คดีนี้ เกิดขึ้นเมื่อ 27 ธันวาคม 2553
ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง
31 สิงหาคม 2555
ศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานขับรถประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและทำให้ทรัพย์สินเสียหาย
พิพากษาจำคุกเป็นเวลา 3 ปี คำให้การในชั้นพิจารณาเป็นประโยชน์ ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกเป็นเวลา 2 ปี
โทษจำคุก ให้รอลงอาญาเป็นเวลา 3 ปี
โดยคุมประพฤติจำเลย 3 ปี และให้รายงานตัวทุกๆ 3 เดือน
พร้อมให้ทำงานบริการสังคมโดยการดูแลผู้ป่วยจากอุบัติเหตุเป็นเวลา 48 ชั่วโมง
รวมทั้งห้ามจำเลยขับรถยนต์จนกว่าจะมีอายุครบ 25 ปีบริบูรณ์
22 เมษายน 2557
ศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาแก้ไขจากที่รอลงอาญา 3 ปี ให้ระยะเวลารอลงอาญาเป็น 4 ปี
และให้บำเพ็ญประโยชน์ 48 ชั่วโมงต่อปี เป็นเวลารวม 4 ปี ส่วนโทษอื่นให้คงตามศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
11 พฤษภาคม 2558
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว
มีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย
แน่นอนครับ จำเลยต้องฎีกาเพื่อให้ศาลลดโทษ แต่เมื่อศาลไม่รับฎีกา
จำเลยก็ไม่ได้รับการลดโทษ
ส่งผลต่อคดีแพ่ง
คดีสิ้นสุด ญาติผู้สูญเสียไม่ต้องเสียเวลาสู้คดีในทางอาญาอีกต่อไป
แต่สามารถนำผลคำพิพากษาของศาล ที่บอกว่าจำเลยมีความผิดจริง ไปดำเนินการเรียกค่าเสียหายทางแพ่งได้
ผมมองว่า เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายผู้สูญเสียครับ
ในความเห็นส่วนตัวผม
คนที่ทำให้คนอื่นตาย จะยังไง เจตนา หรือไม่เจตนา หรือโดยประมาท ก็ควรโดนจำคุก
เพื่อสร้างบรรทัดฐาน และสำนึกให้สังคม
แต่เพราะกระบวนการยุติธรรมเรามีปัญหา
ตั้งแต่ชั้นตำรวจ จนถึงชั้นศาล ล้วนใช้อิทธิพล เงิน ทำให้ไม่ติดคุกได้
ตอนนี้ สำนึกในสังคมไทย จึงเป็นว่า ชนตายไปเหอะ มีเงินเคลียร์ มีเงินจ่าย ไม่ติดคุกหรอก
คนไทยจึงมีสิทธิ์ตายได้ง่าย ๆ อย่างไร้เหตุผล ด้วยฝีมือพวกวัยรุ่นคะนอง พวกเมาแล้วขับ ฯลฯ
ผมว่าการที่ศาลท่านไม่รับฎีกาคดีสาวซีวิค 9 ศพนี่ เป็นผลดีต่อญาติผู้สูญเสียนะครับ
ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง
31 สิงหาคม 2555
ศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานขับรถประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและทำให้ทรัพย์สินเสียหาย
พิพากษาจำคุกเป็นเวลา 3 ปี คำให้การในชั้นพิจารณาเป็นประโยชน์ ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกเป็นเวลา 2 ปี
โทษจำคุก ให้รอลงอาญาเป็นเวลา 3 ปี
โดยคุมประพฤติจำเลย 3 ปี และให้รายงานตัวทุกๆ 3 เดือน
พร้อมให้ทำงานบริการสังคมโดยการดูแลผู้ป่วยจากอุบัติเหตุเป็นเวลา 48 ชั่วโมง
รวมทั้งห้ามจำเลยขับรถยนต์จนกว่าจะมีอายุครบ 25 ปีบริบูรณ์
22 เมษายน 2557
ศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาแก้ไขจากที่รอลงอาญา 3 ปี ให้ระยะเวลารอลงอาญาเป็น 4 ปี
และให้บำเพ็ญประโยชน์ 48 ชั่วโมงต่อปี เป็นเวลารวม 4 ปี ส่วนโทษอื่นให้คงตามศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
11 พฤษภาคม 2558
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว มีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย
แน่นอนครับ จำเลยต้องฎีกาเพื่อให้ศาลลดโทษ แต่เมื่อศาลไม่รับฎีกา
จำเลยก็ไม่ได้รับการลดโทษ
ส่งผลต่อคดีแพ่ง
คดีสิ้นสุด ญาติผู้สูญเสียไม่ต้องเสียเวลาสู้คดีในทางอาญาอีกต่อไป
แต่สามารถนำผลคำพิพากษาของศาล ที่บอกว่าจำเลยมีความผิดจริง ไปดำเนินการเรียกค่าเสียหายทางแพ่งได้
ผมมองว่า เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายผู้สูญเสียครับ
ในความเห็นส่วนตัวผม
คนที่ทำให้คนอื่นตาย จะยังไง เจตนา หรือไม่เจตนา หรือโดยประมาท ก็ควรโดนจำคุก
เพื่อสร้างบรรทัดฐาน และสำนึกให้สังคม
แต่เพราะกระบวนการยุติธรรมเรามีปัญหา
ตั้งแต่ชั้นตำรวจ จนถึงชั้นศาล ล้วนใช้อิทธิพล เงิน ทำให้ไม่ติดคุกได้
ตอนนี้ สำนึกในสังคมไทย จึงเป็นว่า ชนตายไปเหอะ มีเงินเคลียร์ มีเงินจ่าย ไม่ติดคุกหรอก
คนไทยจึงมีสิทธิ์ตายได้ง่าย ๆ อย่างไร้เหตุผล ด้วยฝีมือพวกวัยรุ่นคะนอง พวกเมาแล้วขับ ฯลฯ