คือว่า ดิฉันได้ไปกู้เงินกับธนาคารแห่งหนึ่ง เพิ่อมาทำธุรกิจค่ะ เป็นสินเชื่อsme ขนาดย่อย โดยเอาบ้านและที่ดินที่อยู่อาศัยนั้นเป็นที่จดจำนองค่ะ โดยกู้เงินทั้งหมดดังนี้ คือ เงินกู้500000 เงินโอดี 280000 รวมเงินกู้ทั้งหมด 3300000 บาทค่ะ แล้วก็จะมีพวกประกันที่ธนาคารให้ทำอีกย่อยๆ อีก 3บัญชีอีกประมาน แสนกว่าๆค่ะ และทีนี้เมื่อปลายปีที่แล้วธุรกิจดิฉันเริ่มมีปัญหาหมุนเงินไม่ทันค่ะ เลยทำให้ขาดสภาพคล่องในการหมุนเงินใส่โอดีค่ะ (ดอกเบี้ยเงินกู้และดอกเบี้ยโอดีจะหักในยอดโอดีอัตโนมัตค่ะ) ช่วงปลายปีที่แล้วดิฉันได้ค้างค่าดอกเบี้ยและเงินต้นเป็นเวลาหลายเดือนค่ะ เพราะดิฉันไม่มีเงินจริงๆค่ะ เวลาดิฉันไปจ่าย ดิฉันจะจ่ายไม่ครบค่ะ เช่นดอกเดือนละ25000 ดิฉันจะจ่ายประมาน7000 คือว่ามีเท่าไหร่จ่ายเท่านั้นค่ะ ซึ่งดิฉันก็ไม่ได้อยากค้างค่ะ เพราะดิฉันก็รู้ว่ามันจะมีปัญหา แต่ดิฉันก็หาไม่ได้เลยจริงๆ เลยปล่อยให้ค้างประมาน 3-4 เดือน โดยจะจ่ายยอดไม่เต็มตามที่บอกนะคะ
แล้วต่อมามีเจ้าหน้าที่ติดต่อมาว่าให้จ่ายแจกบัญชี เป็นแต่ละบัญชีไปเลยค่ะ โดยเจ้าหน้าที่จะแจ้งเลขที่บัญชีมา และให้เราไปจ่ายตามยอดขั้นต่ำนั้น ซึ่งเราก็ไปจ่ายเป็นบางยอด และก็ค้างหมุนกันไปค่ะ เช่นจ่ายยอด1 ค้างยอด2 ประมานนี้สลับกันไปค่ะ ดิฉันก็ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆจนครบสิ้นปี พอปีใหม่มา ประมานเดือนกุมภา ก็มีเจ้าหน้าที่ธนาคารโทรมาแจ้งอีกครั้งว่า บัญชีดิฉันถูกยื่นโนติสค่ะ จะถูกยื่นฟ้องแล้ว ดิฉันก็สอบถามและขอเจรจาค่ะว่าจะทำยังไงดี ส่วนเจ้าหน้าที่ธนาคารก็บอกกับดิฉันว่า ให้ดิฉันยื่นแจ้งขอความจำนงค์เพื่อจะปรับโครงสร้างหนี้ค่ะ
ดิฉันเลยถามว่าแล้วถ้าปรับโครงสร้างหนี้เนี่ยจะต้องจ่ายต่อเดือนประมานเท่าไหร่ เจ้าหน้าที่ตอบกลับมาว่า จะต้องจ่ายต่อเดือนคือ 60000 บาทเป็นระยะเวลา 8ปีเต็ม ดิฉันก็ตกใจและถามกลับว่าทำไมจ่ายมากขึ้นกว่าเดิมค่ะ จ่ายแปดปีเต็มนี่คือ 96 เดือนใช่มั้ยคะ เจ้าหน้าที่ตอบมาว่าครับ ดิฉันลองคำนวนแล้วค่ะว่าเบ็ดเสร็จอยู่ที่ประมาน5ล้านกว่า ดิฉันก็เลยบอกว่างั้นขอปรึกษาแฟนดูก่อนนะคะว่าจะทำไงดี พอดิฉันกับแฟนปรึกษากันแล้วคิดว่า คงผ่อนไม่ไหวแน่ เพราะลำพังเดือนละ 4หมื่นกว่าที่เคยจ่ายยังมีปัญหา ดิฉันก็เลยเงียบหายไป อ่อ คือพนักงานบอกให้ดิฉันเตรียมเอกสารเยอะมาก เช่น เครดิตบูโร บัญชีรายรับรายจ่ายต่อเดือนย้อนหลัง6เดือน ใบบิลต่างๆที่ใช้จ่ายทั้งหมด ซึ่งดิฉันไม่เคยเก็บไว้เท่าไหร่ค่ะ ก็เลยงงว่าจะทำยังไงดี ดิฉันกับแฟนก็คิดหนักมาก เพราะถ้าปรับแล้วจ่ายเดือนละ 6 หมื่นกว่าเนี่ยคงตายแหงๆ ก็เลยเงียบโดยไม่ติดต่อธนาคารกลับไป ซึ่งต่อมาดิฉันก็ทำธุรกิจมีกำไรขึ้นพอที่จะมีเงินไปจ่ายยอดที่ค้างไว้ก่อนหน้านี้จนหมด โดยไปจ่ายที่ธนาคารเจ้าของบัญชีของดิฉันเอง ซึ่งก็จ่ายมาเรื่อยๆจนทุกวันนี้ โดยไม่มียอดค้างเก่าแล้ว ซึ่งดิฉันก็เข้าใจว่าธนาคารไม่โทรมาตามหนี้แล้ว เค้าคงไม่ฟ้องเราแล้วมั้ง เพราะเราไปปิดยอดที่ค้างพวกดอกเบี้ยจนหมด แล้วก็จ่ายเป็นปกติทุกเดือนมา และเมื่อไม่กี่วันมานี้เราก็เข้าไปที่ธนาคารเพื่อนำเงินไปชำระเงินกู้ แล้วพนักงานธนาคารได้แจ้งเราว่าบัญชีเราอาจจะถูกยื่นฟ้องแล้ว โดยบัญชีถุกบล้อกแล้ว ดิฉันอยากจะถามผู้รู้หน่อยค่ะว่า ถ้าบัญชีเป็นแบบนี้ซึ่งเรานำเงินไปปิดบัญชีที่ค้างไว้แล้ว เค้าจะสามารถดึงบัญชีกลับมาพิจารณาได้มั้ยคะ คือว่าให้มันเป็นปกติเหมือนเดิมค่ะ
แล้วดิฉันสงสัยค่ะว่าทำไมยอดปรับโครงสร้างหนี้ที่พนักงานแจ้งมาจึงมากมายจังค่ะ ซึ่งเราเป็นหนี้แค่สามล้านแต่ปรับแล้วจ่ายเพิ่มเป็นห้าล้านแบบนี้เราว่ามันมากไปค่ะ แล้วสมมตว่าถ้าดิฉันเลือกให้ธนาคารยื่นฟ้องและไปเจรจาที่ศาลจะถูกลงมั้ยคะ ดิฉันไปปรึกษาหลายคนบางคนก็บอกให้ปรับโครงสร้างหนี้ บางคนก็ให้ฟ้อง ดิฉันงงค่ะ แต่ณ ตอนนี้ดิฉันไม่มียอดค้างใดๆกับธนาคารแล้ว ไม่ว่าจะเป็นดอกเบี้ยเงินกู้และดอกเบี้ยโอดี ดิฉันก็จ่ายเป็นปกติมาหลายเดือนแล้วค่ะ ดิฉันก็อยากให้ธนาคารพิจารณาให้จังเลยค่ะ เพราะบางทีดิฉันก็อยากจะนำเงินหมุนเข้าโอดีให้เยอะต่อเดือน และเบิกถอนได้เหมือนเดิม ซึ่งดอกเบี้ยก็อาจจะถูกลงกว่าที่ไม่ได้นำเงินไปหมุนเลย แต่ตอนนี้บัญชีดิฉันถูกบล้อกเลยเบิกถอนไม่ได้ ดิฉันเลยไม่กล้านำเงินไปเข้าโอดีค่ะ เพราะกลัวไม่มีเงินหมุนธุรกิจ ซึ่งก็เข้าเฉพาะดอกเบี้ยต่อเดือนๆละประมาน2หมื่นกว่าบาทค่ะ เพื่อนๆพี่ๆค่ะ ใครมีประสบการณ์แบบนี้ช่วยแนะนำหน่อยค่ะ ดิฉันจะได้เลือกแบบที่คิดว่าดีที่สุดค่ะ และเสียเปรียบน้อยที่สุดค่ะ
เลือกแบบไหนดีระหว่างปรับโครงสร้างหนี้กับถูกยื่นฟ้องคะ
แล้วต่อมามีเจ้าหน้าที่ติดต่อมาว่าให้จ่ายแจกบัญชี เป็นแต่ละบัญชีไปเลยค่ะ โดยเจ้าหน้าที่จะแจ้งเลขที่บัญชีมา และให้เราไปจ่ายตามยอดขั้นต่ำนั้น ซึ่งเราก็ไปจ่ายเป็นบางยอด และก็ค้างหมุนกันไปค่ะ เช่นจ่ายยอด1 ค้างยอด2 ประมานนี้สลับกันไปค่ะ ดิฉันก็ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆจนครบสิ้นปี พอปีใหม่มา ประมานเดือนกุมภา ก็มีเจ้าหน้าที่ธนาคารโทรมาแจ้งอีกครั้งว่า บัญชีดิฉันถูกยื่นโนติสค่ะ จะถูกยื่นฟ้องแล้ว ดิฉันก็สอบถามและขอเจรจาค่ะว่าจะทำยังไงดี ส่วนเจ้าหน้าที่ธนาคารก็บอกกับดิฉันว่า ให้ดิฉันยื่นแจ้งขอความจำนงค์เพื่อจะปรับโครงสร้างหนี้ค่ะ
ดิฉันเลยถามว่าแล้วถ้าปรับโครงสร้างหนี้เนี่ยจะต้องจ่ายต่อเดือนประมานเท่าไหร่ เจ้าหน้าที่ตอบกลับมาว่า จะต้องจ่ายต่อเดือนคือ 60000 บาทเป็นระยะเวลา 8ปีเต็ม ดิฉันก็ตกใจและถามกลับว่าทำไมจ่ายมากขึ้นกว่าเดิมค่ะ จ่ายแปดปีเต็มนี่คือ 96 เดือนใช่มั้ยคะ เจ้าหน้าที่ตอบมาว่าครับ ดิฉันลองคำนวนแล้วค่ะว่าเบ็ดเสร็จอยู่ที่ประมาน5ล้านกว่า ดิฉันก็เลยบอกว่างั้นขอปรึกษาแฟนดูก่อนนะคะว่าจะทำไงดี พอดิฉันกับแฟนปรึกษากันแล้วคิดว่า คงผ่อนไม่ไหวแน่ เพราะลำพังเดือนละ 4หมื่นกว่าที่เคยจ่ายยังมีปัญหา ดิฉันก็เลยเงียบหายไป อ่อ คือพนักงานบอกให้ดิฉันเตรียมเอกสารเยอะมาก เช่น เครดิตบูโร บัญชีรายรับรายจ่ายต่อเดือนย้อนหลัง6เดือน ใบบิลต่างๆที่ใช้จ่ายทั้งหมด ซึ่งดิฉันไม่เคยเก็บไว้เท่าไหร่ค่ะ ก็เลยงงว่าจะทำยังไงดี ดิฉันกับแฟนก็คิดหนักมาก เพราะถ้าปรับแล้วจ่ายเดือนละ 6 หมื่นกว่าเนี่ยคงตายแหงๆ ก็เลยเงียบโดยไม่ติดต่อธนาคารกลับไป ซึ่งต่อมาดิฉันก็ทำธุรกิจมีกำไรขึ้นพอที่จะมีเงินไปจ่ายยอดที่ค้างไว้ก่อนหน้านี้จนหมด โดยไปจ่ายที่ธนาคารเจ้าของบัญชีของดิฉันเอง ซึ่งก็จ่ายมาเรื่อยๆจนทุกวันนี้ โดยไม่มียอดค้างเก่าแล้ว ซึ่งดิฉันก็เข้าใจว่าธนาคารไม่โทรมาตามหนี้แล้ว เค้าคงไม่ฟ้องเราแล้วมั้ง เพราะเราไปปิดยอดที่ค้างพวกดอกเบี้ยจนหมด แล้วก็จ่ายเป็นปกติทุกเดือนมา และเมื่อไม่กี่วันมานี้เราก็เข้าไปที่ธนาคารเพื่อนำเงินไปชำระเงินกู้ แล้วพนักงานธนาคารได้แจ้งเราว่าบัญชีเราอาจจะถูกยื่นฟ้องแล้ว โดยบัญชีถุกบล้อกแล้ว ดิฉันอยากจะถามผู้รู้หน่อยค่ะว่า ถ้าบัญชีเป็นแบบนี้ซึ่งเรานำเงินไปปิดบัญชีที่ค้างไว้แล้ว เค้าจะสามารถดึงบัญชีกลับมาพิจารณาได้มั้ยคะ คือว่าให้มันเป็นปกติเหมือนเดิมค่ะ
แล้วดิฉันสงสัยค่ะว่าทำไมยอดปรับโครงสร้างหนี้ที่พนักงานแจ้งมาจึงมากมายจังค่ะ ซึ่งเราเป็นหนี้แค่สามล้านแต่ปรับแล้วจ่ายเพิ่มเป็นห้าล้านแบบนี้เราว่ามันมากไปค่ะ แล้วสมมตว่าถ้าดิฉันเลือกให้ธนาคารยื่นฟ้องและไปเจรจาที่ศาลจะถูกลงมั้ยคะ ดิฉันไปปรึกษาหลายคนบางคนก็บอกให้ปรับโครงสร้างหนี้ บางคนก็ให้ฟ้อง ดิฉันงงค่ะ แต่ณ ตอนนี้ดิฉันไม่มียอดค้างใดๆกับธนาคารแล้ว ไม่ว่าจะเป็นดอกเบี้ยเงินกู้และดอกเบี้ยโอดี ดิฉันก็จ่ายเป็นปกติมาหลายเดือนแล้วค่ะ ดิฉันก็อยากให้ธนาคารพิจารณาให้จังเลยค่ะ เพราะบางทีดิฉันก็อยากจะนำเงินหมุนเข้าโอดีให้เยอะต่อเดือน และเบิกถอนได้เหมือนเดิม ซึ่งดอกเบี้ยก็อาจจะถูกลงกว่าที่ไม่ได้นำเงินไปหมุนเลย แต่ตอนนี้บัญชีดิฉันถูกบล้อกเลยเบิกถอนไม่ได้ ดิฉันเลยไม่กล้านำเงินไปเข้าโอดีค่ะ เพราะกลัวไม่มีเงินหมุนธุรกิจ ซึ่งก็เข้าเฉพาะดอกเบี้ยต่อเดือนๆละประมาน2หมื่นกว่าบาทค่ะ เพื่อนๆพี่ๆค่ะ ใครมีประสบการณ์แบบนี้ช่วยแนะนำหน่อยค่ะ ดิฉันจะได้เลือกแบบที่คิดว่าดีที่สุดค่ะ และเสียเปรียบน้อยที่สุดค่ะ