ถึงแม้ว่าจมูกจะไม่ใช่ประสาทสัมผัสที่มีความไวยอดเยี่ยมที่สุดสำหรับมัน แต่ก็นับว่าใช้งานได้ดี อนุภาคเล็กๆ จากกระบวนการต่างๆ ของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายนั้นจะถูกปลดปล่อยออกสู่อากาศอยู่ตลอดเวลา ทิ้งเป็นร่องรอยที่ยากลบเลือนเอาไว้อย่างเนิ่นนานยิ่งกว่าที่เจ้าของกลิ่นจะคาดคิดถึง มีสัตว์นักล่าอยู่หลายชนิดที่สามารถใช้ร่องรอยเหล่านี้ในการจำแนก และติดตามเหยื่อของพวกมันได้อย่างน่าอัศจรรย์
หากว่ากลิ่นที่ล่องลอยอยู่เหล่านี้มีสีสันที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตา โลกทั้งใบคงเป็นเหมือนผืนผ้าใบขนาดใหญ่ที่จะสว่างเจิดจ้าซับซ้อนเต็มไปด้วยสีสันมากมายมหาศาลทั้งในยามกลางวันจนถึงยามค่ำคืนเลยทีเดียว และแม้กระทั่งในความตายเองก็ยังมีกลิ่นที่เจิดจ้างดงามด้วยเช่นกัน
มันตรวจพบสิ่งมีชีวิตจำนวนสองตัวอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก ซึ่งถึงแม้ว่าจะไม่ใช่เป้าหมายที่มันกำลังติดตาม แต่ในกลิ่นของทั้งสองตัวนี้ก็มีบางอย่างที่มันต้องการสำรวจดูให้แน่ชัด
มันค่อยๆ เคลื่อนเข้าหาอย่างระวังจากทางใต้ลม เพื่อป้องกันกลิ่นจากตัวมันเองที่อาจจะถูกพัดพาไปล่วงหน้า ถึงแม้ว่ามันจะค่อนข้างมั่นใจว่าสิ่งมีชีวิตชนิดนี้มีความสามารถในการรับกลิ่นได้ไม่ค่อยดีนัก ไม่ใช่เพียงแค่นั้น สิ่งมีชีวิตที่เดินด้วยสองขา แต่ไม่มีหางพวกนี้มีประสาทสัมผัสในด้านต่างๆ ที่ค่อนข้างน่าผิดหวัง และถึงแม้ว่าพวกมันจะพอมี เขี้ยว เล็บ อยู่บ้าง แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ได้มีไว้สำหรับการต่อสู้
แต่ถึงอย่างนั้นแล้วมันก็ยังคงระมัดระวังตัวอยู่มาก เพราะมีบางสิ่งที่ไม่ปกติในสิ่งมีชีวิตจำพวกนี้ที่ทำให้มันเกิดความรู้สึกกังวลขึ้น บางสิ่งที่มันเองก็ไม่อาจอธิบาย
บางสิ่งที่ จ้าว ให้ระวังเอาไว้
มันขยับสองเท้าก้าวย่างอย่างระวังเพื่อไม่ให้เกิดเสียงดังเกินความจำเป็น เล็บแหลมคมราวกับเป็นมีดเล่มเล็กๆ พวกนั้นไม่ได้มีไว้เพียงเพื่อข่มขู่ แม้แต่หางขนาดใหญ่ที่แข็งแรงก็ยังสามารถใช้เป็นอาวุธร้ายได้ด้วยเช่นกัน ซึ่งตอนนี้ถูกยกให้ลอยขึ้นชี้เหยียดไปทางด้านหลังเพื่อสร้างสมดุลโดยไม่ต้องลากไปบนพื้น ขาหน้าเล็กๆ ทั้งสองข้างถูกเก็บไว้แนบชิดติดลำตัว แต่ก็พร้อมที่จะยื่นออกไปเพื่อคว้าจับได้อย่างรวดเร็ว กรงเล็บแหลมคมที่ปลายนิ้วสามารถฝังจมลึกเข้าไปในร่างของเหยื่อ รวมกับกล้ามเนื้อที่แข็งแรงพอจะฉีกดึงชิ้นส่วนของเหยื่อให้ขาดออกได้อย่างไม่ยากเย็น
แต่อาวุธที่สำคัญที่สุดยังคงเป็นปากของมัน ปากขนาดใหญ่ที่สามารถอ้ากว้างพร้อมกำลังในการกัดอันมหาศาล ฟันเขี้ยวซี่โตคมกริบเรียงเป็นแถวสามารถสร้างความเสียหายถึงตายได้ด้วยการกัดเหยื่อในตำแหน่งที่เหมาะสมเพียงครั้งเดียว
มันหยุดยืนนิ่งชั่วครู่ เท้าที่กำลังก้าวออกไปถูกยกค้างไว้กลางอากาศ ศีรษะใหญ่โตที่ยื่นไปข้างหน้าหันเอียงเล็กน้อยอย่างลังเล หางยาวขนาดใหญ่ชี้เหยียดตรงเพื่อรักษาสมดุล ตอนนี้เป้าหมายทั้งสองตัวนั้นอยู่ห่างออกไปไม่ไกล มันแปลกใจที่สิ่งมีชีวิตทั้งสองตื่นแล้ว แต่ยังคงทำท่าเป็นนอนนิ่งอยู่เช่นเดิม มันจะถอยกลับไปตอนนี้ดีหรือไม่ เพราะไม่มีความจำเป็นที่จะต้องล่าเหยื่อทั้งสองนี้ตั้งแต่แรกแล้ว
อรุณอยากนอนหันไปในทิศทางเดียวกันกับใหญ่เผื่อจะได้มองเห็นว่ามันเป็นตัวอะไรกันแน่ ใหญ่ได้แอบเอื้อมมือมาแตะตัวเขาก่อนหน้านี้เพื่อบอกให้รู้ว่าเขาตื่นอยู่ และรู้สึกได้ถึงสัตว์ลึกลับที่กำลังคุกคาม เขาแตะตอบกลับไปแล้วทั้งสองต่างก็นอนนิ่งรอคอยอยู่อย่างนั้น
“...มันหยุดแล้ว...” ใหญ่กระซิบบอก ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้องหรือไม่ เพราะอาจทำให้สัตว์ลึกลับรู้ตัวแล้วจู่โจมเข้ามาอย่างระวัง หรือไม่ก็อาจหันหลังหลบหนีไปทันที ทั่วทั้งผืนป่านั้นสงบเงียบไปด้วยเสียงธรรมชาติต่างๆ จะขาดไปก็แต่เสียงร้องของเหล่าแมลงที่ได้พร้อมใจเงียบกันมาพักใหญ่แล้ว
เสียงขยับก้าวย่างเบาๆ ดังขึ้นครั้งหนึ่ง
“เอาเลย” ใหญ่บอกก่อนจะกระโดดลุกขึ้นจากที่นอนพร้อมกับมีดในมือ เขาเองก็ไม่รอช้ารีบคว้าดาบที่วางแอบไว้ข้างกายก่อนที่จะล้มตัวลงนอนแล้วลุกขึ้นเตรียมพร้อมด้วยเช่นกัน
ในความมืด ถึงแม้ดวงตาของมนุษย์จะถูกปรับให้คุ้นชินกับความมืดแล้ว แต่ก็ยังไม่อาจเทียบได้กับดวงตาราตรีของสัตว์ที่ใช้ชีวิตออกหากินในยามค่ำคืน ที่เขามองเห็นเป็นเพียงเงาของตัวอะไรบางอย่างที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว มันดูเหมือนจะวิ่งด้วยสองขากับท่าทางแปลกๆ เขายังไม่รู้ว่ามันเป็นตัวอะไร สมองของเขาไม่อาจจัดมันให้เข้ากับสิ่งมีชีวิตชนิดใดที่เคยรู้จักมาก่อน
หัวสีเข้มที่ใหญ่โตพร้อมกับปากอ้ากว้างที่มีเขี้ยวเรียงเป็นแถวยื่นนำหน้าพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว “หลบ” เขาตะโกนลั่น แต่ไม่ต้องรอให้เพื่อนร้องบอก ใหญ่ที่ยืนขวางอยู่ข้างหน้าก็กระโดดออกไปทางด้านข้างก่อนแล้ว
“โอ้ย”
เสียงร้องของใหญ่ทำให้เขาตกใจ ร่างที่กลิ้งไปบนพื้นของเพื่อนนั้นใช้มือซ้ายกุมท้องเอาไว้แน่นพร้อมกับรีบลุกขึ้นนั่งยองๆ ชูมีดสั้นในมือขวาไว้ข้างหน้าอยู่ในท่าปกป้องตนเอง เขาคิดว่าใหญ่ควรจะหลบเขี้ยวพวกนั้นได้พ้น ถ้าอย่างนั้นแล้วเขาโดนอะไรทำร้ายเข้ากันแน่
ความไม่เข้าใจในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นได้สะกิดลึกลงไปภายใต้ระดับจิตใจของเด็กหนุ่ม ปลุกความหวาดกลัวให้ทะลักท่วมท้นขึ้นมาอย่างฉับพลัน บรรยากาศเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างน่ากลัว ความมืดที่เคยล้อมอยู่มาแต่เดิมนั้นกลายเป็นสิ่งที่หนักอึ้งชวนอึดอัด
ร่างของสิ่งมีชีวิตประหลาดที่เคยตัวสูงเกือบจะเท่าเพื่อนของเขา มองดูราวกับจะยิ่งสูงใหญ่ขึ้นกว่าเดิม รวมทั้งปากกว้างที่เต็มไปด้วยเขี้ยวนั้นด้วย ความมืดถูกหลอมรวมเข้ากลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวมัน และมันอาจจะไม่ได้มีเพียงตัวเดียว อาจยังมีพวกมันตัวอื่นๆ หลบซ่อนอยู่อีกภายในความมืด มันต้องไม่ใช่สัตว์ป่าธรรมดา บางทีอาจเป็นร่างจำแลงของปีศาจร้ายเหมือนกับที่เขาเคยได้ยินเรื่องเล่าจากปากของเหล่าพ่อค้าเร่ก็เป็นได้
'เราทั้งคู่จะต้องตาย' ความคิดนี้ได้สั่นคลอนเข้าไปถึงแก่นภายในของเขา
“ระวัง” เสียงร้องเตือนจากเพื่อนดึงสติของเขาให้กลับคืนมา เขารีบขวางดาบในมือไว้ตรงหน้าในท่าปกป้องตนเองพร้อมกับกระโดดหลบไปทางด้านข้าง ถ้าหากเขายังยืนนิ่งอยู่ในที่เดิมก็คงต้องตกเป็นเหยื่อของเขี้ยวในปากพวกนั้น ดาบในมือของเขาปะทะชนเข้ากับสิ่งที่มองไม่เห็นซึ่งลอบจู่โจมเข้ามา ไม่ใช่จากปากที่เต็มไปด้วยเขี้ยว แต่จากในความมืดข้างใต้ศีรษะที่ใหญ่โตของมัน
'คมมีดไม่อาจตัดลำแสงให้ขาดออกจากกันได้' ไม่รู้เป็นเพราะอะไรเขาจึงหวนนึกถึงสิ่งที่คิดขึ้นได้ในวันนั้น วันที่เขาคิดว่าได้เห็นท่านยายใช้มีดในมือทำสิ่งประหลาดน่าเหลือเชื่อ
สิ่งมีชีวิตที่กำลังอยู่ต่อหน้าเขาในตอนนี้เป็นสัตว์ร้ายตัวโตที่มีดวงตามืดดำ ตัวของมันมีสีเข้มในความมืด เขาไม่แน่ใจว่ามันมีผิวหนังที่ขรุขระ หรือมีขนสั้นๆ ขึ้นปกคลุมทั่วทั้งตัวกันแน่ แต่มันเป็นสัตว์ประเภทที่เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน รูปร่างที่คล้ายกับกิ้งก่าตัวโตนั้นสามารถยืนได้ด้วยสองขาหลังที่มีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ กับปากกว้างที่เต็มไปด้วยเขี้ยว ดังนั้นมันจึงควรจะต้องมีขาหน้าอีกสองข้างที่มีขนาดเล็กกว่าขาหลังอยู่ใต้หัวขนาดใหญ่นั้น และคงจะเป็นอาวุธที่ใช้จู่โจมพวกเขาทั้งคู่นั่นเอง ส่วนการที่เมื่อครู่เขามองเห็นว่าตัวมันโตขึ้นกว่าเดิมได้นั้นก็มีคำอธิบายเช่นกัน เพราะในเวลาที่วิ่งมันจะก้มตัวลงให้ขนานไปกับพื้น พอหยุดยืนมันก็เหยียดตัวจึงดูสูงขึ้นเท่านั้นเอง
บรรยากาศแปลกประหลาดมืดดำหนักอึ้งชวนอึดอัดเมื่อครู่นั้นพลันจืดจางลง มันยังคงมืด เป็นเวลากลางดึกที่มีเพียงแสงจันทร์ และแสงดาวบนพื้นที่รกร้างข้างเส้นทางเกวียนสายเก่า แต่ความลึกลับน่ากลัวก่อนหน้านั้นได้หายไปแล้ว เหลือไว้แต่ความรู้สึกถึงอันตรายจากสัตว์ร้ายตรงหน้าที่เข้มข้นขึ้น
มันยืนจ้องมองทั้งสองสลับไปมา ก่อนจะอ้าปากแสดงท่าทางคุกคามพร้อมกับส่งเสียงร้องประหลาดที่คงเป็นการข่มขู่
เขาค่อยๆ ขยับถอยมารวมกับเพื่อนที่ตอนนี้สามารถลุกขึ้นยืนได้แล้ว “ไหวไหม” เขาถามโดยไม่ละสายตาจากสัตว์ร้ายตรงหน้า “ยังพอไหว แผลไม่ได้ลึก...อูย” เสียงร้องนั้นฟังดูน่าเป็นห่วง
“วิ่งหนีคงไม่ไหว หาทางไล่มันไปก็แล้วกัน” เขาเสนอ
“ว่าแต่มันเป็นตัวอะไรกันแน่” ใหญ่ถามในสิ่งที่เขาเองก็กำลังนึกสงสัยอยู่เช่นกัน แต่มันไม่ใช่เรื่องด่วนที่พวกเขาต้องกังวลในตอนนี้ “แล้วเราจะไล่มันไปได้อย่างไร” เพื่อนถามต่อ “คงไม่ใช่เอาไม้ขว้างใส่มันใช่ไหม”
“ไม่น่าถาม” เขาเปลี่ยนท่าเป็นการจับดาบด้วยสองมือให้ปลายแหลมชี้ตรงไปที่ศีรษะของกิ้งก่ายักษ์ ตรงกึ่งกลางระหว่างดวงตามืดดำทั้งสองนั้นพอดี เขาไม่ได้เพียงเรียนรู้การฟันดาบขั้นพื้นฐานจากครูยุทธในระหว่างมาเข้าค่ายฝึกนี้เท่านั้น และมันคงเป็นเหตุผลที่ทำให้ครูยุทธอยากได้ตัวเขาไปร่วมในทีมด้วย
เขาได้ฝึกฝนการใช้ดาบกับพ่อมาตั้งแต่เด็ก พ่อของเขาไม่ได้เพียงเรียนรู้วิชาช่างตีเหล็กมาเท่านั้น แต่ยังได้เรียนวิชาดาบมาจากปู่อีกด้วย พ่อบอกว่าปู่เคยเป็นนักดาบที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ก่อนที่ยุคสมัยจะเปลี่ยนแปลงไป จนปู่ตัดสินใจวางดาบในที่สุด
แต่ปู่ก็ยังรู้สึกเสียดายที่วิชาดาบอันยอดเยี่ยมซึ่งตนบัณยัติขึ้นมานั้นจะไม่มีผู้สืบทอด ปู่จึงได้สอนมันให้กับพ่อ และพ่อได้ถ่ายทอดให้กับเขาอีกที นั่นคือสิ่งที่พ่อเล่าให้ฟังแต่เขากลับไม่ค่อยอยากจะเชื่อ เขานึกไม่ออกว่าผู้ชายตัวเล็กๆ เต็มไปด้วยอารมณ์ขันอย่างปู่ที่อยู่ในความทรงจำของเขานั้นจะเป็นนักดาบไปได้อย่างไร
เขาไม่เคยใช้วิชาดาบกับใครมาก่อน จนกระทั่งได้มาเข้าค่ายฝึกครั้งนี้ และไม่มีใครในค่ายสู้เขาได้เลยสักคน นอกจากครูยุทธ
“ก็แค่ทำให้มันรู้ว่าเราไม่ใช่เหยื่อที่จะจัดการได้ง่ายๆ แล้วมันก็จะไปเอง” เขาบอกอย่างมั่นใจ
“ฟังดูดี...ว่าแต่จะทำได้จริงหรือ” ความเจ็บปวดจากบาดแผลเตือนให้ใหญ่ลังเล เขาไม่อาจจะมองโลกในแง่ดีได้ในตอนนี้ โดยเฉพาะเมื่อความเจ็บปวดดูเหมือนจะเป็นความจริงเพียงหนึ่งเดียวของเขา
“นายก็คอยระวังตัวไว้ด้วยล่ะ” เขาร้องบอกก่อนจะขยับก้าวออกไปข้างหน้า เขาคิดที่จะดึงการต่อสู้ให้ห่างจากเพื่อนที่ตอนนี้คงขยับตัวได้อย่างลำบาก สายตาของเขาคอยจับจ้องอยู่ที่เขี้ยวคมพวกนั้น
“นายเองก็ระวังด้วย อย่าประมาทไป เรายังไม่รู้ว่ามันจะทำอะไรได้บ้าง” ใหญ่เคยเห็นฝีมือดาบของเพื่อนมาแล้ว และรู้สึกโชคดีที่ตอนนี้ทั้งสองไม่ได้เป็นคู่กัดกันอย่างรุนแรงแบบเมื่อก่อน ถึงจะยังทะเลาะกันอยู่บ้างก็ไม่ใช่แบบจริงจังอีกแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาอาจเป็นฝ่ายที่ต้องโดนแกล้งถ้าหากเพื่อนคิดจะจับกิ่งไม้แทนดาบสู้อย่างเอาจริงเอาจังขึ้นมา
คำพูดของเพื่อนเตือนให้อรุณระวังตัวขึ้นมาอีกครั้ง ใหญ่พูดถูกในเรื่องที่ว่าพวกเขายังไม่รู้ว่าเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้จะสามารถทำอะไรได้บ้าง อย่างมันอาจจะมีพิษร้ายที่ทำให้เหยื่อถึงตายเหมือนกับงูพิษก็เป็นได้
อาจเป็นเพราะเขามัวแต่คิดวุ่นวายจนจิตใจไม่จดจ่ออยู่กับการต่อสู้ตรงหน้า มันจึงอาศัยจังหวะนี้ก้มหัวลงพร้อมกับพุ่งเข้าใส่เขาอย่างฉับพลันโดยไม่ทันให้ตั้งตัว เขารีบเบี่ยงตัวหลบให้ห่างกว่าปกติเพื่อไม่ให้ขาคู่หน้าเล็กๆ แต่เต็มไปด้วยเล็บแหลมคมนั้นสามารถเอื้อมถึง ก่อนจะตวัดฟันดาบลงด้วยสองมือ ถึงแม้จะไม่สามารถยืนได้อย่างมั่นคง แต่เขาก็ใส่แรงลงไปในดาบนั้นได้ไม่น้อย เป้าหมายของเขาคือศีรษะอันใหญ่โตของมันนั่นเอง
ครั้งนี้มันจึงเป็นฝ่ายที่ต้องเบี่ยงหลบไปทางด้านข้าง ดูเหมือนมันจะรับรู้ได้ถึงอันตรายจากดาบของเขา พร้อมกันนั้นมันก็เริ่มหมุนตัวเหมือนกับจะหันหลังกลับ ซึ่งเป็นการเปิดเผยแผ่นหลังให้กับเขาอย่างจงใจ เขาไม่ยอมพลาดปล่อยโอกาสครั้งนี้ไป ดาบในมือถูกวกกลับ เขาคิดที่จะฟันเฉือนขึ้นไปจากทางด้านล่าง บาดแผลครั้งนี้คงทำให้มันยอมจากไปได้ไม่ยาก
แจ้ง (5) (แฟนตาซี)
หากว่ากลิ่นที่ล่องลอยอยู่เหล่านี้มีสีสันที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตา โลกทั้งใบคงเป็นเหมือนผืนผ้าใบขนาดใหญ่ที่จะสว่างเจิดจ้าซับซ้อนเต็มไปด้วยสีสันมากมายมหาศาลทั้งในยามกลางวันจนถึงยามค่ำคืนเลยทีเดียว และแม้กระทั่งในความตายเองก็ยังมีกลิ่นที่เจิดจ้างดงามด้วยเช่นกัน
มันตรวจพบสิ่งมีชีวิตจำนวนสองตัวอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก ซึ่งถึงแม้ว่าจะไม่ใช่เป้าหมายที่มันกำลังติดตาม แต่ในกลิ่นของทั้งสองตัวนี้ก็มีบางอย่างที่มันต้องการสำรวจดูให้แน่ชัด
มันค่อยๆ เคลื่อนเข้าหาอย่างระวังจากทางใต้ลม เพื่อป้องกันกลิ่นจากตัวมันเองที่อาจจะถูกพัดพาไปล่วงหน้า ถึงแม้ว่ามันจะค่อนข้างมั่นใจว่าสิ่งมีชีวิตชนิดนี้มีความสามารถในการรับกลิ่นได้ไม่ค่อยดีนัก ไม่ใช่เพียงแค่นั้น สิ่งมีชีวิตที่เดินด้วยสองขา แต่ไม่มีหางพวกนี้มีประสาทสัมผัสในด้านต่างๆ ที่ค่อนข้างน่าผิดหวัง และถึงแม้ว่าพวกมันจะพอมี เขี้ยว เล็บ อยู่บ้าง แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ได้มีไว้สำหรับการต่อสู้
แต่ถึงอย่างนั้นแล้วมันก็ยังคงระมัดระวังตัวอยู่มาก เพราะมีบางสิ่งที่ไม่ปกติในสิ่งมีชีวิตจำพวกนี้ที่ทำให้มันเกิดความรู้สึกกังวลขึ้น บางสิ่งที่มันเองก็ไม่อาจอธิบาย
บางสิ่งที่ จ้าว ให้ระวังเอาไว้
มันขยับสองเท้าก้าวย่างอย่างระวังเพื่อไม่ให้เกิดเสียงดังเกินความจำเป็น เล็บแหลมคมราวกับเป็นมีดเล่มเล็กๆ พวกนั้นไม่ได้มีไว้เพียงเพื่อข่มขู่ แม้แต่หางขนาดใหญ่ที่แข็งแรงก็ยังสามารถใช้เป็นอาวุธร้ายได้ด้วยเช่นกัน ซึ่งตอนนี้ถูกยกให้ลอยขึ้นชี้เหยียดไปทางด้านหลังเพื่อสร้างสมดุลโดยไม่ต้องลากไปบนพื้น ขาหน้าเล็กๆ ทั้งสองข้างถูกเก็บไว้แนบชิดติดลำตัว แต่ก็พร้อมที่จะยื่นออกไปเพื่อคว้าจับได้อย่างรวดเร็ว กรงเล็บแหลมคมที่ปลายนิ้วสามารถฝังจมลึกเข้าไปในร่างของเหยื่อ รวมกับกล้ามเนื้อที่แข็งแรงพอจะฉีกดึงชิ้นส่วนของเหยื่อให้ขาดออกได้อย่างไม่ยากเย็น
แต่อาวุธที่สำคัญที่สุดยังคงเป็นปากของมัน ปากขนาดใหญ่ที่สามารถอ้ากว้างพร้อมกำลังในการกัดอันมหาศาล ฟันเขี้ยวซี่โตคมกริบเรียงเป็นแถวสามารถสร้างความเสียหายถึงตายได้ด้วยการกัดเหยื่อในตำแหน่งที่เหมาะสมเพียงครั้งเดียว
มันหยุดยืนนิ่งชั่วครู่ เท้าที่กำลังก้าวออกไปถูกยกค้างไว้กลางอากาศ ศีรษะใหญ่โตที่ยื่นไปข้างหน้าหันเอียงเล็กน้อยอย่างลังเล หางยาวขนาดใหญ่ชี้เหยียดตรงเพื่อรักษาสมดุล ตอนนี้เป้าหมายทั้งสองตัวนั้นอยู่ห่างออกไปไม่ไกล มันแปลกใจที่สิ่งมีชีวิตทั้งสองตื่นแล้ว แต่ยังคงทำท่าเป็นนอนนิ่งอยู่เช่นเดิม มันจะถอยกลับไปตอนนี้ดีหรือไม่ เพราะไม่มีความจำเป็นที่จะต้องล่าเหยื่อทั้งสองนี้ตั้งแต่แรกแล้ว
อรุณอยากนอนหันไปในทิศทางเดียวกันกับใหญ่เผื่อจะได้มองเห็นว่ามันเป็นตัวอะไรกันแน่ ใหญ่ได้แอบเอื้อมมือมาแตะตัวเขาก่อนหน้านี้เพื่อบอกให้รู้ว่าเขาตื่นอยู่ และรู้สึกได้ถึงสัตว์ลึกลับที่กำลังคุกคาม เขาแตะตอบกลับไปแล้วทั้งสองต่างก็นอนนิ่งรอคอยอยู่อย่างนั้น
“...มันหยุดแล้ว...” ใหญ่กระซิบบอก ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้องหรือไม่ เพราะอาจทำให้สัตว์ลึกลับรู้ตัวแล้วจู่โจมเข้ามาอย่างระวัง หรือไม่ก็อาจหันหลังหลบหนีไปทันที ทั่วทั้งผืนป่านั้นสงบเงียบไปด้วยเสียงธรรมชาติต่างๆ จะขาดไปก็แต่เสียงร้องของเหล่าแมลงที่ได้พร้อมใจเงียบกันมาพักใหญ่แล้ว
เสียงขยับก้าวย่างเบาๆ ดังขึ้นครั้งหนึ่ง
“เอาเลย” ใหญ่บอกก่อนจะกระโดดลุกขึ้นจากที่นอนพร้อมกับมีดในมือ เขาเองก็ไม่รอช้ารีบคว้าดาบที่วางแอบไว้ข้างกายก่อนที่จะล้มตัวลงนอนแล้วลุกขึ้นเตรียมพร้อมด้วยเช่นกัน
ในความมืด ถึงแม้ดวงตาของมนุษย์จะถูกปรับให้คุ้นชินกับความมืดแล้ว แต่ก็ยังไม่อาจเทียบได้กับดวงตาราตรีของสัตว์ที่ใช้ชีวิตออกหากินในยามค่ำคืน ที่เขามองเห็นเป็นเพียงเงาของตัวอะไรบางอย่างที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว มันดูเหมือนจะวิ่งด้วยสองขากับท่าทางแปลกๆ เขายังไม่รู้ว่ามันเป็นตัวอะไร สมองของเขาไม่อาจจัดมันให้เข้ากับสิ่งมีชีวิตชนิดใดที่เคยรู้จักมาก่อน
หัวสีเข้มที่ใหญ่โตพร้อมกับปากอ้ากว้างที่มีเขี้ยวเรียงเป็นแถวยื่นนำหน้าพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว “หลบ” เขาตะโกนลั่น แต่ไม่ต้องรอให้เพื่อนร้องบอก ใหญ่ที่ยืนขวางอยู่ข้างหน้าก็กระโดดออกไปทางด้านข้างก่อนแล้ว
“โอ้ย”
เสียงร้องของใหญ่ทำให้เขาตกใจ ร่างที่กลิ้งไปบนพื้นของเพื่อนนั้นใช้มือซ้ายกุมท้องเอาไว้แน่นพร้อมกับรีบลุกขึ้นนั่งยองๆ ชูมีดสั้นในมือขวาไว้ข้างหน้าอยู่ในท่าปกป้องตนเอง เขาคิดว่าใหญ่ควรจะหลบเขี้ยวพวกนั้นได้พ้น ถ้าอย่างนั้นแล้วเขาโดนอะไรทำร้ายเข้ากันแน่
ความไม่เข้าใจในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นได้สะกิดลึกลงไปภายใต้ระดับจิตใจของเด็กหนุ่ม ปลุกความหวาดกลัวให้ทะลักท่วมท้นขึ้นมาอย่างฉับพลัน บรรยากาศเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างน่ากลัว ความมืดที่เคยล้อมอยู่มาแต่เดิมนั้นกลายเป็นสิ่งที่หนักอึ้งชวนอึดอัด
ร่างของสิ่งมีชีวิตประหลาดที่เคยตัวสูงเกือบจะเท่าเพื่อนของเขา มองดูราวกับจะยิ่งสูงใหญ่ขึ้นกว่าเดิม รวมทั้งปากกว้างที่เต็มไปด้วยเขี้ยวนั้นด้วย ความมืดถูกหลอมรวมเข้ากลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวมัน และมันอาจจะไม่ได้มีเพียงตัวเดียว อาจยังมีพวกมันตัวอื่นๆ หลบซ่อนอยู่อีกภายในความมืด มันต้องไม่ใช่สัตว์ป่าธรรมดา บางทีอาจเป็นร่างจำแลงของปีศาจร้ายเหมือนกับที่เขาเคยได้ยินเรื่องเล่าจากปากของเหล่าพ่อค้าเร่ก็เป็นได้
'เราทั้งคู่จะต้องตาย' ความคิดนี้ได้สั่นคลอนเข้าไปถึงแก่นภายในของเขา
“ระวัง” เสียงร้องเตือนจากเพื่อนดึงสติของเขาให้กลับคืนมา เขารีบขวางดาบในมือไว้ตรงหน้าในท่าปกป้องตนเองพร้อมกับกระโดดหลบไปทางด้านข้าง ถ้าหากเขายังยืนนิ่งอยู่ในที่เดิมก็คงต้องตกเป็นเหยื่อของเขี้ยวในปากพวกนั้น ดาบในมือของเขาปะทะชนเข้ากับสิ่งที่มองไม่เห็นซึ่งลอบจู่โจมเข้ามา ไม่ใช่จากปากที่เต็มไปด้วยเขี้ยว แต่จากในความมืดข้างใต้ศีรษะที่ใหญ่โตของมัน
'คมมีดไม่อาจตัดลำแสงให้ขาดออกจากกันได้' ไม่รู้เป็นเพราะอะไรเขาจึงหวนนึกถึงสิ่งที่คิดขึ้นได้ในวันนั้น วันที่เขาคิดว่าได้เห็นท่านยายใช้มีดในมือทำสิ่งประหลาดน่าเหลือเชื่อ
สิ่งมีชีวิตที่กำลังอยู่ต่อหน้าเขาในตอนนี้เป็นสัตว์ร้ายตัวโตที่มีดวงตามืดดำ ตัวของมันมีสีเข้มในความมืด เขาไม่แน่ใจว่ามันมีผิวหนังที่ขรุขระ หรือมีขนสั้นๆ ขึ้นปกคลุมทั่วทั้งตัวกันแน่ แต่มันเป็นสัตว์ประเภทที่เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน รูปร่างที่คล้ายกับกิ้งก่าตัวโตนั้นสามารถยืนได้ด้วยสองขาหลังที่มีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ กับปากกว้างที่เต็มไปด้วยเขี้ยว ดังนั้นมันจึงควรจะต้องมีขาหน้าอีกสองข้างที่มีขนาดเล็กกว่าขาหลังอยู่ใต้หัวขนาดใหญ่นั้น และคงจะเป็นอาวุธที่ใช้จู่โจมพวกเขาทั้งคู่นั่นเอง ส่วนการที่เมื่อครู่เขามองเห็นว่าตัวมันโตขึ้นกว่าเดิมได้นั้นก็มีคำอธิบายเช่นกัน เพราะในเวลาที่วิ่งมันจะก้มตัวลงให้ขนานไปกับพื้น พอหยุดยืนมันก็เหยียดตัวจึงดูสูงขึ้นเท่านั้นเอง
บรรยากาศแปลกประหลาดมืดดำหนักอึ้งชวนอึดอัดเมื่อครู่นั้นพลันจืดจางลง มันยังคงมืด เป็นเวลากลางดึกที่มีเพียงแสงจันทร์ และแสงดาวบนพื้นที่รกร้างข้างเส้นทางเกวียนสายเก่า แต่ความลึกลับน่ากลัวก่อนหน้านั้นได้หายไปแล้ว เหลือไว้แต่ความรู้สึกถึงอันตรายจากสัตว์ร้ายตรงหน้าที่เข้มข้นขึ้น
มันยืนจ้องมองทั้งสองสลับไปมา ก่อนจะอ้าปากแสดงท่าทางคุกคามพร้อมกับส่งเสียงร้องประหลาดที่คงเป็นการข่มขู่
เขาค่อยๆ ขยับถอยมารวมกับเพื่อนที่ตอนนี้สามารถลุกขึ้นยืนได้แล้ว “ไหวไหม” เขาถามโดยไม่ละสายตาจากสัตว์ร้ายตรงหน้า “ยังพอไหว แผลไม่ได้ลึก...อูย” เสียงร้องนั้นฟังดูน่าเป็นห่วง
“วิ่งหนีคงไม่ไหว หาทางไล่มันไปก็แล้วกัน” เขาเสนอ
“ว่าแต่มันเป็นตัวอะไรกันแน่” ใหญ่ถามในสิ่งที่เขาเองก็กำลังนึกสงสัยอยู่เช่นกัน แต่มันไม่ใช่เรื่องด่วนที่พวกเขาต้องกังวลในตอนนี้ “แล้วเราจะไล่มันไปได้อย่างไร” เพื่อนถามต่อ “คงไม่ใช่เอาไม้ขว้างใส่มันใช่ไหม”
“ไม่น่าถาม” เขาเปลี่ยนท่าเป็นการจับดาบด้วยสองมือให้ปลายแหลมชี้ตรงไปที่ศีรษะของกิ้งก่ายักษ์ ตรงกึ่งกลางระหว่างดวงตามืดดำทั้งสองนั้นพอดี เขาไม่ได้เพียงเรียนรู้การฟันดาบขั้นพื้นฐานจากครูยุทธในระหว่างมาเข้าค่ายฝึกนี้เท่านั้น และมันคงเป็นเหตุผลที่ทำให้ครูยุทธอยากได้ตัวเขาไปร่วมในทีมด้วย
เขาได้ฝึกฝนการใช้ดาบกับพ่อมาตั้งแต่เด็ก พ่อของเขาไม่ได้เพียงเรียนรู้วิชาช่างตีเหล็กมาเท่านั้น แต่ยังได้เรียนวิชาดาบมาจากปู่อีกด้วย พ่อบอกว่าปู่เคยเป็นนักดาบที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ก่อนที่ยุคสมัยจะเปลี่ยนแปลงไป จนปู่ตัดสินใจวางดาบในที่สุด
แต่ปู่ก็ยังรู้สึกเสียดายที่วิชาดาบอันยอดเยี่ยมซึ่งตนบัณยัติขึ้นมานั้นจะไม่มีผู้สืบทอด ปู่จึงได้สอนมันให้กับพ่อ และพ่อได้ถ่ายทอดให้กับเขาอีกที นั่นคือสิ่งที่พ่อเล่าให้ฟังแต่เขากลับไม่ค่อยอยากจะเชื่อ เขานึกไม่ออกว่าผู้ชายตัวเล็กๆ เต็มไปด้วยอารมณ์ขันอย่างปู่ที่อยู่ในความทรงจำของเขานั้นจะเป็นนักดาบไปได้อย่างไร
เขาไม่เคยใช้วิชาดาบกับใครมาก่อน จนกระทั่งได้มาเข้าค่ายฝึกครั้งนี้ และไม่มีใครในค่ายสู้เขาได้เลยสักคน นอกจากครูยุทธ
“ก็แค่ทำให้มันรู้ว่าเราไม่ใช่เหยื่อที่จะจัดการได้ง่ายๆ แล้วมันก็จะไปเอง” เขาบอกอย่างมั่นใจ
“ฟังดูดี...ว่าแต่จะทำได้จริงหรือ” ความเจ็บปวดจากบาดแผลเตือนให้ใหญ่ลังเล เขาไม่อาจจะมองโลกในแง่ดีได้ในตอนนี้ โดยเฉพาะเมื่อความเจ็บปวดดูเหมือนจะเป็นความจริงเพียงหนึ่งเดียวของเขา
“นายก็คอยระวังตัวไว้ด้วยล่ะ” เขาร้องบอกก่อนจะขยับก้าวออกไปข้างหน้า เขาคิดที่จะดึงการต่อสู้ให้ห่างจากเพื่อนที่ตอนนี้คงขยับตัวได้อย่างลำบาก สายตาของเขาคอยจับจ้องอยู่ที่เขี้ยวคมพวกนั้น
“นายเองก็ระวังด้วย อย่าประมาทไป เรายังไม่รู้ว่ามันจะทำอะไรได้บ้าง” ใหญ่เคยเห็นฝีมือดาบของเพื่อนมาแล้ว และรู้สึกโชคดีที่ตอนนี้ทั้งสองไม่ได้เป็นคู่กัดกันอย่างรุนแรงแบบเมื่อก่อน ถึงจะยังทะเลาะกันอยู่บ้างก็ไม่ใช่แบบจริงจังอีกแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาอาจเป็นฝ่ายที่ต้องโดนแกล้งถ้าหากเพื่อนคิดจะจับกิ่งไม้แทนดาบสู้อย่างเอาจริงเอาจังขึ้นมา
คำพูดของเพื่อนเตือนให้อรุณระวังตัวขึ้นมาอีกครั้ง ใหญ่พูดถูกในเรื่องที่ว่าพวกเขายังไม่รู้ว่าเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้จะสามารถทำอะไรได้บ้าง อย่างมันอาจจะมีพิษร้ายที่ทำให้เหยื่อถึงตายเหมือนกับงูพิษก็เป็นได้
อาจเป็นเพราะเขามัวแต่คิดวุ่นวายจนจิตใจไม่จดจ่ออยู่กับการต่อสู้ตรงหน้า มันจึงอาศัยจังหวะนี้ก้มหัวลงพร้อมกับพุ่งเข้าใส่เขาอย่างฉับพลันโดยไม่ทันให้ตั้งตัว เขารีบเบี่ยงตัวหลบให้ห่างกว่าปกติเพื่อไม่ให้ขาคู่หน้าเล็กๆ แต่เต็มไปด้วยเล็บแหลมคมนั้นสามารถเอื้อมถึง ก่อนจะตวัดฟันดาบลงด้วยสองมือ ถึงแม้จะไม่สามารถยืนได้อย่างมั่นคง แต่เขาก็ใส่แรงลงไปในดาบนั้นได้ไม่น้อย เป้าหมายของเขาคือศีรษะอันใหญ่โตของมันนั่นเอง
ครั้งนี้มันจึงเป็นฝ่ายที่ต้องเบี่ยงหลบไปทางด้านข้าง ดูเหมือนมันจะรับรู้ได้ถึงอันตรายจากดาบของเขา พร้อมกันนั้นมันก็เริ่มหมุนตัวเหมือนกับจะหันหลังกลับ ซึ่งเป็นการเปิดเผยแผ่นหลังให้กับเขาอย่างจงใจ เขาไม่ยอมพลาดปล่อยโอกาสครั้งนี้ไป ดาบในมือถูกวกกลับ เขาคิดที่จะฟันเฉือนขึ้นไปจากทางด้านล่าง บาดแผลครั้งนี้คงทำให้มันยอมจากไปได้ไม่ยาก