หลังจากไปดู Mad max : Fury road ตามกระแสพูดถึงมาแล้ว ก็รู้สึกแบบที่หลายๆคนพูดถึงกัน ก็เลยพยายามทำความเข้าใจกับตัวหนังที่แทบจะเป็นปรากฏการณ์ครั้งนี้ แะลวิเคราะห์ถึงปัจจัยต่างๆที่ทำให้หนังเรื่องนี้โดดเด่นขึ้นมาครับ
- โลก และสไตล์
ในMadmax เราจะได้เห็นโลกในแบบที่ไม่เคยพบเห็น ดีไซน์และระบบระเบียบต่างๆในเรื่อง เป็นสิ่งที่ถูกออกแบบขึ้นมาใหม่หมด รถศึกหน้าตาแปลกๆ การแต่งตัวแบบบ้าบอคอแตก รวมไปถึงการกระทำเพี้ยนๆของเหล่าวอร์บอย
เรียกได้ว่าแทบทุกอย่างที่ปรากฏในเรื่องนี้ เป็นสิ่งที่ถูกดีไซน์ใหม่ขึ้นมาจนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ต้องยกเครดิตให้กับไตรภาคก่อน ที่เซ็ตโลก Wasteland ขึ้นมาได้ดูบ้าคลั่ง จนเป็นต้นแบบหนังแนวนี้หลายต่อหลายเรื่อง จนไปถึงการกลับมาอีกครั้งใน Fury road
- ฉากแอคชั่น
Fury road มีฉากตื่นตาตื่นใจหลายๆฉาก ที่ไม่เคยพบเห็นในหนังเรื่องอื่นๆ ถึงแม้ว่าฉากขับรถไล่ล่าฉากระเบิดภูเขาเผากระท่อมเป็นฉากเอียนๆที่เห็นกันบ่อยๆ ในหนังฮอลลีวู๊ดสไตล์ แต่เรื่องนี้ได้สร้างสไตล์ของฉากแอคชั่นให้เข้ากับเรื่องขึ้นมาใหม่โดยไม่เหมือนกับหนังอื่น ฉากโหนไปมาระหว่างรถกายกรรมบนหลังรถ หรือฉากแลนเซอร์พุ่งหอกใส่กันระหว่างขบวนรถ ถือว่าเป็นการสร้างสไตล์ของตัวเองขึ้นมาใหม่ล้วนๆ ทำให้ไม่รู้สึกจำเจกับหนังแอ็คชั่นเรื่องอื่นๆเลยแม้แต่นิดเดียว
กรณีนี้คล้ายๆตอนเราได้ดูองค์บากกันครั้งแรก เราเคยเห็นการวิ่งสู้ฟัดกันมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนในหนังเฉินหลง ตั้งแต่ตอนพีคๆจนหมดยุคพีค แต่เพียงแค่การปัดฝุ่นวิ่งสู้ฟัด ใส่สไตล์มวยไทยเข้าไปแทน ก็สามารถทำให้คนติดตากับสไตล์นี้ขึ้นมาในตัวจาพนมได้ทันที
- บท
ใครบอกว่าหนังเรื่องนี้มีแต่แอคชั่น ไม่สนบท ผมขอเถียงเลย ถึงบทจะไม่มีอะไรมากและเดาง่ายแต่ก็มีเหตุมีผลในระดับที่รับได้
จริงอยู่ว่าบทมันก็ไม่ได้ดีอะไรขนาดนั้น แถมยังโดนกลบซะมิดด้วยฉากแอ็คชั่น แต่การเดินทางของเรื่องก็ไม่ได้เป็นเส้นตรงตลอด มีทางแยก มีวกกลับ มีจุดพัก เรื่อยๆตลอดทาง ไม่ใช่หนังแอคชั่นไก่กาที่ใส่บทแบบขอไปทีเพื่อปูเข้าสู่ฉากบู๊ เดินทางเป็นเส้นตรงตั้งแต่ต้นจนจบ
แถมหลายๆฉากกลับมีแนวคิดสอดแทรก ต้องตีความกันในระดับนึงถึงจะเข้าใจด้วยซ้ำ
รวมไปถึงยังมีมุขหน้าตายแทรกอยู่ตลอดทำให้ไม่เบื่อ มีการใส่ดราม่าเสียสละและการขัดแย้งกันเข้าไปเล็กน้อย
- ตัวละคร
Mad max ได้สร้างเอกลักษณ์ให้กับตัวละครได้ดีจนไม่น่าเชื่อ บางตัวละครมีบทพูดน้อยนิดไปจนถึงไม่มี เหล่าวอร์บอยที่หน้าตาเหมือนกันหมด สาวๆThe Wives ที่เกาะกลุ่มกันจนแยกไม่ออก
แต่ไม่น่าเชื่อว่าหนังจะทำให้เราจำบทบาทของตัวละครแต่ละตัว แยกออกมาเป็นคนๆได้ด้วยการกระทำเน้นๆ ขนาดพี่Doof Warrior บทไม่ได้มีอะไรเลยแต่กลับขโมยซีนจนคนกลับพูดถึงกันไม่หยุด
ฉากที่ชอบมากคือฉากการเจอกันครั้งปรกของฟูริโอซ่าและแม็กซ์ การสู้กันเล็กๆน้อยๆโดยมี The Wivesคอยช่วย ทำให้เห็นว่าพวกเธอไม่ใช่สาวๆที่งอมืองอเท้าให้คนช่วย แต่เธอเป็น1ในตัวละครหลัก ซึ่งถ้าเป็นหนังเรื่องอื่น พวกเธอคงเป็นได้แค่กองเชียร์ขอบสนามเท่านั้น
- Quote
จริงๆแทบไม่ได้มีอะไรเลยสำหรับตรงนี้ แต่หนังได้ใส่บทพูดเด็ดๆ ประโยคแสบๆเอาไว้ตลอดเรื่อง พอเอามาพูดตะโกนพร้อมกันกับการกระทำบ้าๆ มันทำให้เกิดความน่าจดจำกันได้แบบคาดไม่ถึง ตรงนี้เรียกได้ว่าเป็นการแสดงออกถึงความ Mad ตามชื่อเรื่องเลยก็ว่าได้
Witness me - จงดูข้า
Mediocre - ธรรมดาไป
Valhala - วัลฮาลาาาา
I live I die I live again
และยังมีอีกหลายๆประโยคที่เชื่อว่าคนที่ดูออกมาแล้ว ต้องเผลอพูดตามบ้างไม่ครั้งก็2ครั้ง
- มาตรฐานของหนัง
ทั้งการแสดง นักแสดง ฉากบู๊ เสียงและดนตรีประกอบ ถือว่าอยู่ในระดับสูงตั้งแต่ต้นยันจบ
ตรงนี้ไม่ขอพูดอะไรมาก เพราะไม่รู้จะพูดอะไรดี
ด้วยปัจจัยที่ว่ามา ทำให้หนังเรื่องนี้ควรค่าแก่การอวยครับ
สิ่งที่ทำให้ Mad max : Fury road มีคุณค่ามากกว่าหนังแอคชั่นอื่นๆ
- โลก และสไตล์
ในMadmax เราจะได้เห็นโลกในแบบที่ไม่เคยพบเห็น ดีไซน์และระบบระเบียบต่างๆในเรื่อง เป็นสิ่งที่ถูกออกแบบขึ้นมาใหม่หมด รถศึกหน้าตาแปลกๆ การแต่งตัวแบบบ้าบอคอแตก รวมไปถึงการกระทำเพี้ยนๆของเหล่าวอร์บอย
เรียกได้ว่าแทบทุกอย่างที่ปรากฏในเรื่องนี้ เป็นสิ่งที่ถูกดีไซน์ใหม่ขึ้นมาจนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ต้องยกเครดิตให้กับไตรภาคก่อน ที่เซ็ตโลก Wasteland ขึ้นมาได้ดูบ้าคลั่ง จนเป็นต้นแบบหนังแนวนี้หลายต่อหลายเรื่อง จนไปถึงการกลับมาอีกครั้งใน Fury road
- ฉากแอคชั่น
Fury road มีฉากตื่นตาตื่นใจหลายๆฉาก ที่ไม่เคยพบเห็นในหนังเรื่องอื่นๆ ถึงแม้ว่าฉากขับรถไล่ล่าฉากระเบิดภูเขาเผากระท่อมเป็นฉากเอียนๆที่เห็นกันบ่อยๆ ในหนังฮอลลีวู๊ดสไตล์ แต่เรื่องนี้ได้สร้างสไตล์ของฉากแอคชั่นให้เข้ากับเรื่องขึ้นมาใหม่โดยไม่เหมือนกับหนังอื่น ฉากโหนไปมาระหว่างรถกายกรรมบนหลังรถ หรือฉากแลนเซอร์พุ่งหอกใส่กันระหว่างขบวนรถ ถือว่าเป็นการสร้างสไตล์ของตัวเองขึ้นมาใหม่ล้วนๆ ทำให้ไม่รู้สึกจำเจกับหนังแอ็คชั่นเรื่องอื่นๆเลยแม้แต่นิดเดียว
กรณีนี้คล้ายๆตอนเราได้ดูองค์บากกันครั้งแรก เราเคยเห็นการวิ่งสู้ฟัดกันมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนในหนังเฉินหลง ตั้งแต่ตอนพีคๆจนหมดยุคพีค แต่เพียงแค่การปัดฝุ่นวิ่งสู้ฟัด ใส่สไตล์มวยไทยเข้าไปแทน ก็สามารถทำให้คนติดตากับสไตล์นี้ขึ้นมาในตัวจาพนมได้ทันที
- บท
ใครบอกว่าหนังเรื่องนี้มีแต่แอคชั่น ไม่สนบท ผมขอเถียงเลย ถึงบทจะไม่มีอะไรมากและเดาง่ายแต่ก็มีเหตุมีผลในระดับที่รับได้
จริงอยู่ว่าบทมันก็ไม่ได้ดีอะไรขนาดนั้น แถมยังโดนกลบซะมิดด้วยฉากแอ็คชั่น แต่การเดินทางของเรื่องก็ไม่ได้เป็นเส้นตรงตลอด มีทางแยก มีวกกลับ มีจุดพัก เรื่อยๆตลอดทาง ไม่ใช่หนังแอคชั่นไก่กาที่ใส่บทแบบขอไปทีเพื่อปูเข้าสู่ฉากบู๊ เดินทางเป็นเส้นตรงตั้งแต่ต้นจนจบ
แถมหลายๆฉากกลับมีแนวคิดสอดแทรก ต้องตีความกันในระดับนึงถึงจะเข้าใจด้วยซ้ำ
รวมไปถึงยังมีมุขหน้าตายแทรกอยู่ตลอดทำให้ไม่เบื่อ มีการใส่ดราม่าเสียสละและการขัดแย้งกันเข้าไปเล็กน้อย
- ตัวละคร
Mad max ได้สร้างเอกลักษณ์ให้กับตัวละครได้ดีจนไม่น่าเชื่อ บางตัวละครมีบทพูดน้อยนิดไปจนถึงไม่มี เหล่าวอร์บอยที่หน้าตาเหมือนกันหมด สาวๆThe Wives ที่เกาะกลุ่มกันจนแยกไม่ออก
แต่ไม่น่าเชื่อว่าหนังจะทำให้เราจำบทบาทของตัวละครแต่ละตัว แยกออกมาเป็นคนๆได้ด้วยการกระทำเน้นๆ ขนาดพี่Doof Warrior บทไม่ได้มีอะไรเลยแต่กลับขโมยซีนจนคนกลับพูดถึงกันไม่หยุด
ฉากที่ชอบมากคือฉากการเจอกันครั้งปรกของฟูริโอซ่าและแม็กซ์ การสู้กันเล็กๆน้อยๆโดยมี The Wivesคอยช่วย ทำให้เห็นว่าพวกเธอไม่ใช่สาวๆที่งอมืองอเท้าให้คนช่วย แต่เธอเป็น1ในตัวละครหลัก ซึ่งถ้าเป็นหนังเรื่องอื่น พวกเธอคงเป็นได้แค่กองเชียร์ขอบสนามเท่านั้น
- Quote
จริงๆแทบไม่ได้มีอะไรเลยสำหรับตรงนี้ แต่หนังได้ใส่บทพูดเด็ดๆ ประโยคแสบๆเอาไว้ตลอดเรื่อง พอเอามาพูดตะโกนพร้อมกันกับการกระทำบ้าๆ มันทำให้เกิดความน่าจดจำกันได้แบบคาดไม่ถึง ตรงนี้เรียกได้ว่าเป็นการแสดงออกถึงความ Mad ตามชื่อเรื่องเลยก็ว่าได้
Witness me - จงดูข้า
Mediocre - ธรรมดาไป
Valhala - วัลฮาลาาาา
I live I die I live again
และยังมีอีกหลายๆประโยคที่เชื่อว่าคนที่ดูออกมาแล้ว ต้องเผลอพูดตามบ้างไม่ครั้งก็2ครั้ง
- มาตรฐานของหนัง
ทั้งการแสดง นักแสดง ฉากบู๊ เสียงและดนตรีประกอบ ถือว่าอยู่ในระดับสูงตั้งแต่ต้นยันจบ
ตรงนี้ไม่ขอพูดอะไรมาก เพราะไม่รู้จะพูดอะไรดี
ด้วยปัจจัยที่ว่ามา ทำให้หนังเรื่องนี้ควรค่าแก่การอวยครับ