จากคนที่เคยหนัก51กกกลายเป็น59กกเพราะการลดน้ำหนักแบบผิดๆ!!!

สวัสดีค่ะทุกคนนนนนนนยิ้มยิ้มยิ้ม
วันนี้จขกทอยากจะแชร์ประสบการณ์ให้กับคนที่คิดลดน้ำหนักแบบผิดๆ
ซึ่งอยากให้คนที่กำลังกินยาลดน้ำหนักแบบผิดกฎหมายหรือไม่ได้รับอย
ให้เลิกซะเดี๋ยวนี้เลยค่ะ ถึงแม้ว่ามันจะมีราคาถูกแต่ถามว่าคุ้มมั้ย
ที่จะต้องเอาสุขภาพที่ดีไปแลกกับเงินไม่กี่ร้อยบาท ตอบให้เลยไม่คุ้มแน่นอนค่ะ
เรื่องราวต่อไปนี้เป็นประสบการณ์จริง ถ้าหากย้อนกลับไปได้จะไม่แตะยาลดความอ้วนอีกเลย
เพราะในระยะสั้นมันทำให้เราผอมก็จริงแต่ในระยะยาวมันส่งผลต่อหลายๆด้าน
ทั้งเรื่องรูปร่างและระบบภายในร่างกาย อีกทั้งยังทำลายระบบสมองและระบบประสาท
***และที่สำคัญ น้ำหนักเราเด้งจาก51กกเป็น59กก ภายใน1ปี***

ปล.ถ้าจขกทพิมผิดหรือพิมตกหล่นตรงไหนต้องขอโทษมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ พร้อมรับคำติ และคำชม จากทุกๆคนค่ะ

ก่อนอื่นต้องขอเกริ่นก่อนว่า...
จขกทสูง165ซม และมีความฝันที่อยากจะหนักเลขสี่ เหมือนดารา
เราจึงได้มีโอกาสลองทานยาลดความอ้วนครั้งแรก
เมื่อช่วงม.4 (ใช่ค่ะ ตอนนั้นอายุแค่16ปี มันอันตรายมากๆเลยนะค่ะสำหรับ
เด็กวัยศึกษาเล่าเรียน แต่ด้วยความที่ขึ้นมอปลายแล้วเราอยากผอม เลยยอมเสี่ยงค่ะ)
-ตัวแรกที่กิน คือ 2Days Diet กระปุกละ500บาท
-อาการข้างเคียง กินอะไรก็อิ่มเร็ว เบื่ออาหาร ไม่หิวเลย
ทั้งๆที่ปกติจะหิวบ่อยมากกกกกกกกกกกกกก
ตอนนั้นทานไปวันละ2เม็ด 1เดือนน้ำหนักจาก55เหลือ51
ตอนนั้นดีใจมากค่ะ มีแต่เพื่อนทักว่าผอมลง ไปทำไรมา
เราก็ไม่กล้าบอกความจริงกลัวเพื่อนห้าม เลยบอกว่าอดอาหาร
หารู้ไม่พอเราเลิกยา แล้วกลับมากินอาหารเหมือนเดิม
คือพวกเค้ก ของจุกจิก ขนมต่างๆนาๆ
เราก็เลยกลับมาหนักเท่าเดิมอย่างรวดเร็ว

เราจึงต้องพึ่งมันอีกครั้ง...
เรากลับไปกินยาตัวเดิมคือ 2Days Diet
คราวนี้อาการหนักขึ้นกว่าเดิมหน่อย
ด้วยความที่จขกทถือว่าเป็นคนการเรียนดี
เพราะความจำดี หัวไวในระดับนึง
พอกินยานะคะ โดนอาจารย์ถามโจทย์เลขง่ายๆกลับตอบไม่ได้
เพื่อนยังงงแทนเลยค่ะว่าเป็นอะไรทำไมดูเบลอๆ
เราแค่รู้สึกว่าสมองมันตื้อๆรับอะไรหนักๆไม่ได้
แอบปวดหัวนิดๆแต่ก็ไม่กระทบชีวิตประจำวันอะไรมาก
เลยทำให้กินยาไปจนหมดกระปุก หลังจากนั้นก็เหมือนเดิมค่ะ
น้ำหนักกลับมา51-52กก ซึ่งคราวนี้กลายเป็นคนหลงๆลืมๆ
จากที่เคยสมาธิดีๆ ตอนนั้นสมาธิสั้นมาก สมองแทบไม่รับอะไรเลย
เลยคิดนั่นคงเป็นครั้งสุดท้ายของการกินยาลดน้ำหนักแล้วหล่ะ
เพราะก็แอบกลัวeffectมันเหมือนกัน แต่หลังจากปิดเทอมเท่านั้นแหล่ะ
น้ำหนักก็กลับมา54กก เราจึงพยายามลดเองด้วยการ กินน้อยบ้าง
ออกกำลังกายบ้าง แต่พอเพื่อนชวนไปกินเท่านั้นแหล่ะค่ะ ตบะแตกเป็น55กก ทันที

ทำให้เรากลับมาสู่วงจรเดิมๆ
ตอนนั้นเราทานของตัวหนึ่งซึ่งเป็นที่โด่งดังมากในชาวเน็ต
-นั่นคือตัวนี้ค่ะ...."ผงบุก"
ช่วงนั้นจขกทและเพื่อนๆจะสั่งกันเยอะมากเพราะแผงละ100บาทเท่านั้น
-ผลสรุปในการทานนะคะ คือ กินอะไรไม่ค่อยลง น้ำลายเหนียว อิ่มไว
สุดท้ายคือภายในอาทิตย์เดียวน้ำหนักจาก55กกเหลือ53กก

จึงพึ่งยาซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อจะให้ตัวเองกลับมา51กก ไม่ว่าจะเป็น...
-ยาสมุนไพรลดความอ้วนสูตร ม.รังสิต (ตัวนี้ไม่ค่อยลดมากแต่ไร้ผลข้างเคียง)
-sliming diet (ตัวนี้เบลอหนักมาก เลยเลิกกิน)
-me shape (แผงละพันนิดๆช่วยลดแป้งเวลาทานเยอะ เลิกทานเพราะท้องอืดง่าย)
-วิตามินลดน้ำหนัก แคปซูลที่บอกว่าเม็ดละ3บาท (รู้สึกหิวเหมือนเดิมสงสัยจะดื้อยาเลยไม่ลด จึงเลิกไป)
เราเริ่มไม่อยากทานยาแล้วเพราะรู้สึกตัวเองดื้อยาขึ้นเรื่อยๆ
เพราะเวลาเรากินยาพวกนี้มันมีสารกดประสาทที่ทำให้เราไม่หิว อิ่มไว
แต่พอได้รับมากๆร่างกายเริ่มต่อต้านเพราะเราได้รับสารอาหารไม่ครบ
ทำให้เราเบลอ มึน ความจำไม่ดี นอนไม่หลับ สมองช้าขึ้น
สมาธิสั้น ทำอะไรนานๆไม่ค่อยได้ เป็นโรคซึมเศร้า
การเคลื่อนไหวช้าขึ้นเหมือนคนเป็นพาร์กินสัน
เรามารู้ทีหลังว่ายามันทำลายสมองและลามไประบบประสาทค่ะ
ซึ่งอาการเหล่านี้คือผลที่ตามมาในระยะยาวค่ะ จขกทโดนมาหมดแล้ว
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เราหยุดยาพวกนี้เพราะเริ่มกล้วผลข้างเคียง

ฟิตเนสจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง...
เราเลยไปฟิตเนสแทนค่ะ ตอนนั้นเล่นหักโหมมากเพราะอยู่ในช่วงปิดเทอม
เราเล่นเครื่องวิ่ง ปั่นจักรยาน และอีกหลายอย่างเกือบ2ชม
รวมๆก็เผาผลาญไป 300-400แคลอรี่ แต่น้ำหนักก็ไม่ค่อยลดเลยค่ะ
ลดวันละขีดสองขีดไรงี้ พอกินก็กลับมาเท่าเดิม
จึงทนไม่ไหวค่ะเลยออกแบบบ้าพลังไปเลย วันละ800แคลอรี่
แถมอดข้าวเย็น น้ำหนักที่ลดต่อวันที่เกือบโลเลยค่ะ 4วันเหลือ52โลนิดๆ
ตอนนั้นดีใจมากคิดว่าตัวเองค้นพบการออกกำลังกายแบบใหม่
เราจึงทำแบบนี้เรื่อยมาเวลาที่พบว่าตัวเองน้ำหนักขึ้น
หารู้ไม่ที่เสียไปอาจเป็นไขมันก็จริงแต่ที่หายไปก็มีกล้ามเนื้อด้วย
ตอนนั้นเหมือนคนขาดสารอาหารเลยค่ะหน้ามืดง่าย ไม่ค่อยมีแรง
อ่อนเพลีย ง่วงนอนตลอดเวลา ไม่ค่อยไบร์ทเลย
ร่างกายผอมลงก็จริงแต่ดูย้วยๆ ผิวพรรณไม่เปล่งปลั่งเลย
เราจึงไม่อยากออกกำลังกายอีกเลยค่ะเพราะกลัวความรู้สึกเหนื่อยที่ต้องออกหนักน้ำหนักถึงจะลด
หลังจากนั้นจาก52กกก็กลายเป็น57กกแบบไม่ทันตั้งตัวเลยค่ะ
เราก็เลยกลับมาออกกำลังกายหนักๆอีกครั้งเพราะไม่กล้าทานยาอีกแล้ว
จาก57กกกลายเป็น53กกในเวลา5วันก็เหมือนเดิมค่ะ ออกหักโหมมากๆกินน้อยมากๆ
แต่แล้วพอเรากลับมากินเยอะก็หนัก57กกเท่าเดิมอย่างรวดเร็วภายในเวลา1เดือนเท่านั้น
พอเรากลับมาออกหนักๆอีกครั้งสิ่งที่ได้รับคือน้ำหนักไม่ลงเลย ทั้งๆที่ออกหนักมากๆข้าวเย็นก็ไม่แตะ
จนพอกินข้าว3มื้อปกติกลายเป็นว่าน้ำหนักขึ้นเอาๆนั่นก็เพราะระบบเผาผลาญพังค่ะ
การกินยาลดความอ้วนทำให้เราผอมในช่วงเวลาสั้นๆแต่หลังจากนั้นคือผลระยะยาวของมันค่ะนั่นคือ
ร่างกายสูญเสียกล้ามเนื้อไปมากโดยที่เราไม่รับมันเพิ่ม ผลที่ตามมาก็คือกล้ามเนื้อน้อยกว่าไขมัน
และไขมันนั่นแหละค่ะที่ทำให้ร่างกายเราดูย้อยๆไม่กระชับ
ส่วนการที่เราออกกำล้งกายหนักนั่นก็แย่ต่อกล้ามเนื้อมากๆค่ะ เป็นการทำลายกล้ามเนื้อโดยตรงเลยก็ว่าได้
ออกหนักรับโปรตีนน้อย ร่างกายก็จะขาดสารอาหารที่เอาไว้เสริมสร้างและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
ตอนนี้กลายเป็นว่าไม่ว่าเราจะกินน้อยแค่ไหนน้ำหนักก็ไม่ลงแล้วค่ะ
แต่พอทานปกติมีแต่เพิ่มๆๆๆ จากเด็กที่เคยหนัก51กก จึงกลายเป็น59กกเพราะความไม่รู้จักพอ

ดังนั้นสิ่งที่เราต้องการบอกทุกคนก็คือ
1.อย่าอดอาหารแบบหักดิบ
พวกสูตร5วัน5โลไรนั่นล้มเลิกเลยค่ะ
เพราะน้ำหนักที่หายไปนั่นก็คือน้ำและกล้ามเนื้อ ส่วนเจ้าไขมันจะเป็นพลังงานสุดท้ายที่ร่ายกายจะเผาผลาญออก
ถ้าคุณกลับมากินเท่าเดิมน้ำหนักคุณก็เท่าเดิม
2.อย่ากินยาระบาย
อย่างที่บอก ร่างกายจะขับของเสียกับน้ำเท่านั้น น้ำหนักหายไปก็จริงแต่ถ้ากล้บมากินปกติมันก็เท่าเดิมอ่ะคุณ
เพราะที่หายไปก็น้ำล้วนๆ ไม่ใช่ไขมัน!!
3.อย่าออกกำลังกายหักโหมจนลืมโปรตีน
ในวันหนึ่งเราควรจะกินโปรตีนให้เท่าน้ำหนักตัวถึงจะเพียงพอต่อร่างกาย
ยิ่งออกหนักก็ควรรับโปรตีนเบิ้ลไปอีกเพื่อไปบำรุงให้มากกว่าเดิมเพราะร่างกายสูญเสียกล้ามเนื้อจากการออกกำลังกายไปมาก
ดังนั้นอย่าปล่อยให้ร่างกายหักโหมเพราะไม่งั้นแทนที่คุณจะสุขภาพดี จะยิ่งกลายเป็นแย่กว่าเดิม
4.หันมาเวทเทรนนิ่งดีกว่า
การเวทเทรนนิ่งเป็นอีกตัวเลือกที่ดีในการลดความอ้วน เพราะเป็นการเสริมสร้างกล้ามเนื้อและบริหารอย่างตรงจุด
หากเรามีความสม่ำเสมอกับมัน แน่นอนค่ะรูปร่างคุณจะเฟิร์มขึ้นแน่นอน เวทเทรนนิ่งก็คือพวก ซิทอัพ สควอท ไรพวกนั้นค่ะคือการต้านแรงตัวเอง มันจะอาจจะเหนื่อยในช่วงแรกๆนะค่ะ แต่สู้ต่อไปเถ่อะค่ะ ผลลัพธ์จะตามมาแน่นอน
ยิ่งมีกล้ามเนื้อเยอะและเเข็งเเรงมากเท่าไหร่ ไขมันก็จะค่อยๆลดลงอย่างแน่นอนค่ะ
ระบบเผาผลาญก็จะดีขึ้นเพราะกล้ามเนื้อแข็งแรง ดังนั้น กินเยอะเท่าไหร่ก็ไม่อ้วนเพราะระบบเผาผลาญทำงานดี
5.การกินสำคัญที่สุด
อาหารเป็นตัวเลือกที่สำคัญมากในการลดความอ้วน และอาหารที่ควรทานที่สุดในช่วงลดความอ้วนนั่นก็คืออาหารคลีนค่ะ
หรือพวกอาหารที่ไขมันน้อยๆ บางคนบอกว่าวันนี้ทานน้อยแต่ทานมาม่า บอกไว้เลยมาม่ามีไขมันไม่ดี ถ้ากินแล้วใช้น้อย
ร่างกายก็จะสะสมและเก็บไว้ในรูปของไขมัน ดังนั้นควรกินไขมันดีจากถั่ว ข้าว โฮลวีตจะดีกว่าเพราะร่างกายจะสามารถนำไปใช้ได้อย่างเต็มที่
และไขมันดีเหล่านี้ก็จะไปทำลายไขมันเลวด้วยค่ะ
ใช้น้อยกว่าที่กิน=อ้วน
ใช้มากกว่าที่กิน=ผอม
6.หมั่นดูแคลอรี่
เวลาจะทานอาหารควรจะศึกษาแคลอรี่ไว้ให้มาก เลือกที่มีแป้งกับไขมันให้น้อยที่สุด
อย่ากินน้อยกว่าพันแคลนะคะ ไม่งั้นร่างกายจะเคยชินที่จะเผาผลาญอยู่ที่พันแคล
เมื่อคุณกลับมากินเท่าเดิม แล้วเกินพันแคล ส่วนเกินเหล่านั้นจะถูกเก็บไว้ในรูปของไขมัน
เพราะฉะนั้นผญที่จะลดควรอยู่1500แคล แล้วควรจะเน้นที่โปรตีนกับผักเป็นหลัก
อย่าเน้นไขมันกับคาร์โบไฮเดรตมากไม่งั้นถึงให้กินน้อยยังไงคุณก็ไม่ผอมหรอกค่ะ
7.อย่าลดน้ำหนักแต่จงลดความอ้วน
น้ำหนักลดแล้วไงถ้าที่ลดไปดันเป็นกล้ามเนื้อและน้ำในร่างกาย ดังนั้นอย่าสนตาชั่งแต่จงสนรูปร่างแทนค่ะ บางคนน้ำหนักเยอะแต่เพรียว กระชับ
กับอีกคนน้ำหนักน้อยแต่ดูย้วยๆ บวมๆ นั่นแหละจะเป็นตัวชี้วัดว่าใครผอมกว่าใครกันแน่
8.เลิกกินยาลดน้ำหนัก
ถ้าอยากผอมในระยะสั้นๆแต่อ้วนในระยะยาวก็กินไปเลยค่ะ พวกที่กินแล้วไม่หิวก็เพราะมันกดประสาทค่ะคุณ
พวกบล็อคไขมันนั่นก็ทำให้ท้องอืดท้องเฟ้อได้ง่ายเพราะไปบังคับร่างกายให้ผิดปกติ
ดังนั้นหากใครที่อยากผอมระยะยาวสิ่งที่คุณต้องทำก็คือ การกิน และการออกกำลังกายเท่านั้น

สุดท้ายขอขอบคุณคนที่เข้ามาอ่านจนจบนะคะ เราคิดว่าสิ่งที่คุณได้ไปถึงจะไม่ใช่สูตรลดความอ้วนแบบเว็บอื่นๆ
แต่สิ่งที่หลายๆคนได้นั่นคือการเปลี่ยนนิสัยและความคิดต่อการลดความอ้วน
ดังนั้น หมั่นออกกำลังกายเพื่อสร้างกล้ามเนื้อกันเถ่อะเพื่อสุขภาพที่ดีและรูปร่างที่ดี

ปล.ตอนนี้จขกทเลิกยาลดความอ้วนขาดแล้วค่ะ ถึงแม้เราจะอ้วนแค่ไหนเราก็จะคิดว่า
มันคือสิ่งที่เราใจร้อนเลือกเอง เราหันมาออกกำลังกายและลดความอ้วนอย่างจริงจัง
ถึงแม้น้ำหนักจะลงช้าแต่เราเชื่อว่ามันต้องส่งผลดีในระยะยาวกับเราอย่างแน่นอน
ทั้งสุขภาพที่ดี ระบบเผาผลาญที่ดี และที่สำคัญรักตัวเองมากขึ้นด้วยค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่