“เ ค ล วิ น.............เ ค ล วิ น”
เสียงอันแห้งผากและแผ่วเบาของหญิงสาวผู้ไร้ซึ่งตัวตนดังซ่านอยู่ในหัวของเขา
“ใครน่ะ!”เขาตะโกนตอบในจิตสำนึกที่ว่างเปล่า
เคลวินพยายามรวบรวมสติและมองหาที่มาของเสียงนั้นในความืดมิด ความรู้สึกกึ่งหลับกึ่งตื่นทำให้เขาเห็นเพียงภาพเลือนลาง ราวกับมีฝ้าเกาะอยู่เต็มกระจกตาทั้งสองข้าง เขารู้สึกเหมือนโลกที่เขาอยู่ในขณะนี้กำลังโคลงเคลงและสั่นคลอนชวนคลื่นไส้ มันทำให้นึกถึงตอนที่ดื่มไวน์กับนิคไปสองขวด สิ่งที่เห็นคือชั้นของม่านหมอกหนาๆ เขาถูกล้อมรอบด้วยต้นกกสีนำ้ตาลที่รอวันหมดอายุขัยสูงๆหลายต้น เคลวินพยายามเดินฝ่าต้นกกแห้งๆพวกนั้นไปอย่างทุลักทุเลเพื่อหาทางออก ถึงแม้จะไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน หรืออาจจะไม่มีทางออกสำหรับเขาด้วยซ้ำ
“เคลวิน” เสียงเพรียกยังดังไม่หยุด มันดังซ้ำไปมาจนเขารู้สึกสับสน เขารู้สึกถึงการเคลื่อนตัวที่ไม่มีสมดุลของตัวเอง หัวของเขาหนักและหมุนเคว้ง เขาล้มลุกคลุกคลานลงกระแทกกับพื้นแฉะๆอยู่นาน จนในที่สุดมันนำพาเขามาอยู่ในที่แห่งหนึ่ง
กลิ่นสาบโคลนและความชื้นพัดโชยเข้าสู่จมูกของเขา ก่อนที่จะรู้ตัวว่าตอนนี้ ตัวเองยืนอยู่ตรงริมทะเลสาบแห่งหนึ่ง ที่ซึ่งมีหมอกหนาปกคลุมพื้นน้ำไว้ จนเขาไม่แน่ใจว่าจุดสิ้นสุดของมันคือที่ใด เคลวินมองไปรอบๆ ทะเสาบ มันช่างอ้างว้างและโดดเดี่ยว บรรยากาศอันหนาวเหน็บทำให้เขาต้องเอามือมากอดอกไว้ “เคลวิน เคลวิน” เสียงของหญิงสาวยังคงดังเหมือนกระซิบถี่ๆข้างหูเขาไม่หยุดหย่อน เคลวินหมุนรอบตัวเพื่อตามหาเสียงนั้น ก่อนจะสังเกตุเห็นบางกำลังจะโผล่พ้นขึ้นมาจากใต้ทะเลสาปน้ำตรงหน้า
หญิงสาวปริศนาค่อยๆโผล่พ้นจากพื้นนำ้ด้วยร่างกายเปลือยเปล่าเพียงครึ่งตัว เธอมีผมบลอนด์ยาวที่สยายอยู่เบื้องล่างทะเลสาบ มันยาวผิดปกติจนเขารู้สึกขนลุก ผิวของเธอซีดขาวไม่มีเลือดฝาด ราวกับว่าเธอไม่มีเลือดในร่างกายสักหยด เธอมองมาที่เคลวินด้วยนัยน์ตาสีเดียวกับทะเลสาบ มันเป็นสีเทาอมฟ้าแต่ไม่มีประกาย เคลวินรู้สึกเหมือนโดนพันธนาการไว้ด้วยสิ่งที่มองไม่เห็น เขาขยับตัวไปไหนไม่ได้แม้แต่น้อย "ผู้หญิงสีขาว" คือชื่อที่เขาพอจะคิดออกในตอนนี้ เขาจ้องไปยังใบหน้าของเธอที่ขาวเหมือนกระดาษ เธอไม่แสดงสีหน้าใดๆ นอกจากสบตาเขา
“ความรู้สึกหดหู่นี่มันอะไรกัน” เขาถามตัวเองในความคิด
“เคลวิน” เสียงอันแหบแห้งและบางเบาดังขึ้นโดยที่เธอไม่ต้องปริปากแม้แต่น้อย
“ใกล้ถึงเวลา” ตามมาด้วยวลีที่แทบจะจับใจความไม่ได้
ทันใดนั้นเธอกลับยื่นมือซีดๆมาทางเขาและผายมันออก เคลวินไม่อาจหลีกหนีสิ่งที่ต้องเผชิญตรงหน้า เขาไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ขาของเขาค่อยๆก้าวไปข้างหน้าเอง เมื่อเขารู้ตัวอีกทีก็พบว่า ขาข้างหนึ่งของตัวเองจุ่มลงไปในทะเลสาบเสียแล้ว ตัวของเคลวินแข็งทื่อ เขารู้รู้สึกทั้งกลัวและสับสนในเวลาเดียวกัน ตัวเขาสั่นเทิ้มทั้งที่ภายในร่างกายแข็งกร้าวเหมือนกับก้อนหิน
“บ้าจริง”
เคลวินรู้สึกถึงความเย็นของน้ำที่ท่วมมาจนถึงช่วงกลางลำตัว เขาเดินเข้าไปหาหญิงสาวปริศนาที่เปลือยเปล่าอยู่ นิ้วมืออันเย็นยะเยือกดุจน้ำแข็งของเธอค่อยๆ ไล้ไปตามแก้มของเขา เธอใช้แขนทั้งสองข้างโอบกอดเคลวินเข้าอย่างจัง เคลวินได้กลิ่นหอมจากผมเธอ แต่เขาก็รับรู้ได้ถึงสิ่งที่เรียกว่าความกลัวอันสุดขีดเช่นกัน “นี่ชั้นต้องตายแบบนี้จริงหรอ” เขาคิดในใจ “ไม่สิ ฉันต้องไม่ตาย ฉันมีหลายอย่างที่อยากทำ มีแม่ที่ต้องดูแล” ความคิดผุดขึ้นในหัวเป็นร้อยเป็นพัน และขณะเดียวกัน เขาก็กำลังจะจมลงสู่ก้นบึ้งของทะเลสาบในอ้อมกอดของผู้หญิงสีขาว ก่อนที่ทุกอย่างจะจบลง กลับมีบางอย่างสว่างวาบเข้ามาในหัว
“ เคลวิน” มันคือเสียงอันอบอุ่นและนุ่มนวล เสียงที่เขาคุ้นเคย
“เคลวิน เคลวิน เคลวิน “
เขาสะดุ้งตื่นพร้อมกับหายใจเข้าเฮือกใหญ่ เสียงลมที่ผ่านไปยังปอดกระทบเส้นเสียงดังหวีดสูงราวกับเขากลั้นหายใจมานาน
“ โอ้พระเจ้า แม่นึกว่าลูกจะเป็นอะไรไปซะแล้ว”
เสียงนั้นทำให้เขารู้ว่าตัวเองอยู่กับแคโรลีนแม่ของเขา และที่สำคัญกว่านั้นคือเขายังไม่ตาย
เคลวินบีบเปลือกตาแน่น พร้อมกับสะบัดหัว เมื่อลืมตาเขาก็เห็นว่าแม่ของเขานั่งอยู่ข้างเตียง
“แม่ปลุกลูกแต่ไม่ยอมตื่น” เธอกล่าวด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก ผมเผ้าของเธอยุ่งเหยิงเหมือนกับพึ่งลุกจากเตียงไม่มีผิด
“ผมโอเคครับ แค่ฝันร้าย” เขากล่าวทั้งที่ยังงัวเงียอยู่อย่างเห็นได้ชัด
“ดีใจที่ลูกปลอดภัย” แคโรลีนถอนหายใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก เธอตบที่ต้นแขนของลูกชายเบาๆ ก่อนที่จะลุกขึ้นเดินออกไปด้วยท่าเท้าสะเอวข้างเดียว เธอทำท่านั้นประจำเมื่อรู้สึกเหนื่อย
เคลวินนึกถึงสิ่งที่เขาฝันเมื่อครู่ แต่นั่นมันเป็นมากกว่าความฝันสำหรับเขา เพราะมันทั้งสมจริงและทำให้เขารู้สึกได้กว่าครั้งไหนๆ ผู้หญิงสีขาวในทะเลสาบ เป็นความฝันที่แปลกประหลาดที่สุดสำหรับเขาตั้งแต่ลืมตาดูโลกได้สิบแปดปี
“นั่นมันก็แค่ฝัน”
เขาพึมพำด้วยความไม่แน่ใจและรู้สึกถึงเหงือที่ชุ่มตามฝ่ามือ เคลวินดันตัวเองให้ลุกขึ้นจากเตียง และทันใดนั้นเองเขารู้สึกได้ว่าเหยียบเข้ากับบางสิ่งอย่างจัง เขายกฝ่าเท้าข้างหนึ่งขึ้นมาดู และต้องตลึงงันเมื่อพบว่ามีคราบโคลนสีดำติดอยู่เต็มเท้า โคลนแผ่นเหนียวหนึบที่ไม่รู้แหล่งที่มา เป็นไปไม่ได้ที่อยู่ๆจะมีโคลนตรงเท้าขณะที่เขาหลับ
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน” เคลวินเอาเท้ากระแทกพื้นด้วยโทสะ ตอนนี้เขาแค่คิดว่ามีบางอย่างผิดปกติ เคลวินส่ายหัวเหมือนกับไม่ยอมรับกับเรื่องบ้าๆนี่ ช่างหัวโคลน ช่างหัวทะเลสาบสิ เพราะมันไม่มีหลักฐานและความเป็นไปได้ใดๆอยู่เลย
“แพนเค้กมั้ย”
เธอถามลูกชายพลางใช้มือที่จับถ้วยกาแฟเซอรามิกชิ้นโปรด ชี้ไปที่แพนเค้กที่วางอยู่บนโต๊ะในห้องครัว
“ แม่เชื่อเรื่องผีมั้ย” เขาถามแคโรลีนที่ยืนจิบกาแฟ ก่อนที่เธอจะชะงักและวางมันลงข้างๆ
“ ทำไมอยู่ๆถึงถามแม่แบบนี้ล่ะ” เธอถามลูกกลับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ ผมว่า ผมมีอะไรแปลกๆ เกี่ยวกับ.. เอ่อ ไม่รู้สิครับ” เขากล่าวเนิบๆด้วยสีหน้าของผู้ที่กำลังสงสัย
“แต่ ช่างมันเถอะ ผมอาจจะคิดมากไป ขอตัวไปเยี่ยมนิคนะครับ”
เคลวินทิ้งประโยคสุดท้ายก่อนที่เขาจะหยิบแพนเค้กที่อยู่บนจานมาหนึ่งชิ้นและยัดมันเข้าปาก แคโรลีนมองเคลินวินที่กำลังกินอย่างมูมมามพลางส่ายหน้า มือข้างหนึ่งของเธอสั่นเทิ้มอย่างเห็นได้ชัด แคโรลีนกุมมือนั้นไว้ตรงอกแน่น
“ใกล้ถึงเวลาแล้วสินะ ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ พลางมองดูลูกชายที่กำลังเดินพ้นรั้วสีขาวผ่านทางหน้าต่าง เธอรู้สึกถึงความหวาดหวั่นกว่าครั้งไหนๆ
โรงพยาบาลประจำเมืองเป็นโรงพยาบาลขนาดเล็กที่มีประมาณห้าสิบเตียง ขณะนี้นิคนอนอยู่บนเตียงนอนในห้องที่ล้อมรอบด้วยกำแพงสีขาวรวมไปถึงฝ้าเพดาน เขาค่อยๆลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ กะพริบตาถี่เพราะแสงจ้าจากหลอดไฟ ความรู้สึกหนักหัวและมึนไปหมดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน อาการเหล่านี้อาจจะเป็นผลข้างเคียงของการถูกลบความจำ เมื่อนิคลืมตาขึ้น เขาก็พบว่ามีชายแปลกหน้าคนหนึ่งกำลังจ้องมองเขาผ่านทางแว่นตาสีดำ
“ฟื้นแล้วหลอ นิค ทอมสัน” ชายวัยกลางคนถามด้วยน้ำเสียงทุ้มใหญ่
“คุณเป็นใคร” นิคพูดอย่างงงวย
“เจ้าหน้าที่ตำรวจ จะมาสอบถามนายเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น” เขากล่าวพลางเดินเข้ามาหานิคที่เตียง
“นายจำอะไรไม่ได้ใช่มั้ย?” เขาถามนิคด้วยน้ำเสียงทุ่มต่ำที่ดูเหมือนการกดดันเสียมากกว่า
“ ไม่ได้เลย รู้แค่ว่าจะไปหาเคลวิน จากนั้นก็...” นิคตอบด้วยสีหน้าที่กำลังสับสน
“ก็อะไร....” เขาทำเสียงเหมือนขู่
“ ขอโทษครับ แต่ผมจำอะไรไม่ได้เลย” นิคกล่าวพลางมองไปยังเขาด้วยนัยน์ตาที่อ่อนล้า
“ดี” เขาตอบด้วยสีหน้าอมยิ้ม
ก๊อก ก๊อก ...เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองครั้งก่อนที่มันจะเปิดออก พร้อมกับชายหนุ่มผมหยักศกสีน้ำตาลเข้ม
“คุณเป็นใคร” เคลวินถามเขาในชุดเครื่องแบบที่ดูไม่เหมือนของตำรวจเสียทีเดียว
“อ่อ ชั้นมาสอบปากคำน่ะ แต่ไม่มีอะไร นิคแค่เป็นลม ชั้นขอตัวล่ะ” เขาพูดพลางเดินดุ่มๆจะออกจากห้อง
“เดี๋ยว” เคลวินกล่าวกับชายวัยกลางคนที่หนวดเคราขึ้นเฟิ้ม
“คุณชื่ออะไร” เคลวินถามเขา
“ เดี๋ยวนายได้รู้แน่ หนุ่มน้อย” เขาตอบพลางปัดมือเคลวินออกจากลูกบิด
เคลวินมองตามเขาที่เดินไปตามทางเดินของโรงพยาบาลอย่างไม่ละสายตาก่อนที่จะหันมาหานิคที่นอนแอ้งแม้งอยู่
“เฮ้ นายเป็นไง” เขากล่าวพลางเดินไปหานิค
“ก็ไม่แย่เท่าไหร่” นิคตอบเขาด้วยสีหน้าเหมือนอวดดี
“นายไปนอนอยู่ตรงนั้นได้ไง”
“ ไม่รู้สิ รู้แค่จะไปหานาย จากนั้น ก็จำอะไรไม่ได้” นิคตอบพลางขมวดคิ้ว
“ นี่มันแปลกนิค” เคลวินพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังใส่เขา
“ ไม่เอาน่ะเพื่อน ชั้นว่าช่างมันเถอะนะไอ้เกลอ” เขาพูดพลางยิ้ม
“ตามนั้น ดีใจที่เห็นนายโอเคนะเพื่อน” เคลวินกล่าวพร้อมกับยิ้มให้นิค
“นายมีคู่ไปงานพรอมรึยัง” นิคถามเคลวินที่ยืนเอาแขนค้ำเตียงอยู่
“ยังเลย ไม่รู้สึกอยากไปเท่าไหร่” เขาตอบพร้อมกับทำท่าทางเหมือนไม่ได้ใส่ใจ
“ นายไม่รู้อะไร นายมันป๊อป สาวๆอยากไปกับนายเพียบ” นิคกล่าวด้วยน้ำเสียงเร่งเร้าพร้อมชักสีหน้าใส่
“ขอเหอะน่า ขอชั้นคิดดูก่อนได้มั้ย ยังไม่เจอคนที่ถูกใจเลย” เขาตอบพลางยิ้มมุมปาก
“โอเค แต่นายคงไม่รู้อะไร ชั้นมีคู่ไปแล้ว” นิคพูดอย่างเย่อหยิ่ง
“ได้ไง!” เคลวินโพล่งออกมาด้วยสีหน้าตื่นเต้น
“ แต่ชั้นพอจะเดาออกว่าเป็นใคร แม่สาวโซอี้ที่พึ่งย้ายเข้ามาใช่ม๊า นายมันร้าย” เขาพูดเย้ยหยันนิค
“ ชั้นชอบเธอนะ เธอดูมีบางอย่างที่มัน เอ่อ...ประหลาด” นิคพูดประโยคที่ทำให้เคลวินถึงกับหลุดขำออกมา
“ก็เอาเถอะ แต่ชั้นว่าเธอดูเหมือนพวกแม่มดที่ชอบหว่านเสน่ห์ใส่หนุ่มๆ”
เคลวินนึกถึงโซอี้สาวผมดำที่มีหน้าตาสะสวยมีเอกลักษณ์ เธอดูเหมือนพวกสาวๆในนิยายลึกลับมากกว่าสำหรับเขา
“เอาล่ะ ชั้นขอตัวก่อนนิค แค่แวะมาดูว่านายยังเป็นไอ้งั่งนิคคนเก่า” เขาชูกำปั้นขึ้นและยื่นมันเข้าหานิค นิคก็เช่นกัน พวกเขาเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่ที่เคลวินย้ายมาเรียนปีสุดท้ายที่สปริงฟิลด์ ตอนนั้นนิคเป็นแค่ไอ้เฉิ่มที่ไม่มีใครสนใจ แต่เมื่อเขาสนิทกันดูเหมือนนิคจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น จนเป็นที่รู้จักของสาวๆทั้งโรงเรียน
เมื่อเคลวินออกมาพ้นประตู เขาสังเกตุเห็นชายชุดดำคนก่อนหน้ายังคงอยู่ที่หน้าห้อง ชายวัยกลางคนตรงเข้ามาประชิดตัวเขา “นายต้องมากับชั้น” เสียงทุ้มต่ำกระซิบข้างๆเขา ก่อนที่เคลวินจะรู้สึกจุกตรงท้องเหมือนเขาโดนชกเข้าอย่างจัง เขารู้สึกว่าทุกอย่างค่อยๆวูบหายไป ทั้งเพดานสีขาวและทางเดิน กลายเป็นเพียงความมืด ที่ห้อมล้อมตัวเขาไว้โดยปราศจากความรู้สึก
HEART OF FAIRY บทที่3 ความฝัน (นิยายเรื่องแรกฝากติดตามด้วยนะครับ^^)
“เ ค ล วิ น.............เ ค ล วิ น”
เสียงอันแห้งผากและแผ่วเบาของหญิงสาวผู้ไร้ซึ่งตัวตนดังซ่านอยู่ในหัวของเขา
“ใครน่ะ!”เขาตะโกนตอบในจิตสำนึกที่ว่างเปล่า
เคลวินพยายามรวบรวมสติและมองหาที่มาของเสียงนั้นในความืดมิด ความรู้สึกกึ่งหลับกึ่งตื่นทำให้เขาเห็นเพียงภาพเลือนลาง ราวกับมีฝ้าเกาะอยู่เต็มกระจกตาทั้งสองข้าง เขารู้สึกเหมือนโลกที่เขาอยู่ในขณะนี้กำลังโคลงเคลงและสั่นคลอนชวนคลื่นไส้ มันทำให้นึกถึงตอนที่ดื่มไวน์กับนิคไปสองขวด สิ่งที่เห็นคือชั้นของม่านหมอกหนาๆ เขาถูกล้อมรอบด้วยต้นกกสีนำ้ตาลที่รอวันหมดอายุขัยสูงๆหลายต้น เคลวินพยายามเดินฝ่าต้นกกแห้งๆพวกนั้นไปอย่างทุลักทุเลเพื่อหาทางออก ถึงแม้จะไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน หรืออาจจะไม่มีทางออกสำหรับเขาด้วยซ้ำ
“เคลวิน” เสียงเพรียกยังดังไม่หยุด มันดังซ้ำไปมาจนเขารู้สึกสับสน เขารู้สึกถึงการเคลื่อนตัวที่ไม่มีสมดุลของตัวเอง หัวของเขาหนักและหมุนเคว้ง เขาล้มลุกคลุกคลานลงกระแทกกับพื้นแฉะๆอยู่นาน จนในที่สุดมันนำพาเขามาอยู่ในที่แห่งหนึ่ง
กลิ่นสาบโคลนและความชื้นพัดโชยเข้าสู่จมูกของเขา ก่อนที่จะรู้ตัวว่าตอนนี้ ตัวเองยืนอยู่ตรงริมทะเลสาบแห่งหนึ่ง ที่ซึ่งมีหมอกหนาปกคลุมพื้นน้ำไว้ จนเขาไม่แน่ใจว่าจุดสิ้นสุดของมันคือที่ใด เคลวินมองไปรอบๆ ทะเสาบ มันช่างอ้างว้างและโดดเดี่ยว บรรยากาศอันหนาวเหน็บทำให้เขาต้องเอามือมากอดอกไว้ “เคลวิน เคลวิน” เสียงของหญิงสาวยังคงดังเหมือนกระซิบถี่ๆข้างหูเขาไม่หยุดหย่อน เคลวินหมุนรอบตัวเพื่อตามหาเสียงนั้น ก่อนจะสังเกตุเห็นบางกำลังจะโผล่พ้นขึ้นมาจากใต้ทะเลสาปน้ำตรงหน้า
หญิงสาวปริศนาค่อยๆโผล่พ้นจากพื้นนำ้ด้วยร่างกายเปลือยเปล่าเพียงครึ่งตัว เธอมีผมบลอนด์ยาวที่สยายอยู่เบื้องล่างทะเลสาบ มันยาวผิดปกติจนเขารู้สึกขนลุก ผิวของเธอซีดขาวไม่มีเลือดฝาด ราวกับว่าเธอไม่มีเลือดในร่างกายสักหยด เธอมองมาที่เคลวินด้วยนัยน์ตาสีเดียวกับทะเลสาบ มันเป็นสีเทาอมฟ้าแต่ไม่มีประกาย เคลวินรู้สึกเหมือนโดนพันธนาการไว้ด้วยสิ่งที่มองไม่เห็น เขาขยับตัวไปไหนไม่ได้แม้แต่น้อย "ผู้หญิงสีขาว" คือชื่อที่เขาพอจะคิดออกในตอนนี้ เขาจ้องไปยังใบหน้าของเธอที่ขาวเหมือนกระดาษ เธอไม่แสดงสีหน้าใดๆ นอกจากสบตาเขา
“ความรู้สึกหดหู่นี่มันอะไรกัน” เขาถามตัวเองในความคิด
“เคลวิน” เสียงอันแหบแห้งและบางเบาดังขึ้นโดยที่เธอไม่ต้องปริปากแม้แต่น้อย
“ใกล้ถึงเวลา” ตามมาด้วยวลีที่แทบจะจับใจความไม่ได้
ทันใดนั้นเธอกลับยื่นมือซีดๆมาทางเขาและผายมันออก เคลวินไม่อาจหลีกหนีสิ่งที่ต้องเผชิญตรงหน้า เขาไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ขาของเขาค่อยๆก้าวไปข้างหน้าเอง เมื่อเขารู้ตัวอีกทีก็พบว่า ขาข้างหนึ่งของตัวเองจุ่มลงไปในทะเลสาบเสียแล้ว ตัวของเคลวินแข็งทื่อ เขารู้รู้สึกทั้งกลัวและสับสนในเวลาเดียวกัน ตัวเขาสั่นเทิ้มทั้งที่ภายในร่างกายแข็งกร้าวเหมือนกับก้อนหิน
“บ้าจริง”
เคลวินรู้สึกถึงความเย็นของน้ำที่ท่วมมาจนถึงช่วงกลางลำตัว เขาเดินเข้าไปหาหญิงสาวปริศนาที่เปลือยเปล่าอยู่ นิ้วมืออันเย็นยะเยือกดุจน้ำแข็งของเธอค่อยๆ ไล้ไปตามแก้มของเขา เธอใช้แขนทั้งสองข้างโอบกอดเคลวินเข้าอย่างจัง เคลวินได้กลิ่นหอมจากผมเธอ แต่เขาก็รับรู้ได้ถึงสิ่งที่เรียกว่าความกลัวอันสุดขีดเช่นกัน “นี่ชั้นต้องตายแบบนี้จริงหรอ” เขาคิดในใจ “ไม่สิ ฉันต้องไม่ตาย ฉันมีหลายอย่างที่อยากทำ มีแม่ที่ต้องดูแล” ความคิดผุดขึ้นในหัวเป็นร้อยเป็นพัน และขณะเดียวกัน เขาก็กำลังจะจมลงสู่ก้นบึ้งของทะเลสาบในอ้อมกอดของผู้หญิงสีขาว ก่อนที่ทุกอย่างจะจบลง กลับมีบางอย่างสว่างวาบเข้ามาในหัว
“ เคลวิน” มันคือเสียงอันอบอุ่นและนุ่มนวล เสียงที่เขาคุ้นเคย
“เคลวิน เคลวิน เคลวิน “
เขาสะดุ้งตื่นพร้อมกับหายใจเข้าเฮือกใหญ่ เสียงลมที่ผ่านไปยังปอดกระทบเส้นเสียงดังหวีดสูงราวกับเขากลั้นหายใจมานาน
“ โอ้พระเจ้า แม่นึกว่าลูกจะเป็นอะไรไปซะแล้ว”
เสียงนั้นทำให้เขารู้ว่าตัวเองอยู่กับแคโรลีนแม่ของเขา และที่สำคัญกว่านั้นคือเขายังไม่ตาย
เคลวินบีบเปลือกตาแน่น พร้อมกับสะบัดหัว เมื่อลืมตาเขาก็เห็นว่าแม่ของเขานั่งอยู่ข้างเตียง
“แม่ปลุกลูกแต่ไม่ยอมตื่น” เธอกล่าวด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก ผมเผ้าของเธอยุ่งเหยิงเหมือนกับพึ่งลุกจากเตียงไม่มีผิด
“ผมโอเคครับ แค่ฝันร้าย” เขากล่าวทั้งที่ยังงัวเงียอยู่อย่างเห็นได้ชัด
“ดีใจที่ลูกปลอดภัย” แคโรลีนถอนหายใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก เธอตบที่ต้นแขนของลูกชายเบาๆ ก่อนที่จะลุกขึ้นเดินออกไปด้วยท่าเท้าสะเอวข้างเดียว เธอทำท่านั้นประจำเมื่อรู้สึกเหนื่อย
เคลวินนึกถึงสิ่งที่เขาฝันเมื่อครู่ แต่นั่นมันเป็นมากกว่าความฝันสำหรับเขา เพราะมันทั้งสมจริงและทำให้เขารู้สึกได้กว่าครั้งไหนๆ ผู้หญิงสีขาวในทะเลสาบ เป็นความฝันที่แปลกประหลาดที่สุดสำหรับเขาตั้งแต่ลืมตาดูโลกได้สิบแปดปี
“นั่นมันก็แค่ฝัน”
เขาพึมพำด้วยความไม่แน่ใจและรู้สึกถึงเหงือที่ชุ่มตามฝ่ามือ เคลวินดันตัวเองให้ลุกขึ้นจากเตียง และทันใดนั้นเองเขารู้สึกได้ว่าเหยียบเข้ากับบางสิ่งอย่างจัง เขายกฝ่าเท้าข้างหนึ่งขึ้นมาดู และต้องตลึงงันเมื่อพบว่ามีคราบโคลนสีดำติดอยู่เต็มเท้า โคลนแผ่นเหนียวหนึบที่ไม่รู้แหล่งที่มา เป็นไปไม่ได้ที่อยู่ๆจะมีโคลนตรงเท้าขณะที่เขาหลับ
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน” เคลวินเอาเท้ากระแทกพื้นด้วยโทสะ ตอนนี้เขาแค่คิดว่ามีบางอย่างผิดปกติ เคลวินส่ายหัวเหมือนกับไม่ยอมรับกับเรื่องบ้าๆนี่ ช่างหัวโคลน ช่างหัวทะเลสาบสิ เพราะมันไม่มีหลักฐานและความเป็นไปได้ใดๆอยู่เลย
“แพนเค้กมั้ย”
เธอถามลูกชายพลางใช้มือที่จับถ้วยกาแฟเซอรามิกชิ้นโปรด ชี้ไปที่แพนเค้กที่วางอยู่บนโต๊ะในห้องครัว
“ แม่เชื่อเรื่องผีมั้ย” เขาถามแคโรลีนที่ยืนจิบกาแฟ ก่อนที่เธอจะชะงักและวางมันลงข้างๆ
“ ทำไมอยู่ๆถึงถามแม่แบบนี้ล่ะ” เธอถามลูกกลับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ ผมว่า ผมมีอะไรแปลกๆ เกี่ยวกับ.. เอ่อ ไม่รู้สิครับ” เขากล่าวเนิบๆด้วยสีหน้าของผู้ที่กำลังสงสัย
“แต่ ช่างมันเถอะ ผมอาจจะคิดมากไป ขอตัวไปเยี่ยมนิคนะครับ”
เคลวินทิ้งประโยคสุดท้ายก่อนที่เขาจะหยิบแพนเค้กที่อยู่บนจานมาหนึ่งชิ้นและยัดมันเข้าปาก แคโรลีนมองเคลินวินที่กำลังกินอย่างมูมมามพลางส่ายหน้า มือข้างหนึ่งของเธอสั่นเทิ้มอย่างเห็นได้ชัด แคโรลีนกุมมือนั้นไว้ตรงอกแน่น
“ใกล้ถึงเวลาแล้วสินะ ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ พลางมองดูลูกชายที่กำลังเดินพ้นรั้วสีขาวผ่านทางหน้าต่าง เธอรู้สึกถึงความหวาดหวั่นกว่าครั้งไหนๆ
โรงพยาบาลประจำเมืองเป็นโรงพยาบาลขนาดเล็กที่มีประมาณห้าสิบเตียง ขณะนี้นิคนอนอยู่บนเตียงนอนในห้องที่ล้อมรอบด้วยกำแพงสีขาวรวมไปถึงฝ้าเพดาน เขาค่อยๆลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ กะพริบตาถี่เพราะแสงจ้าจากหลอดไฟ ความรู้สึกหนักหัวและมึนไปหมดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน อาการเหล่านี้อาจจะเป็นผลข้างเคียงของการถูกลบความจำ เมื่อนิคลืมตาขึ้น เขาก็พบว่ามีชายแปลกหน้าคนหนึ่งกำลังจ้องมองเขาผ่านทางแว่นตาสีดำ
“ฟื้นแล้วหลอ นิค ทอมสัน” ชายวัยกลางคนถามด้วยน้ำเสียงทุ้มใหญ่
“คุณเป็นใคร” นิคพูดอย่างงงวย
“เจ้าหน้าที่ตำรวจ จะมาสอบถามนายเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น” เขากล่าวพลางเดินเข้ามาหานิคที่เตียง
“นายจำอะไรไม่ได้ใช่มั้ย?” เขาถามนิคด้วยน้ำเสียงทุ่มต่ำที่ดูเหมือนการกดดันเสียมากกว่า
“ ไม่ได้เลย รู้แค่ว่าจะไปหาเคลวิน จากนั้นก็...” นิคตอบด้วยสีหน้าที่กำลังสับสน
“ก็อะไร....” เขาทำเสียงเหมือนขู่
“ ขอโทษครับ แต่ผมจำอะไรไม่ได้เลย” นิคกล่าวพลางมองไปยังเขาด้วยนัยน์ตาที่อ่อนล้า
“ดี” เขาตอบด้วยสีหน้าอมยิ้ม
ก๊อก ก๊อก ...เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองครั้งก่อนที่มันจะเปิดออก พร้อมกับชายหนุ่มผมหยักศกสีน้ำตาลเข้ม
“คุณเป็นใคร” เคลวินถามเขาในชุดเครื่องแบบที่ดูไม่เหมือนของตำรวจเสียทีเดียว
“อ่อ ชั้นมาสอบปากคำน่ะ แต่ไม่มีอะไร นิคแค่เป็นลม ชั้นขอตัวล่ะ” เขาพูดพลางเดินดุ่มๆจะออกจากห้อง
“เดี๋ยว” เคลวินกล่าวกับชายวัยกลางคนที่หนวดเคราขึ้นเฟิ้ม
“คุณชื่ออะไร” เคลวินถามเขา
“ เดี๋ยวนายได้รู้แน่ หนุ่มน้อย” เขาตอบพลางปัดมือเคลวินออกจากลูกบิด
เคลวินมองตามเขาที่เดินไปตามทางเดินของโรงพยาบาลอย่างไม่ละสายตาก่อนที่จะหันมาหานิคที่นอนแอ้งแม้งอยู่
“เฮ้ นายเป็นไง” เขากล่าวพลางเดินไปหานิค
“ก็ไม่แย่เท่าไหร่” นิคตอบเขาด้วยสีหน้าเหมือนอวดดี
“นายไปนอนอยู่ตรงนั้นได้ไง”
“ ไม่รู้สิ รู้แค่จะไปหานาย จากนั้น ก็จำอะไรไม่ได้” นิคตอบพลางขมวดคิ้ว
“ นี่มันแปลกนิค” เคลวินพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังใส่เขา
“ ไม่เอาน่ะเพื่อน ชั้นว่าช่างมันเถอะนะไอ้เกลอ” เขาพูดพลางยิ้ม
“ตามนั้น ดีใจที่เห็นนายโอเคนะเพื่อน” เคลวินกล่าวพร้อมกับยิ้มให้นิค
“นายมีคู่ไปงานพรอมรึยัง” นิคถามเคลวินที่ยืนเอาแขนค้ำเตียงอยู่
“ยังเลย ไม่รู้สึกอยากไปเท่าไหร่” เขาตอบพร้อมกับทำท่าทางเหมือนไม่ได้ใส่ใจ
“ นายไม่รู้อะไร นายมันป๊อป สาวๆอยากไปกับนายเพียบ” นิคกล่าวด้วยน้ำเสียงเร่งเร้าพร้อมชักสีหน้าใส่
“ขอเหอะน่า ขอชั้นคิดดูก่อนได้มั้ย ยังไม่เจอคนที่ถูกใจเลย” เขาตอบพลางยิ้มมุมปาก
“โอเค แต่นายคงไม่รู้อะไร ชั้นมีคู่ไปแล้ว” นิคพูดอย่างเย่อหยิ่ง
“ได้ไง!” เคลวินโพล่งออกมาด้วยสีหน้าตื่นเต้น
“ แต่ชั้นพอจะเดาออกว่าเป็นใคร แม่สาวโซอี้ที่พึ่งย้ายเข้ามาใช่ม๊า นายมันร้าย” เขาพูดเย้ยหยันนิค
“ ชั้นชอบเธอนะ เธอดูมีบางอย่างที่มัน เอ่อ...ประหลาด” นิคพูดประโยคที่ทำให้เคลวินถึงกับหลุดขำออกมา
“ก็เอาเถอะ แต่ชั้นว่าเธอดูเหมือนพวกแม่มดที่ชอบหว่านเสน่ห์ใส่หนุ่มๆ”
เคลวินนึกถึงโซอี้สาวผมดำที่มีหน้าตาสะสวยมีเอกลักษณ์ เธอดูเหมือนพวกสาวๆในนิยายลึกลับมากกว่าสำหรับเขา
“เอาล่ะ ชั้นขอตัวก่อนนิค แค่แวะมาดูว่านายยังเป็นไอ้งั่งนิคคนเก่า” เขาชูกำปั้นขึ้นและยื่นมันเข้าหานิค นิคก็เช่นกัน พวกเขาเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่ที่เคลวินย้ายมาเรียนปีสุดท้ายที่สปริงฟิลด์ ตอนนั้นนิคเป็นแค่ไอ้เฉิ่มที่ไม่มีใครสนใจ แต่เมื่อเขาสนิทกันดูเหมือนนิคจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น จนเป็นที่รู้จักของสาวๆทั้งโรงเรียน
เมื่อเคลวินออกมาพ้นประตู เขาสังเกตุเห็นชายชุดดำคนก่อนหน้ายังคงอยู่ที่หน้าห้อง ชายวัยกลางคนตรงเข้ามาประชิดตัวเขา “นายต้องมากับชั้น” เสียงทุ้มต่ำกระซิบข้างๆเขา ก่อนที่เคลวินจะรู้สึกจุกตรงท้องเหมือนเขาโดนชกเข้าอย่างจัง เขารู้สึกว่าทุกอย่างค่อยๆวูบหายไป ทั้งเพดานสีขาวและทางเดิน กลายเป็นเพียงความมืด ที่ห้อมล้อมตัวเขาไว้โดยปราศจากความรู้สึก