสถานที่ท่องเที่ยว
ปางช้างบางแห่งมักจะเอาช้างไปปลูกไว้ในป่า เพื่อให้หากินในป่า ลดต้นทุนของอาหารช้าง
และการเข้ามาของสถานที่เที่ยวมากขึ้น ทำให้ป่าเริ่มถูกทำลาย
คุณลุงเลยเริ่มพูดคุยและรวมตัวกับผู้ประกอบการสถานที่ท่องเที่ยว
ให้เริ่มปลูกป่าต้นน้ำ ที่ห้ามเอาช้างเข้าไปหากิน
ทำให้เห็ด หน่อไม้และพืชพันธุ์ในป่าที่เคยเริ่มหายไปได้กลับมาเป็นป่าที่สมบูรณ์อีกครั้ง
และไทยอิแลแฟนท์โฮม เกิดขึ้นจาก
ช่วงที่คุณลุงได้ทำงานในปางช้างแห่งหนึ่ง
เจอกับนักท่องเที่ยวสาวชาวอเมริกันเป็นนักเขียน
เธอบอกว่า การมาท่องเที่ยวต่างจากที่เธอคาดหวังไว้
เธอนึกว่า เมื่อเธอมาเมืองไทย จะได้ขี่ช้างบนหลังช้าง ไม่ใช่นั่งบนแหย่ง
ได้ใกล้ชิดกับช้าง ได้เข้าไปในป่า ทำกิจกรรมร่วมกับช้าง
ไม่ใช่ดูโชว์ นั่งบนแหย่ง ขี่เกวียน นั่งแพ แล้วกลับ
เธอยังบอกอีกว่า มีคนอีกกลุ่มหนึ่งนะ
ที่ชอบการท่องเที่ยวแบบได้เรียนรู้วิถีชีวิตจริงๆ
คุณลุงจึงเกิดเป็นไอเดีย
การท่องเที่ยวแบบเรียนรู้วิถีชีวิตของควาญช้าง ไทยอิแลแฟนท์โฮมขึ้น
แต่ด้วยเงินทุนที่ไม่มี ประกอบกับมีช้างเพียงหนึ่งเชือก
ทำให้คุณลุงเริ่มต้นแบบไม่หวังเงิน แต่หวังความสุข
ความสุขของช้างเป็นที่ตั้ง ให้คนที่มาเที่ยว พาช้างไปเดินเล่นบนดอย ได้ให้อาหารช้าง
พาช้างไปเล่นน้ำ เล่นโคลน ช้างเองก็ไม่ต้องทำงานหนัก ไม่เหนื่อย
นักท่องเที่ยวก็ได้เรียนรู้วิถีชีวิตของควาญช้างและได้คลุกคลีกับช้างจริงๆ
สิ่งที่ตั้งใจของคุณลุงคือทำยังไงก็ได้ให้นักท่องเที่ยวประทับใจเราให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
โดยตอนนี้ไทยอิแลแฟนท์โฮม เปิดรับนักท่องเที่ยวต่อวันจำกัดเพียงแค่ 12 คน
นักท่องเที่ยวหนึ่งคน ต่อช้างหนึ่งเชือก
เพื่อไม่ให้ช้างต้องแบกรับน้ำหนักมากเกินไป
นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มากกว่า 95 เปอร์เซ็นต์คือชาวต่างชาติ และคนไทยน้อยคนมากที่จะรู้จักที่นี่
ทั้งที่เปิดมาเกือบ 10 ปีแล้ว
บรรยากาศดีดีของบ้านแม่ตะมาน
| พักกาย ผ่อนใจ แปลงร่างเป็นควาญช้างมือใหม่ ใช้ชีวิตท่ามกลางธรรมชาติกัน :-) |
จะมีแต่ช้าง ภูเขา แม่น้ำ ต้นไม้ใบหญ้า
จากกระทู้ที่แล้ว ที่เรามาเล่าเรื่องราวของควาญญี่ปุ่นสุดแซ่บอย่างโมะโตะซัง
แต่วันนี้จะมาเล่าประสบการณ์ของเราที่ได้มีโอกาสไปเป็นควาญช้างมือใหม่ที่ไทยอิแลแฟนท์โฮม ^_^
แคมป์ช้างเล็กๆ ในอำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เอาหล่ะเรามาเริ่มกันเลยดีกว่า
วันนี้เราเลือกการเดินทางโดยรถทัวร์ ลงที่ขนส่งอาเขต นัดแนะกับพี่ที่ไทยอิแลแฟนท์โฮมให้มารับ
แต่ด้วยความเอ๋อเหรอ ลืมของบางอย่างจึงต้องไปหาซื้อที่พันทิพย์เชียงใหม่
จึงได้เจอกับพี่โจ ผู้ดูแลเราตลอดทริปนี้ ที่พันทิพย์
ในที่สุดก็เดินทางมาถึงแล้วววว
พอเก็บของเสร็จ เวลาเหลือน้อยก่อนพระอาทิตย์จะตกดินเราก็ไปขี่ช้างกันนิดหน่อย
แต่ด้วยความที่ไม่เคยขี่ช้างมาก่อน ก็ทำการฝึกกัน
ด้วยการเริ่มจากภาษาช้าง
แม็บลง = นั่งลง
ฮื้อ = ไป
ฮาว = หยุด
จากนั้นก้เริ่มขี่ช้างกันเลย วิธีขี่ช้างสำหรับมือใหม่อย่างคือ
ดึงหูช้าง พร้อมกับพูดว่าแม็บลง ให้พี่ช้างเรานั่งลง จากนั้นเหยียบขาช้างแต่ดันตัวเองขึ้นไป
จัดท่านั่งให้สบายมากที่สุด พยายามให้ตัวเองอยู่ตรงคอช้าง อย่านั่งตรงกระดูกขา เพราะเวลาช้างเดินอาจจะตกได้
อันนี้มิกิซัง นักศึกษาสัตวแพทย์จากประเทศญี่ปุ่นที่มาเรียนรู้วิถีของช้าง เธอมาที่นี่หลายครั้งแล้วว
จากนั้นก็ไปขี่ช้างรอบๆ บ้านแม่ตะมาน
ละแวกแถวนี้ส่วนใหญ่ก็เป็นปางช้าง แคมป์ช้าง มีรีสอร์ท โรงแรม
มีกิจกรรมให้ทำมากมาย ทั้งล่องแพ นั่งเกวียน ขับ ATV
แต่สำหรับไทยอิแลแฟนท์โฮม เป็นแคมป์ช้างเล็กๆ
เริ่มต้นจากคุณลุงเสถียรที่เป็นคนในชุมชน
มองเห็นปัญหาจากการที่ชุมชนเริ่มเป็นสถานที่ท่องเที่ยว
ปางช้างบางแห่งมักจะเอาช้างไปปลูกไว้ในป่า เพื่อให้หากินในป่า ลดต้นทุนของอาหารช้าง
และการเข้ามาของสถานที่เที่ยวมากขึ้น ทำให้ป่าเริ่มถูกทำลาย
คุณลุงเลยเริ่มพูดคุยและรวมตัวกับผู้ประกอบการสถานที่ท่องเที่ยว
ให้เริ่มปลูกป่าต้นน้ำ ที่ห้ามเอาช้างเข้าไปหากิน
ทำให้เห็ด หน่อไม้และพืชพันธุ์ในป่าที่เคยเริ่มหายไปได้กลับมาเป็นป่าที่สมบูรณ์อีกครั้ง
และไทยอิแลแฟนท์โฮม เกิดขึ้นจาก
ช่วงที่คุณลุงได้ทำงานในปางช้างแห่งหนึ่ง
เจอกับนักท่องเที่ยวสาวชาวอเมริกันเป็นนักเขียน
เธอบอกว่า การมาท่องเที่ยวต่างจากที่เธอคาดหวังไว้
เธอนึกว่า เมื่อเธอมาเมืองไทย จะได้ขี่ช้างบนหลังช้าง ไม่ใช่นั่งบนแหย่ง
ได้ใกล้ชิดกับช้าง ได้เข้าไปในป่า ทำกิจกรรมร่วมกับช้าง
ไม่ใช่ดูโชว์ นั่งบนแหย่ง ขี่เกวียน นั่งแพ แล้วกลับ
เธอยังบอกอีกว่า มีคนอีกกลุ่มหนึ่งนะ
ที่ชอบการท่องเที่ยวแบบได้เรียนรู้วิถีชีวิตจริงๆ
คุณลุงจึงเกิดเป็นไอเดีย
การท่องเที่ยวแบบเรียนรู้วิถีชีวิตของควาญช้าง ไทยอิแลแฟนท์โฮมขึ้น
แต่ด้วยเงินทุนที่ไม่มี ประกอบกับมีช้างเพียงหนึ่งเชือก
ทำให้คุณลุงเริ่มต้นแบบไม่หวังเงิน แต่หวังความสุข
ความสุขของช้างเป็นที่ตั้ง ให้คนที่มาเที่ยว พาช้างไปเดินเล่นบนดอย ได้ให้อาหารช้าง
พาช้างไปเล่นน้ำ เล่นโคลน ช้างเองก็ไม่ต้องทำงานหนัก ไม่เหนื่อย
นักท่องเที่ยวก็ได้เรียนรู้วิถีชีวิตของควาญช้างและได้คลุกคลีกับช้างจริงๆ
สิ่งที่ตั้งใจของคุณลุงคือทำยังไงก็ได้ให้นักท่องเที่ยวประทับใจเราให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
โดยตอนนี้ไทยอิแลแฟนท์โฮม เปิดรับนักท่องเที่ยวต่อวันจำกัดเพียงแค่ 12 คน
นักท่องเที่ยวหนึ่งคน ต่อช้างหนึ่งเชือก
เพื่อไม่ให้ช้างต้องแบกรับน้ำหนักมากเกินไป
นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มากกว่า 95 เปอร์เซ็นต์คือชาวต่างชาติ และคนไทยน้อยคนมากที่จะรู้จักที่นี่
ทั้งที่เปิดมาเกือบ 10 ปีแล้ว
บรรยากาศดีดีของบ้านแม่ตะมาน