กระบวนการการเจริญสตินั้นยุ่งยากและซับซ้อนเกินไปเพราะสมองเรานั้นถูก install ด้วยกระพี้พุทธนิยายเยอะแยะเต็มไปหมด

สำหรับท่านที่เพื่งเรื่มฝึกการเจริญสติ ท่านจะสังเกตุได้ว่ามันมิใช่เรื่องกล้วยๆเลย

บางท่านก็นั่งสวดมนต์ภาษาที่ตนเองนั้นไม่เข้าใจเลยแม้แต่คำเดียวเป็นระยะเวลานาน
บางท่านต้องจุดธูปจุดเทียน มีพิธีก่อนจะเรื่มการเจริญสติ
บางท่านก็จำเป็นต้องเจริญสติหน้าพระพุทธรูป
บางท่านก็ต้องนุ่งขาวห่มขาวเพื่อจะเข้าสู่การเจริญสติ
บางท่านเจริญสติอยู่ดีๆก็ไปคิดเรื่องผี เรื่องเทวดา เรื่องประสพการณ์การปฏิบัติของพระเกจิอาจารย์ เรื่องชาติก่อนชาติหน้า เรื่องอภินิหาร เรื่องต่างๆนาๆสารพัดเรื่องที่ศาสนาพุทธ (หลังพระพุทธเจ้าละสังขาร) มีให้เราได้เสพกันอย่างสนุก ตื่นเต้น เหลือเชื่อ จนติดฟุ้งไปไกลแบบไม่รู้ตัว (ขอนิยามว่าอาการนี้ว่าพุทธนิยายฟุ้งซ่าน)

กระผมมองว่าหากจับเอาคนสองคน คนหนึ่งเป็นพุทธตามที่ระบุไว้ในบัตรประชาชนส่วนอีกคนเป็นคนไร้ศาสนามานั่งเจริญสติ ก็อาจมีมีแนวโน้มค่อนข้างสูงที่คนไร้ศาสนาจะปฏิบัติไปได้เร็วกว่าอีกคนหนึ่ง

มีหลายวิธีเพื่อจะไปสู่การบรรลุธรรม การกราบไหว้แท่งปูน นุ่งขาวห่มขาว ทำบุญทอดผ้าป่า สวนมนต์ภาษาบาลี อาจเป็นกระบวนการที่ work สำหรับหลายๆคน และแน่นอนการปฏิบัติโดยไม่ทำแบบที่กล่าวมาข้างต้นก็สามารถไปถึงความเข้าใจอันสูงสุดได้เช่นเดียวกัน

อย่าไปยึดติดกระบวนการธรรมเนียมปฏิบัติจนเกินไป ท่านสามารถ tweek ธรรมเนียมประเพณีหรือต่านิยมในการเจริญสติ หรือปฏิบัติแบบนอกตำราก็ได้หากท่านเข้าใจในสิ่งที่กำลังปฏิบัติอยู่จริงๆ

ปัญญาเกิดขึ้นจากการเข้าไปทำความเข้าใจกับสภาวะที่มันกำลังเกิดขึ้นอยู่ ซึ่งเราสามารถไปสู่จุดนั้นได้โดยไม่ต้องไปวัด ไม่ต้องมีพระพุทธรูป ไม่ต้องสวดมนต์ ไม่ต้องกราบไหว้อะไร มีตุ๊กตาโดราเมอนอยู่เป็นเพื่อนก็ได้ ตัดผมทรงโมฮ็อคระเบิดหูก็ได้

วัยรุ่นยุคใหม่สามารถหลุดพ้นจากอวิชชาได้ในไสต์ลง่ายๆตรงๆขอรับ
ไว้จะมาแบ่งปันกับเพื่อนๆใหม่นะขอรับ

ไข่แมว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่