คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 95
Loser ในความคิดของเรา คือ คนที่ขาดความพยายามอย่างรุนแรง
Loser คือพวกที่เอาแต่โทษดิน โทษฟ้า โทษโชคชะตา โทษคนรอบข้าง
แต่ไม่เคยโทษตัวเอง
Loser คือพวกที่ "มีความสามารถ" แต่ขี้เกียจ ไม่ทำอะไร
มัวแต่รองานที่ฝัน แต่ไม่ยอมหางานที่ฝัน ทั้งที่มีความสามารถเต็มเปี่ยม
Loser คือพวกองุ่นเปรี้ยว ปากว่าตาขยิบ เห็นคนอื่นรวย ได้ดี อยากได้อยากมีอย่างเขา
แต่ทำเป็นพอใจในในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ แล้วไปเหน็บคนที่มีมากกว่าแทน...
อีกอย่างคือ....
คนที่จะเลือกงานได้ ก็ต้องรู้ด้วยนะว่า เราอยากทำอะไร อยากเป็นอะไร
คนที่จะเลือกงานได้ คือ ต้องมีทุนทรัพย์ส่วนตัวพอสมควร ต้องหางานทำ ต้องมีเงินเลี้ยงชีพ
คนที่จะเลือกงานได้ ก็ต้องยอมรับที่ว่าตัวเองจะถูกเลือกเหมือนกัน
Loser คือพวกที่เอาแต่โทษดิน โทษฟ้า โทษโชคชะตา โทษคนรอบข้าง
แต่ไม่เคยโทษตัวเอง
Loser คือพวกที่ "มีความสามารถ" แต่ขี้เกียจ ไม่ทำอะไร
มัวแต่รองานที่ฝัน แต่ไม่ยอมหางานที่ฝัน ทั้งที่มีความสามารถเต็มเปี่ยม
Loser คือพวกองุ่นเปรี้ยว ปากว่าตาขยิบ เห็นคนอื่นรวย ได้ดี อยากได้อยากมีอย่างเขา
แต่ทำเป็นพอใจในในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ แล้วไปเหน็บคนที่มีมากกว่าแทน...
อีกอย่างคือ....
คนที่จะเลือกงานได้ ก็ต้องรู้ด้วยนะว่า เราอยากทำอะไร อยากเป็นอะไร
คนที่จะเลือกงานได้ คือ ต้องมีทุนทรัพย์ส่วนตัวพอสมควร ต้องหางานทำ ต้องมีเงินเลี้ยงชีพ
คนที่จะเลือกงานได้ ก็ต้องยอมรับที่ว่าตัวเองจะถูกเลือกเหมือนกัน
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 7
ต้นทุนชีวิตคนเราไม่เท่ากันค่ะ รุ่นพี่ของคุณท่านนั้นเราเดาว่าเป็นคนมีต้นทุนชีวิตดีคนหนึ่ง แต่สำหรับคนจนๆแล้ว การต่อโทหรือการไปเรียนเพิ่มไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะทุกอย่างต้องใช้เงิน เงินมาจากไหน ก็มาจากการทำงานซึ่งถ้าตอนนั้นศักยภาพยังไม่มากพอก็ต้องทำงานประเภท"ไม่เลือกงาน" พอมีเงินถึงจะไปเพิ่มความสามารถของตัวเองได้
คำกล่าวของรุ่นพี่คุณเราเห็นด้วยนะ เพียงแต่คิดว่าใช้ได้กับคนที่มีต้นทุนชีวิตประมาณหนึ่ง
คำกล่าวของรุ่นพี่คุณเราเห็นด้วยนะ เพียงแต่คิดว่าใช้ได้กับคนที่มีต้นทุนชีวิตประมาณหนึ่ง
ความคิดเห็นที่ 28
ฝากไปถาม รุ่นพี่ คนนั้นว่า
ถ้าพรุ่งนี้ เงินจะแดร๊ก ข้าว ยังไม่มี ... แล้วจะไปพัฒนาศักยภาพให้ตรงกับงานที่ต้องการได้อย่างไร
....
คือ มันต้องไปด้วยกัน พร้อม ๆ กัน
จบมาใหม่ ๆ ... มีงานอะไรก็ทำไปก่อน ... แต่อย่านิ่งนอนใจ ... ต้องรู้จักมองหาโอกาสในชีวิต ... แล้วก็พัฒนาไปสู่จุดนั้น
ไมใช่ จบมา หางานทำไม่ได้ ... หนีไปเรียนต่อ เรียนโท
โทษเหอะ ... ประเทศไทย ตอนนี้ ป.โท เกลื่อนเมือง .... แต่ทำห่าอะไรไม่เป็นซักอย่าง
ถ้าพรุ่งนี้ เงินจะแดร๊ก ข้าว ยังไม่มี ... แล้วจะไปพัฒนาศักยภาพให้ตรงกับงานที่ต้องการได้อย่างไร
....
คือ มันต้องไปด้วยกัน พร้อม ๆ กัน
จบมาใหม่ ๆ ... มีงานอะไรก็ทำไปก่อน ... แต่อย่านิ่งนอนใจ ... ต้องรู้จักมองหาโอกาสในชีวิต ... แล้วก็พัฒนาไปสู่จุดนั้น
ไมใช่ จบมา หางานทำไม่ได้ ... หนีไปเรียนต่อ เรียนโท
โทษเหอะ ... ประเทศไทย ตอนนี้ ป.โท เกลื่อนเมือง .... แต่ทำห่าอะไรไม่เป็นซักอย่าง
ความคิดเห็นที่ 8
เห็นด้วยว่าคนเราต้องพัฒนาความสามารถเพื่อเป็นฝ่ายเลือกงาน แต่ก็ต้องดูเป็นเคสด้วย บางคนพยายามหางานอย่างเต็มความสามารถแล้ว. เรารู้จักคนที่ไม่เลือกงานสองคน. คนแรกฐานะที่บ้านยากจน ทำให้เรียนไม่จบมอหก แต่สู้ชีวิตมาก ไม่เลือกงาน ขอให้เป็นอาชีพสุจริต ขายของในตลาดนัด ไปเป็นลูกมือในบริษัทก่อสร้าง ทำจนรู้งาน รู้ระบบ เลยมาทำเอง กลับไปเมืองไทยครั้งล่าสุด พบว่าเด็กคนนี้มีบ้านสี่หลัง มีรถยนต์สองคัน มีเงินสิบกว่าล้าน ลูกสองคนเป็นเด็กดี เรียนหนังสือเก่งมาก เห็นแล้วอายที่คนเรียนจบมหาวิทยาลัยอย่างเรายังไม่มีปัญญาหาได้ขนาดนั้น
อีกคนมาเรียนมหาวิทยาลัยที่ออสฯ แล้วขอพีอาร์ได้ แต่หางานทำตรงสายไม่ได้ เพราะนายจ้างรับฝรั่งด้วยก่อน ตกงานอยู่เป็นปี ผลสุดท้ายต้องทำงานไม่เลือก ล้างแก้วในบาร์ ส่งจั๊งค์เมลล์ ทำงานฟาร์ม ทำงานในครัว เอาหมดทุกอย่าง ทุกวันนี้มีร้านอาหารของตัวเอง มีบ้านสองหลัง ตอนหลังมีคนมาชวนไปทำงาน พอได้ยินว่าเงินเดือนเท่าไหร่ แกปฏิเสธไป บอกว่าแกขายอาหาร อาทิตย์เดียวก็ได้หมื่นเหรียญแล้ว (สามแสนบาท). เรื่องอะไรจะไปทำงานให้เหนื่อยเพื่อให้คนอื่นรวย
อีกคนมาเรียนมหาวิทยาลัยที่ออสฯ แล้วขอพีอาร์ได้ แต่หางานทำตรงสายไม่ได้ เพราะนายจ้างรับฝรั่งด้วยก่อน ตกงานอยู่เป็นปี ผลสุดท้ายต้องทำงานไม่เลือก ล้างแก้วในบาร์ ส่งจั๊งค์เมลล์ ทำงานฟาร์ม ทำงานในครัว เอาหมดทุกอย่าง ทุกวันนี้มีร้านอาหารของตัวเอง มีบ้านสองหลัง ตอนหลังมีคนมาชวนไปทำงาน พอได้ยินว่าเงินเดือนเท่าไหร่ แกปฏิเสธไป บอกว่าแกขายอาหาร อาทิตย์เดียวก็ได้หมื่นเหรียญแล้ว (สามแสนบาท). เรื่องอะไรจะไปทำงานให้เหนื่อยเพื่อให้คนอื่นรวย
ความคิดเห็นที่ 4
ถ้า backup ดี (เช่นเป็นเด็ก มีทุนในครอบครัว) ยังสำรวจโลกได้เสมอ
แต่ถ้าไม่มี backup พอ (เช่น ถึงจะเป็นเด็ก แต่ไม่มี "ทุน") มันคงไม่ใช่เวลาไปเรียนเพื่อเพิ่ม "ทางเลือก" นะ
ความขยัน (เช่นมีอะไรให้ทำก็ทำไป) เป็นเรื่องที่ทำได้ด้วยตัวเอง ส่วน "โอกาส" มันเป็นส่วนภายนอกที่เราควบคุมไม่ได้ จะหวังไปก็ไม่รู้จะได้รึป่าว
จริงๆ แล้ว จะทำอะไรซักอย่างหรือไม่ทำอะไรเลย มันสำคัญว่าทำเพื่ออะไร
แต่ถ้าไม่มี backup พอ (เช่น ถึงจะเป็นเด็ก แต่ไม่มี "ทุน") มันคงไม่ใช่เวลาไปเรียนเพื่อเพิ่ม "ทางเลือก" นะ
ความขยัน (เช่นมีอะไรให้ทำก็ทำไป) เป็นเรื่องที่ทำได้ด้วยตัวเอง ส่วน "โอกาส" มันเป็นส่วนภายนอกที่เราควบคุมไม่ได้ จะหวังไปก็ไม่รู้จะได้รึป่าว
จริงๆ แล้ว จะทำอะไรซักอย่างหรือไม่ทำอะไรเลย มันสำคัญว่าทำเพื่ออะไร
แสดงความคิดเห็น
"มีงานอะไรก็ทำๆไป อย่าเลือกงาน" = คำพูดของพวก loser
แล้วมีรุ่นพี่คนนึงเขาก็บอก เฮ้ย ว่า "นั่นมันคำพูดของพวกลูสเซอร์" !!!!
เขาก็พูดอธิบายเราว่า คนเราน่ะมีโอกาสจะเลือกงานที่ชอบทั้งนั้น
แต่การจะเลือก "ได้" หรือ "ไม่ได้" มันอยุ่ที่ปัจจัยทั้งภายในและภายนอก
ไม่ว่าจะเรื่องรอจังหวะเวลา รวมถึงปัจจัยสำคัญสุดคือตัวผู้สมัครเอง
ว่ามีความสามารถไหม skill ไปตรงกับ JD ที่เอชอาร์ตั้งมั้ย
ซึ่งถ้าหากขณะนี้ มันยังไม่ตรง ... ก็ไปทำให้มันตรงเสีย อย่าทำตัวแบบสิ้นไร้ไม้ตอก
ออกไปฝึกพิมพ์ดีด ฝึกการพรีเซ้นท์ เรียนภาษาที่สาม ตามที่เขา required ในต.น.นั้นๆ
ไม่ใช่ว่าพอเห็นงานที่อยากทำแล้ว แต่พอตรวจสอบพบว่าตัวเองคุณสมบัติไม่ตรง
ก็ถอดใจ ไม่พัฒนาตนเอง สุดท้ายก็กลายเป็น loser คือต้องได้งานที่เป็นเศษเหลือ
ส่วนใหญ่ก็มักจะ เนื้องานที่คนอื่นเขาไม่อยากทำแต่ตกมาถึงเรา หรือไม่ก็องค์กรห่วยๆ งานจับฉ่าย ระบบไม่ดี
เข้าไปทำวันนึง ๆ เพียงเพื่อรอวันเขียนใบลาออกมา
เรามานั่งคิดดูตามที่พี่คนนี้เขาพูดใ้ห้ฟัง ก็เลยนำมาแชร์ ให้กำลังใจคนที่กำลังเตะฝุ่น มองหางานดีๆ อยู่
แท้จริงแล้ว เรามิใช่ผู้ "ถูกเลือก" แต่เราจะ "ได้เลือก"
สรุปแล้ว ทุกคนมีสิทธิ์เลือกงาน เลือกบริษัท เลือกอาชีพได้
แต่ก็ขึ้นอยู่ที่ต้นทุนที่สะสมมา (+พรสวรรค์) รวมถึง พรแสวง (หา opportunity) ด้วย
แล้วคุณล่ะ คิดอย่างไรกับคำกล่าวยอดฮิตติดปากพวก Loser ที่ว่า "มีอะไรก็ทำๆ ไปเถอะ อย่าเลือกงาน" !?