ต้นทุนชีวิตและความได้เปรียบ

ผมเคยได้ยินเพื่อนหลายคนบ่นถึงต้นทุนชีวิตของคนเราไม่เท่ากัน เวลาเราเจอใครซักคนที่ร่ำรวยมาหากสืบได้ว่าเขามีครอบครัวรวยมาก่อนอยู่แล้ว

เราจะบอกว่าเค้าไม่เก่งจริงโดยไม่ดูการกระทำของตัวเขาเลย และจะยกย่องเชิดชูเฉพาะคนรวยที่เรียกว่าเริ่มต้นจาก 0 ว่าเก่งจริง

ซึ่งผมเห็นว่าเป็นความคิดที่ไม่ถูกซะทีเดียว  เพราะหากเราถามว่าอะไรคือต้นทุนจะบอกว่าสติปัญญาคือต้นทุนได้ใช่ไหม

ความรู้ล่ะ นิสัยส่วนตัวเอย ครอบครัวต่างๆ แรงบันดาลใจรวมทั้งเงินทองทรัพย์สินด้วย ...หากจะนับอย่างนี้จะเรียกว่าเริ่มต้นจาก 0 คืออะไร

พระพุทธเจ้ายังเกิดในวรรณะกษัตริย์ไปเรียนสรรพวิชาที่ตักศิลาหมายความว่าพระพุทธเจ้าเก่งไม่จริงอย่างนั้นหรือ

ผมคิดว่าการที่ใครซักคนจะประสบความสำเร็จนั้นย่อมมีต้นทุนเสมอเพื่อให้ได้เปรียบ ผมจะขอยกเฉพาะความได้เปรียบทางการเงินทำธุรกิจหรือการใช้เงินต่อเงินนะ ผมจะขอแยกต้นทุนออกเป็นข้อ ๆ เท่าที่นึกออกหลักๆ

1.ความได้เปรียบทางสติปัญญาโดยกายภาพความพร้อมร่างกาย หรือปฏิภาณไหวพริบ IQ EQ ที่เป็นมาแต่กำเนิดโดยยีนส์และพันธุกรรมอาจโดยการกลายพันธ์คือเก่งกว่าพ่อแม่ หรือเก่งตามพ่อแม่ ตรงนี้ถ้าไม่ปฏิเสธความจริงต้องยอมรับตรง ๆว่าไหวพริบสติปัญญาคนแต่ละคนไม่เท่ากันโดยธรรมชาติ อาจเกี่ยวกับอาหารการกิน ยีนส์หรือเชื้อชาติหรือเหตุอื่น ๆ อันไม่อาจล่วงรู้ได้ซึ่งข้อนี้เจ้าตัวมักไม่สามารถเลือกได้หรือที่เรียกว่าเลือกเกิดเลือกเป็นไม่ค่อยได้นั่นเอง
2.ความรู้ การปลูกฝัง ประสบการณ์ ค่านิยม นิสัย สิ่งนี้รับมาได้เปลี่ยนแปลงได้พัฒนาได้จากภายนอกหรือพัฒนาจากภายในด้วยตัวเราเองก็ได้หากขวนขวาย
3.ต้นทุนทรัพย์สินซึ่งอาจหมายถึงทั้งตัวเงินรวมทั้งที่ดิน

........ผมยกมาแค่สามข้อแต่ละข้อล้วนสัมพันธ์กันไปมา โดยทั่วไปคนเรามักจะมีทุกข้ออยู่ที่จะมากหรือน้อย  คนเราส่วนใหญ่จะมองไม่ออกถึงต้นทุนที่ 1 กับ 2 แต่เจาะจงแค่ต้นทุนที่สามเพราะดูง่ายสุดคือเป็นตัวเลขให้เห็นทีเดียวเลยต้นทุนที่สามนั้นสามารถเป็นศูนย์หรือติดลบยังได้

.....อย่างที่กล่าวข้างต้นแต่ละข้อมักสัมพันธ์กันเช่นการที่มีต้นทุน 1 อาจส่งผลต่อนิสัยบางอย่างให้เกิดต้นทุนที่ 2 มากขึ้นเช่นเวลาเรียนรู้อะไรแล้วเรียนรู้ไวเลยสนุกไม่เบื่อจึงแสวงหาต่อได้ทำให้มีต้นทุน 2 สูง  .........อนึ่งต้องคิดแล้วว่าการที่ลูกคนรวยหรือคนจนคนนึงเกิดมาหมายถึงถ้าเป็นลูกแท้ ๆ เค้าย่อมมีแนวโน้มได้พันธุกรรมจากพ่อแม่หรือบรรพบุรุษที่เป็นยีนส์ใกล้ ๆ กัน นี่คือแนวโน้มส่วนใหญ่นะไม่ได้บอกว่าทั้งหมดเพราะเดี๋ยวต้องมีคนมาบอกว่าไม่จริงหรอกคนนั้นเป็นงั้นเป็นงี้มันมีข้อยกเว้นเสมอแหละ เอาล่ะเมื่อได้รับพันธุกรรมมาแล้วสังคมแวดล้อมก็กลั่นเกลาข้อสองเช่นกันแล้วสังคมแวดล้อมเช่นนั้นเป็นอย่างไรล่ะโดยทั่วไปคนเราก็มักจะเติบโตในสถานการณ์แวดล้อมเดียวกับผู้ถ่ายทอดพันธุกรรมนั่นแหละ

.........''''' คราวนี้มาลองดูสถานการณ์สมมตินะ โดยทั่วไปคนเราถ้ามีแค่ 2 ใน 3 ข้อจากที่ยกมาคือคนจะจะประสบความสำเร็จทางธุรกิจ
1. ลูกคนรวยแต่ 1 น้อย 2 น้อย พ่อแม่มี 3 พ่อแม่เอาสามไปสนับสนุน 2 ทำให้ 2 เพิ่ม เมื่อ 2 เพิ่มก็สามารถเพิ่ม 3 ได้
2.ลูกคนรวยมี 1 มากสองน้อย พ่อแม่ก็เอา 3 ไปเพิ่มสอง สุดท้ายก็มีทั้ง 1.2.3 ที่สูงและศักยภาพสูง
3.ลูกคนจนมี 1 มาก 1 ก็นำมาซึ่ง 2 ได้ไม่ยากเพราะได้เปรียบคน 1 น้อย เมื่อมี 1 และ 2 มาก 3 ก็ตามมาไม่ยาก

.........เราลองสังเกตุคนที่ประสบความสำเร็จจริง ๆ ดูเจ้าสัวธนินทร์พ่อแม่ปู่ย่าตายายเป็นใคร ทำอะไร ??? ทำงานอะไรมาก่อนตอนนี้คนไทยคงไม่มีใครปฏิเสธว่าเจ้าสัวเก่งและหลักแหลมกว่าพวกเราแน่จริงไหมเจ้าสัวมี 1 2 และ 3 ครบถ้วนและมีมาแต่ต้น
......อดีตนายกท่านนึงเกิดมาจากครอบครัวเศรษฐีระดับจังหวัดตอนนี้พวกอาหรับยังยอมรับและขอไปใช้งานก็มี 1 2 และ 3 ครบถ้วน
......เจ้าสัวเฉลียวยากจนมาก่อนแต่เราไม่ปฏิเสธว่าเจ้าสัวเฉลียวมี 1 ที่สูง(พ่อแม่เจ้าสัวก็มี 1 สูงแต่แค่ไม่รวย)และยังมี 2 ที่สูงตามมาและเพิ่มเรื่อย ๆ จนมีทั้ง 1 2 3 ที่สูง
.....สตีฟ จ๊อบเราคงไม่ปฏิเสธว่าเค้ามี 1 ที่สูงจากพ่อเป็นแพทย์เชื้อยิวแต่ยากจนเพราะโดนทิ้ง และหนำซ้ำสังคมมันผลักดันให้เค้ามี 2 ที่สูงจนในที่สุด 3 ก็ตามมา จนมีทั้งสามครบ

............ความจนความรวยมิได้เกี่ยวกับสติปัญญาโดยตรงเสมอแต่ต้องยอมรับว่ามันทำให้เราได้เปรียบเยอะ ไม่อย่างนั้นทำไมชาวมองโกลจากค่าเฉลี่ย IQ สูงพอๆกับคนสิงคโปร์ คนไต้หวัน ฮ่องกง แต่ประเทศเค้ายังยากจนเยอะ แต่มันอยู่ที่ค่านิยมและการเมืองวัฒนธรรมต่าง ๆ ด้วย คนเกาหลีเหนือก็ยากจนข้นแค้นกว่าคนอาหรับเยอะถึงมีจะมีไอคิวเฉลี่ยสูงกว่าคนอาหรับซะอีกก็ตาม

สติปัญญานั้นมันจะมีแนวโน้มได้จากบรรพบุรุษนั่นแหละคือถ้าพ่อแม่ฉลาดมีลูกซักสิบคนซักเจ็ดแปดคนแน่ ๆ ควรจะฉลาด คนฉลาดเลี้ยงลูกอย่างไรนั่นก็อีกเรื่อง ส่วนอีกสามเผื่อไว้สำหรับแตกต่าง  คนโง่มีลูกสิบอาจมีลูกที่ฉลาดหัวไวออกมาซักสองสามคน นี่คือแนวโน้ม ....อนึ่งคนรวยน่ะถ้ารวยจากการทำ"ธุรกิจ"ฉลาดแน่ ๆ แต่คนจนที่ฉลาดแต่ไม่รวยก็มีเยอะนะ ...จากประสบการณ์ส่วนตัวผมเองนี่แหละต้องยอมรับอย่างนึงว่าพวกลูกคนรวย ๆ หรือมีฐานะในระดับนึงในระดับจังหวัดก็ได้ไม่ต้องเอาระดับประเทศพวกลูกคนมีกิจการในตัวเมืองระดับอำเภอจังหวัดทั้งหลายแหล่ ส่วนใหญ่หัวไวนะแต่บางคนอาจถูกสปอยล์จนขี้เกียจก็มี(มิหนำซ้ำพ่อแม่ยังส่งเสริมให้เพิ่ม 2 อีก) แต่ประเภททึ่ม ๆ ก็เคยเจอ(แน่นอนต้องมีอยู่แล้ว) ...ลูกคนจนบ้านนอกชนบทหัวดีก็มีมาเหมือนกัน ....ลองไปดู รร ชั้นนำทั้งสายสามัญสายทหารดูเอาเลย หรือมหาลัยคณะที่เขายาก ๆ ก็จะมีแนวโน้มว่าเป็นแบบไหนและมีข้อยกเว้นจากโดยรวมนั้นด้วย ....แน่นอนว่าพ่อแม่ที่ทำธุรกิจจนรวยเขาจะไม่สอนต้นทุนที่ 2 ให้ลูกเค้าเลยเหรอ

====== ฉะนั้นแล้วนะต่อให้เราเอาต้นทุนเงินมาให้เท่ากันสุดท้ายความแตกต่างของต้นทุนอื่นก็จะทำงานให้เกิดความเหลื่อมล้ำต่อไปอยู่ดีทางที่ดีนะเราต้องยอมรับว่าอย่างไงเสียคนเราไม่ก็ไม่เท่ากันโดยโอกาศและความสามารถ ครอบครัว สมอง เงินทองอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ควรต้องเท่ากันนั่นคือคุณค่ามนุษย์คือความยุติธรรมและอยู่กับความเหลื่อมล้ำตรงนั้นอย่างเอื้อเฟื้อเมตตาหวังดีต่อกันพอ
======ไม่ควรไปกล่าวต่อลูกคนรวยทุกคนเลยว่าเค้ากระจอกสู้คนที่รวยด้วยตัวเองไม่ได้เพราะเราไม่รู้จริงหรอกว่าเค้าขาด 1 หรือไม่ ไม่ใช่ความผิดเค้านี่ที่ไม่มีโอกาศได้เริ่ม 3 จาก 0 เพราะคนที่เริ่ม 3 จาก 0 ก็ไม่ได้มีต้นทุนชีวิต 0 เหมือนที่ทุกคนเข้าใจ

เอาเป็นว่าคนเรานะเมื่อว่ายน้ำได้ไม่ต้องไปสนใจหรอกว่าเพราะพ่อแม่เค้าเป็นนักว่ายน้ำหรือเปล่าแต่ถ้าเค้าว่ายได้ก็คือว่ายได้
อาจมีบางคนเก่งเกินมนุษย์จับโยนลงน้ำครั้งแรกอาจเรียนรู้ที่จะว่ายได้เองเลยก็มีส่วนน้อย และลูกเค้าถ้าไม่ถูกสอนก็อาจทำได้แบบพ่อแม่เค้าก็ได้ ส่วนคนที่ว่ายไม่ได้ก็น่าเห็นใจไม่ว่าด้วยเหตุใดนะ
.....ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องไปด่าเหน็บแนมสิ่งที่ไม่ใช่ความชั่วนะ คนเราจะจนจะรวยจะโง่จะฉลาดถ้าสิ่งนั้นไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนโดยทรุจริตแล้วอย่าไปว่ากันเลยนะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่