- เมื่อ Solaris ผลงานของบรมครูหนังปรัชญาอย่างทาร์คอฟสกี้ถูกสร้างขึ้นมา ก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกเปรียบกับงานไซไฟล้ำยุคของคูบริค 2001: A Space Odyssey (1968) ซึ่งตัวทาร์คอฟสกี้เองก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยชอบงานคูบริคเท่าไหร่ เขาเคยให้สัมภาษณ์ว่า “2001” มัน “cold and sterile” เพราะตัวหนังมันพูดเนื้อหาที่สเกลใหญ่ ว่าด้วยการเมืองในยุคสงครามเย็นและการเดินทางที่ผิดพลาดของมนุษยชาติ
-ในขณะที่งานของทาร์คอฟสกี้พูดถึงเรื่องราวที่สุดแสนจะส่วนตัวเช่นเดียว The Mirror (1975) (ผลงานที่ต่อจาก Solaris) อันมีเนื้อหาเกี่ยวกับครอบครัวอันแตกสลายและช่วงวัยที่ยากลำบากระหว่างสงคราม ดังนั้นใน Solaris งานด้านไซไฟอาจจะไม่ตื่นตาเท่ากับคูบริค เพราะเขาต้องการให้เราโฟกัสไปที่แก่นแท้ของหนังมากกว่า
- มันเป็นเรื่องของเคลวิน นักจิตวิทยา (ซึ่งเราว่าคาร์แรกเตอร์นี้ก็คล้ายกับทาร์คอฟสกี้ เพราะเขาก็ทำหนังที่มีธีมในการค้นหาเบื้องลึกของจิตใจ) ที่รับอาสาไปแก้ปัญหา ณ ยานอวกาศที่สำรวจ Solaris ดวงดาวอันห่างไกล ซึ่งหลายปีที่ผ่านมาข้อมูลที่รัฐบาลได้จากการสำรวจก็น้อยนิดและดูจะไม่ก้าวหน้าซักเท่าไหร่ หนึ่งในคนที่เคยไปเล่าถึงประสบการณ์ที่แปลกประหลาด คณะสอบสวนลงความเห็นว่าเขามีอาการหลอนประสาท ซึ่งนั่นยิ่งเพิ่มปริศนาให้กับดาว Solaris
- หนังใช้สีแตกต่างกันไป ภาพสีจะถูกใช้เวลาส่วนใหญ่ของหนัง สีเทาขาว มักใช้ในช่วงเวลาที่เศร้า
- สุนัขและนม ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ใหนังของทาร์คอฟสกี้บ่อยๆ สื่อถึงความสดใสของชีวิต ในหนังจะปรากฎเป็นภาพหลอนของเด็กในยานอวกาศถือแก้วที่มีนม สุนัขก็เคยมีไปปรากฎบนยานเช่นกัน และตอนที่ตัวเอกกลับมาบนโลกก็มีสุนัขวิ่งเข้ามาหาเขา
- หนังยังพูดถึงแม่และภรรยาของเคลวิน ซึ่งในหนังเหมือนจะสื่อวางเป็นคนเดียวกัน แต่บางครั้งก็แยกกัน ดูครุมเครือซึ่งอาจจะเป็นความคิดของทาร์คอฟสกี้เองที่เขามีต่อภรรยาว่าเป็นเหมือนแม่ของเขา เขาเลิกกับภรรยา นี่จึงเป็นการพูดถึงความผิดของตนเองที่มีต่อภรรยา (ภรรยาใหม่ก็ช่วยทำหนังเรื่องนี้) ส่วนแนวคิดเรื่องแม่ต้องต่อสู้ชีวิตเพียงลำพังนั้นถูกพัฒนาต่อใน The Mirror (1975) ส่วนใน Solaris จะมีเนื้อหาส่วนใหญ่เกี่ยวกับภรรยาและพ่อ
- ภาพวาดของ Brueghel ศิลปินในยุคเรเนซองส์ของเนเธอร์แลนด์ ที่เขามักวาดภาพวนเวียนอยู่กับเรื่องฤดูกาลเก็บเกี่ยว และชีวิตในชนบท ซึ่งทาร์คอฟสกี้เขาก็ชอบความเงียบสงบของชนบท ภาพวาดที่ปรากฎในหนังก็จะมีธีมถึงชีวิตที่ผ่านเลยไป และชีวิตในวัยเด็กที่ครั้งหนึ่งครอบครัวเคยอยู่กันพร้อมหน้า (เคลวินเอาคลิปวิดิโอที่เขาใช้เวลาอย่างมีความสุขกับพ่อแม่ตอนเด็กในฤดูหนาว)
- The Hunters in the Snow (1565) เป็นภาพที่ปรากฎเป็นเหล่านักล่าสัตว์ที่กลับมาจากป่า แต่ดูเมหือนพวกเขาจะไม่ได้ของติดไม้ติดมือกลับมา กำลังมุ่งหน้าสู่หมู่บ้านซึ่งน่าจะเป็นชุมชนของพวกเขา ที่นั่นมีเด็กออกมาวิ่งเล่นกันกลางแจ้งในวันที่ท้องฟ้าสดใสไร้เมฆ ซึ่งสอดคล้องกับตอนสุดท้ายที่เคลวินกับไปหาพ่อแล้วคุกเข่าต่อหน้าพ่อราวกับขอโทษกับพฤติกรรมของตนเองที่ผ่านมา เหมือนกับภาพ The Return of the Prodigal Son (1669) ของ Rembrandt ทาร์คอฟสกี้ขาดพ่อตั้งแต่วัยเด็ก (พ่อเขาอาสาไปเป็นทหาร) เขาอาจจะรู้สึกเคียดแค้นพ่อที่ปล่อยให้ครอบครัวเผชิญความลำบาก และขณะเดียวกันก็อยากขอโทษและให้อภัยกับพ่อ (ในหนังมักใช้ฝนหรือน้ำสื่อถึงการสำระล้างบาดแผลในจิตใจ)
- เราอาจตีความพ่อหมายถึงพระเจ้าหรือความบริสุทธิ์ ภาพวาด Landscape with the Fall of Icarus ที่ปรากฎในหนังก็สื่อถึงลูกที่ไม่เชื่อฟังคำสั่งสอนของพ่อ Icarus แอบเอาเครื่องร่อนของพ่อมาเล่นต่อมาโดนแสงแดดเผาบริเวณปีของเครื่องร่อน ทำให้เขาตกลงไปในทะเลและจมน้ำ อาจสื่อไปถึงการพยายามแข่งสร้างยานอวกาศของรัสเซียกับอเมริกาก็เป็นได้
- ท้ายที่สุด Solaris อาจไม่ได้อยู่ไกลโพ้น แต่อาจสื่อถึงจิตใต้สำนึกของเคลวินเอง ความทรงจำอันเจ็บปวดของเขากัดกร่อนจิตใจเขาอยู่ตลอด (ตอนอยู่บนโลกเคลวินมีบุคคลิกก้าวร้าว) การเดินทางไป Solaris อาจหมายถึงการกลับไปสะสางปมในจิตใจ อนึ่งนี่ก็คือการระบายความอัดอั้นของทาร์คอฟสกี้นั่นเอง
ร่วมพูดคุยเกี่ยวกับภาพยนตร์ทางเฟสได้เลยน่ะครับ
https://www.facebook.com/survival.king
Tempy Movies Review รีวิวหนัง: Solaris {Andrei Tarkovsky} [Soviet Union], 1972
- เมื่อ Solaris ผลงานของบรมครูหนังปรัชญาอย่างทาร์คอฟสกี้ถูกสร้างขึ้นมา ก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกเปรียบกับงานไซไฟล้ำยุคของคูบริค 2001: A Space Odyssey (1968) ซึ่งตัวทาร์คอฟสกี้เองก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยชอบงานคูบริคเท่าไหร่ เขาเคยให้สัมภาษณ์ว่า “2001” มัน “cold and sterile” เพราะตัวหนังมันพูดเนื้อหาที่สเกลใหญ่ ว่าด้วยการเมืองในยุคสงครามเย็นและการเดินทางที่ผิดพลาดของมนุษยชาติ
-ในขณะที่งานของทาร์คอฟสกี้พูดถึงเรื่องราวที่สุดแสนจะส่วนตัวเช่นเดียว The Mirror (1975) (ผลงานที่ต่อจาก Solaris) อันมีเนื้อหาเกี่ยวกับครอบครัวอันแตกสลายและช่วงวัยที่ยากลำบากระหว่างสงคราม ดังนั้นใน Solaris งานด้านไซไฟอาจจะไม่ตื่นตาเท่ากับคูบริค เพราะเขาต้องการให้เราโฟกัสไปที่แก่นแท้ของหนังมากกว่า
- มันเป็นเรื่องของเคลวิน นักจิตวิทยา (ซึ่งเราว่าคาร์แรกเตอร์นี้ก็คล้ายกับทาร์คอฟสกี้ เพราะเขาก็ทำหนังที่มีธีมในการค้นหาเบื้องลึกของจิตใจ) ที่รับอาสาไปแก้ปัญหา ณ ยานอวกาศที่สำรวจ Solaris ดวงดาวอันห่างไกล ซึ่งหลายปีที่ผ่านมาข้อมูลที่รัฐบาลได้จากการสำรวจก็น้อยนิดและดูจะไม่ก้าวหน้าซักเท่าไหร่ หนึ่งในคนที่เคยไปเล่าถึงประสบการณ์ที่แปลกประหลาด คณะสอบสวนลงความเห็นว่าเขามีอาการหลอนประสาท ซึ่งนั่นยิ่งเพิ่มปริศนาให้กับดาว Solaris
- หนังใช้สีแตกต่างกันไป ภาพสีจะถูกใช้เวลาส่วนใหญ่ของหนัง สีเทาขาว มักใช้ในช่วงเวลาที่เศร้า
- สุนัขและนม ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ใหนังของทาร์คอฟสกี้บ่อยๆ สื่อถึงความสดใสของชีวิต ในหนังจะปรากฎเป็นภาพหลอนของเด็กในยานอวกาศถือแก้วที่มีนม สุนัขก็เคยมีไปปรากฎบนยานเช่นกัน และตอนที่ตัวเอกกลับมาบนโลกก็มีสุนัขวิ่งเข้ามาหาเขา
- หนังยังพูดถึงแม่และภรรยาของเคลวิน ซึ่งในหนังเหมือนจะสื่อวางเป็นคนเดียวกัน แต่บางครั้งก็แยกกัน ดูครุมเครือซึ่งอาจจะเป็นความคิดของทาร์คอฟสกี้เองที่เขามีต่อภรรยาว่าเป็นเหมือนแม่ของเขา เขาเลิกกับภรรยา นี่จึงเป็นการพูดถึงความผิดของตนเองที่มีต่อภรรยา (ภรรยาใหม่ก็ช่วยทำหนังเรื่องนี้) ส่วนแนวคิดเรื่องแม่ต้องต่อสู้ชีวิตเพียงลำพังนั้นถูกพัฒนาต่อใน The Mirror (1975) ส่วนใน Solaris จะมีเนื้อหาส่วนใหญ่เกี่ยวกับภรรยาและพ่อ
- ภาพวาดของ Brueghel ศิลปินในยุคเรเนซองส์ของเนเธอร์แลนด์ ที่เขามักวาดภาพวนเวียนอยู่กับเรื่องฤดูกาลเก็บเกี่ยว และชีวิตในชนบท ซึ่งทาร์คอฟสกี้เขาก็ชอบความเงียบสงบของชนบท ภาพวาดที่ปรากฎในหนังก็จะมีธีมถึงชีวิตที่ผ่านเลยไป และชีวิตในวัยเด็กที่ครั้งหนึ่งครอบครัวเคยอยู่กันพร้อมหน้า (เคลวินเอาคลิปวิดิโอที่เขาใช้เวลาอย่างมีความสุขกับพ่อแม่ตอนเด็กในฤดูหนาว)
- The Hunters in the Snow (1565) เป็นภาพที่ปรากฎเป็นเหล่านักล่าสัตว์ที่กลับมาจากป่า แต่ดูเมหือนพวกเขาจะไม่ได้ของติดไม้ติดมือกลับมา กำลังมุ่งหน้าสู่หมู่บ้านซึ่งน่าจะเป็นชุมชนของพวกเขา ที่นั่นมีเด็กออกมาวิ่งเล่นกันกลางแจ้งในวันที่ท้องฟ้าสดใสไร้เมฆ ซึ่งสอดคล้องกับตอนสุดท้ายที่เคลวินกับไปหาพ่อแล้วคุกเข่าต่อหน้าพ่อราวกับขอโทษกับพฤติกรรมของตนเองที่ผ่านมา เหมือนกับภาพ The Return of the Prodigal Son (1669) ของ Rembrandt ทาร์คอฟสกี้ขาดพ่อตั้งแต่วัยเด็ก (พ่อเขาอาสาไปเป็นทหาร) เขาอาจจะรู้สึกเคียดแค้นพ่อที่ปล่อยให้ครอบครัวเผชิญความลำบาก และขณะเดียวกันก็อยากขอโทษและให้อภัยกับพ่อ (ในหนังมักใช้ฝนหรือน้ำสื่อถึงการสำระล้างบาดแผลในจิตใจ)
- เราอาจตีความพ่อหมายถึงพระเจ้าหรือความบริสุทธิ์ ภาพวาด Landscape with the Fall of Icarus ที่ปรากฎในหนังก็สื่อถึงลูกที่ไม่เชื่อฟังคำสั่งสอนของพ่อ Icarus แอบเอาเครื่องร่อนของพ่อมาเล่นต่อมาโดนแสงแดดเผาบริเวณปีของเครื่องร่อน ทำให้เขาตกลงไปในทะเลและจมน้ำ อาจสื่อไปถึงการพยายามแข่งสร้างยานอวกาศของรัสเซียกับอเมริกาก็เป็นได้
- ท้ายที่สุด Solaris อาจไม่ได้อยู่ไกลโพ้น แต่อาจสื่อถึงจิตใต้สำนึกของเคลวินเอง ความทรงจำอันเจ็บปวดของเขากัดกร่อนจิตใจเขาอยู่ตลอด (ตอนอยู่บนโลกเคลวินมีบุคคลิกก้าวร้าว) การเดินทางไป Solaris อาจหมายถึงการกลับไปสะสางปมในจิตใจ อนึ่งนี่ก็คือการระบายความอัดอั้นของทาร์คอฟสกี้นั่นเอง
ร่วมพูดคุยเกี่ยวกับภาพยนตร์ทางเฟสได้เลยน่ะครับ https://www.facebook.com/survival.king