ผมเคยดู Mad Max ทั้ง 3 ภาค ผมรักภาค 1 และ 2 ส่วนหนึ่งเพราะฉากขับรถไล่ล่า อีกส่วนคือเหล่าตัวละครที่ผู้กำกับ George Miller สรรค์สร้างขึ้นมา มันช่างมีสเน่ห์และน่าค้นหา แต่ใน Mad Max: Fury Road เขาไม่ได้แค่สร้างตัวละคร แต่เขาสร้างโลกขึ้นมาทั้งใบ
โลกที่ผมว่าคือโลกในดินแดนแสนรกร้างในเรื่อง มันทำให้ผมนึกถึงโลกในหนังอย่าง The Lord of Rings หรือซีรี่ส์อย่าง Game of Thrones ที่แสนซับซ้อน มีตำนาน มีศาสนา ประวัติศาสตร์ของตัวมันเอง Mad Max: Fury Road ให้ความรู้สึกเดียวกันกับผมเลยครับ ตั้งแต่ฉากแรกที่เรารู้จัก Immortan Joe และเมืองของเขา ระบบทุกอย่างที่ขับเคลื่อนพวกเขา แนวคิดของเหล่า War boys เท่านั้นยังไม่พอ หนังพาเราออกนอกเมือง เพื่อพบเมืองอื่น เผ่าอื่น เราเห็นแนวคิด การแต่งตัวที่แตกต่าง รวมถึงพาหนะของแต่ละคน ไม่มีซ้ำ ตามเผ่าของแต่ละคน แต่มันก็ไม่ได้เหนือจริงจนดูตลก มันเหมือนเอารถยุคนี้มาประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ที่รถเป็นมากกว่ายานพาหนะ มันคืออาวุธสังหาร
หนังอุดมไปด้วยฉากแอ็คชั่นไล่ล่าแบบแทบไม่หยุดหย่อน แล้วก็ไม่ใช่ฉากแอ็ตชั่นกล้องสั่นจนเวียนหัส ตัดฉิบฉับไปมาจนน่ารำคาญ หรือรวดเกินจนมองไม่ทันแบบ Transformers มันถ่ายทอดออกมาให้เราเห็นความดุเดือดของการไล่ล่าแบบเต็มตา เราเข้าใจทุกสิ่งที่เกิดขึ้น บางครั้งไม่ใช่แค่เกิดขึ้นอย่างเดียว เกิด 2-3 อย่างพร้อมกัน หนังไม่ได้ผ่อนคันเร่งเพื่อเราเข้าใจว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นบ้าง หนังใช้ความเร็วเท่าเดิม ซึ่งมันแสดงให้ถึงความเก๋าในการเล่าเรื่องของผู้กำกับผสานเข้ากับตัดต่อชั้นยอด
ฉากต่อสู้บนผืนทรายของตัวละครหลัก ทั้ง Max, Furiosa, Nux และเหล่าเมีย มันช่างเป็นฉากแอคชั่นที่สุดยอด มันไม่ใช่การต่อสู้ ต่อยกันไปมา แต่มันเป็นเหมือนกึ่งการเล่าเรื่อง การกระทำที่ 1 ไปกระทบ 2 ทำให้เกิด 3 เกิด 4 เกิด 5 เกิด 6 เรียงต่อไปเรื่อยๆ ผมนึกไม่ออกเลยว่าครั้งสุดท้ายที่ได้ดูฉากแอ็คชั้นแบบนี้มันเมื่อไหร่ นี่ยังไม่นับฉากขับรถไล่ล่า ที่แสนบ้าคลั่งสมชื่อเรื่อง ไม่ใช่แค่ในเรื่องที่บ้า คนทำหนังก็ต้องบ้าด้วย ว่าไอ้ฉากพวกนี้มันถ่ายทำยังไง ต้องระเบิดรถทิ้งไปกี่คันถึงได้ภาพแบบนี้ออกมา แล้วทีมสตั๊นทำงานกันยังไง มันถึงได้ออกมาดูจริงจนน่ากลัวแบบนี้
แม้หนังจะอบอวนไปด้วยฉากแอ็คชั้นซะ 95% ของเรื่อง แต่ทางดราม่าก็ไม่ได้ยิ่งหย่อน เป็นน้อยได้มากอย่างแท้จริง Tom Hardy ในบท Max ทำเราลืมเวอชั่นเก่าไปได้เลย เพราะเขาสร้างตัวละครที่หลงเหลือความดีภายในที่ต้องใช้เวลาซักพักถึงเผยโฉมออกมา หรือ Nux ของ Nicholas Hoult ที่เปิดตัวเหมือนตัวละครสมทบ แต่เป็นสมทบที่มีการพัฒนาที่สุดในเรื่อง และเชื่อมโยงเราเข้ากับแนวคิดของโลกที่หนังพยายามจะสร้าง ว่าแม้แต่สิ่งที่ดูแสนจะบ้าคลั่ง ก็อาจมีมุมที่สงบ ผมชอบที่ตัวละครนี้เริ่มจากคิดอยากจะตายเพื่อตัวเอง ตลอดทั้งเรื่องแต่ไม่สำเร็จ แต่ท้ายที่สุดเมื่อเขาเลือกจะตายเพื่อคนอื่น แล้วเขาภูมิใจกับมันมากกว่าตอนต้นเรื่อง
สุดท้ายที่ลืมไม่ได้เลยคือราชินี Furiosa ที่ถ่ายทอดโดย Charlize Theron ถึงเธอจะมีบทพูดไม่มากเหมือน Max แต่เธอเริ่มจากการเป็นผู้นำที่เข้มแข็งแต่ยิ่งนานไป เราเริ่มเห็นบางอย่างที่เธอซ่อนไว้ ไม่ใช่ผ่านทางการกระทำ (เพราะเรื่องราวไม่ได้มีเวลาให้ทำแบบนั้น มันอัดแน่นด้วยการตัดสินที่ถูกต้องและเด็ดขาด) แต่ผ่านดวงตาของเธอ ผมไม่รู้ว่าเธอทำได้ยังให้ผมรู้สึกถึงมันว่าตัวละครนี้ใกล้จุดประทุขึ้นทุกทีโดยการแค่เห็นตาของเธอ จนตอนท้ายสุด สายตาที่มองคนรอบตัว ขณะที่เธอบาดเจ็บ มันเหมือนให้เราเห็นว่านอกจากภายนอกที่เข้มแข็ง ยังมีอีกตัวตนข้างในที่เป็นมนุษย์ปกติไร้ความบ้าคลั่งซ่อนอยู่ ที่ไม่มีตัวละครใดมีสิ่งนี้อยู่ แม้กระทั่ง Max
[CR] [Review] Mad Max: Fury Road – ไม่ได้เป็นแค่หนัง แต่มันคือการสร้างโลกอีกใบขึ้นมา (SPOILER)
ผมเคยดู Mad Max ทั้ง 3 ภาค ผมรักภาค 1 และ 2 ส่วนหนึ่งเพราะฉากขับรถไล่ล่า อีกส่วนคือเหล่าตัวละครที่ผู้กำกับ George Miller สรรค์สร้างขึ้นมา มันช่างมีสเน่ห์และน่าค้นหา แต่ใน Mad Max: Fury Road เขาไม่ได้แค่สร้างตัวละคร แต่เขาสร้างโลกขึ้นมาทั้งใบ
โลกที่ผมว่าคือโลกในดินแดนแสนรกร้างในเรื่อง มันทำให้ผมนึกถึงโลกในหนังอย่าง The Lord of Rings หรือซีรี่ส์อย่าง Game of Thrones ที่แสนซับซ้อน มีตำนาน มีศาสนา ประวัติศาสตร์ของตัวมันเอง Mad Max: Fury Road ให้ความรู้สึกเดียวกันกับผมเลยครับ ตั้งแต่ฉากแรกที่เรารู้จัก Immortan Joe และเมืองของเขา ระบบทุกอย่างที่ขับเคลื่อนพวกเขา แนวคิดของเหล่า War boys เท่านั้นยังไม่พอ หนังพาเราออกนอกเมือง เพื่อพบเมืองอื่น เผ่าอื่น เราเห็นแนวคิด การแต่งตัวที่แตกต่าง รวมถึงพาหนะของแต่ละคน ไม่มีซ้ำ ตามเผ่าของแต่ละคน แต่มันก็ไม่ได้เหนือจริงจนดูตลก มันเหมือนเอารถยุคนี้มาประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ที่รถเป็นมากกว่ายานพาหนะ มันคืออาวุธสังหาร
หนังอุดมไปด้วยฉากแอ็คชั่นไล่ล่าแบบแทบไม่หยุดหย่อน แล้วก็ไม่ใช่ฉากแอ็ตชั่นกล้องสั่นจนเวียนหัส ตัดฉิบฉับไปมาจนน่ารำคาญ หรือรวดเกินจนมองไม่ทันแบบ Transformers มันถ่ายทอดออกมาให้เราเห็นความดุเดือดของการไล่ล่าแบบเต็มตา เราเข้าใจทุกสิ่งที่เกิดขึ้น บางครั้งไม่ใช่แค่เกิดขึ้นอย่างเดียว เกิด 2-3 อย่างพร้อมกัน หนังไม่ได้ผ่อนคันเร่งเพื่อเราเข้าใจว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นบ้าง หนังใช้ความเร็วเท่าเดิม ซึ่งมันแสดงให้ถึงความเก๋าในการเล่าเรื่องของผู้กำกับผสานเข้ากับตัดต่อชั้นยอด
ฉากต่อสู้บนผืนทรายของตัวละครหลัก ทั้ง Max, Furiosa, Nux และเหล่าเมีย มันช่างเป็นฉากแอคชั่นที่สุดยอด มันไม่ใช่การต่อสู้ ต่อยกันไปมา แต่มันเป็นเหมือนกึ่งการเล่าเรื่อง การกระทำที่ 1 ไปกระทบ 2 ทำให้เกิด 3 เกิด 4 เกิด 5 เกิด 6 เรียงต่อไปเรื่อยๆ ผมนึกไม่ออกเลยว่าครั้งสุดท้ายที่ได้ดูฉากแอ็คชั้นแบบนี้มันเมื่อไหร่ นี่ยังไม่นับฉากขับรถไล่ล่า ที่แสนบ้าคลั่งสมชื่อเรื่อง ไม่ใช่แค่ในเรื่องที่บ้า คนทำหนังก็ต้องบ้าด้วย ว่าไอ้ฉากพวกนี้มันถ่ายทำยังไง ต้องระเบิดรถทิ้งไปกี่คันถึงได้ภาพแบบนี้ออกมา แล้วทีมสตั๊นทำงานกันยังไง มันถึงได้ออกมาดูจริงจนน่ากลัวแบบนี้
แม้หนังจะอบอวนไปด้วยฉากแอ็คชั้นซะ 95% ของเรื่อง แต่ทางดราม่าก็ไม่ได้ยิ่งหย่อน เป็นน้อยได้มากอย่างแท้จริง Tom Hardy ในบท Max ทำเราลืมเวอชั่นเก่าไปได้เลย เพราะเขาสร้างตัวละครที่หลงเหลือความดีภายในที่ต้องใช้เวลาซักพักถึงเผยโฉมออกมา หรือ Nux ของ Nicholas Hoult ที่เปิดตัวเหมือนตัวละครสมทบ แต่เป็นสมทบที่มีการพัฒนาที่สุดในเรื่อง และเชื่อมโยงเราเข้ากับแนวคิดของโลกที่หนังพยายามจะสร้าง ว่าแม้แต่สิ่งที่ดูแสนจะบ้าคลั่ง ก็อาจมีมุมที่สงบ ผมชอบที่ตัวละครนี้เริ่มจากคิดอยากจะตายเพื่อตัวเอง ตลอดทั้งเรื่องแต่ไม่สำเร็จ แต่ท้ายที่สุดเมื่อเขาเลือกจะตายเพื่อคนอื่น แล้วเขาภูมิใจกับมันมากกว่าตอนต้นเรื่อง
สุดท้ายที่ลืมไม่ได้เลยคือราชินี Furiosa ที่ถ่ายทอดโดย Charlize Theron ถึงเธอจะมีบทพูดไม่มากเหมือน Max แต่เธอเริ่มจากการเป็นผู้นำที่เข้มแข็งแต่ยิ่งนานไป เราเริ่มเห็นบางอย่างที่เธอซ่อนไว้ ไม่ใช่ผ่านทางการกระทำ (เพราะเรื่องราวไม่ได้มีเวลาให้ทำแบบนั้น มันอัดแน่นด้วยการตัดสินที่ถูกต้องและเด็ดขาด) แต่ผ่านดวงตาของเธอ ผมไม่รู้ว่าเธอทำได้ยังให้ผมรู้สึกถึงมันว่าตัวละครนี้ใกล้จุดประทุขึ้นทุกทีโดยการแค่เห็นตาของเธอ จนตอนท้ายสุด สายตาที่มองคนรอบตัว ขณะที่เธอบาดเจ็บ มันเหมือนให้เราเห็นว่านอกจากภายนอกที่เข้มแข็ง ยังมีอีกตัวตนข้างในที่เป็นมนุษย์ปกติไร้ความบ้าคลั่งซ่อนอยู่ ที่ไม่มีตัวละครใดมีสิ่งนี้อยู่ แม้กระทั่ง Max