สวัสดีค่ะ วันนี้จะขอมารีวิวสถานที่ท่องเที่ยวของมณฑลซานซีให้เพื่อนๆชาวพันทิป ได้มาตามเที่ยวกันนะคะ
ก่อนอื่นเลยต้องบอกว่าสถานที่เที่ยวในทริปนี้ทั้งหมดอยู่ที่มณฑลซานซี Shanxi แต่ไม่ใช่ มณฑลส่านซี Shaanxi นะคะ ยิ่งอธิบายจะยิ่งงงกันไหมค่ะทำไมชื่อมันออกเสียงคล้ายๆกันเลย จริงๆมณฑลส่านซี Shaanxi ที่คนไทยไปเที่ยวกันเยอะๆ และคนไทยมักจะรู้จักก็คือ สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ แต่ไม่ใช่มณฑลที่เราเที่ยวในครั้งนี้คะ และเวลาคนไทยเขียนภาษาอังกฤษกำกับมักจะเขียนเป็น Shanxi ซึ่งผิดมณฑล และทั้งสองมณฑลนี้อยู่ติดกันค่ะ
งั้นมาแยกสองมณฑลนี้ก่อนนะคะ
มณฑลซานซี Shanxi มณฑลมีความหมายจากชื่อว่า มณฑลเทือกเขาทางตะวันตก (คนจีนจะตั้งชื่อมณฑลตามทำเลที่ตั้งค่ะ มณฑลนี้ภูมิประเทศเป็นเทือกเขาเยอะค่ะ) มีเมืองเอกคือเมืองไท่หยวน เราจะไปเที่ยวกันที่นี้ค่ะ ส่วน
มณฑลส่านซี Shaanxi มณฑลมีความหมายจากชื่อว่า มณฑลที่เป็นดินแดนทางฝั่งตะวันตกของเทือกเขา มีเมืองเอกคือเมืองซีอานค่ะ
เมื่อเรากระจ่างในสถานที่ที่จะเที่ยวชมกันแล้วก็ตามมาได้เลยค่ะ
ไฮไลท์ของทริปนี้มีหลายแห่งค่ะ หนึ่งในนั้นคือวัดเสวียนคงซื่อ หรือในชื่อภาษาไทยๆแบบคนไทยตั้งกันเองคือ อารามลอยฟ้า หรือ วัดแขวนริมผา ค่ะ
เราออกเดินทางโดยสายการบินChina Southern Airlines โดยที่จะต้องไปเปลี่ยนเครื่องที่สนามบินกวางเจาก่อน ซึ่งต้องไปรับกระเป๋าแล้วเดินไปโหลดกระเป๋าใหม่ ตอนเช็คอินที่สนามบินสุวรรณภูมิ เจ้าหน้าที่จะให้เราเซ็นต์ชื่อรับทราบว่าจะต้องรับกระเป๋าผ่านศุลกากร และไปโหลดกระเป๋าใหม่ด้วยตัวเอง
มาดูอาหารที่เสริฟ์บนเครื่องของสายการบินChina Southern Airlines เราเลือกเมนูปลาค่ะ ส่วนใหญ่ก็ให้เลือกระหว่างไก่กับปลานะคะ
เมื่อเปลี่ยนเครื่องที่สนามบินกวางเจาแล้วเราก็มาลงที่เมืองต้าถง ซึ่งในอดีตเป็นเมืองเอกของมณฑลซานซีก่อนที่จะย้ายไปเมืองไท่หยวนแทน ใช้เวลาเดินทางเรียกได้ว่าหมดไป 1 วันเต็มๆค่ะ
วันที่สองของการเดินทางรถมารับเราเพื่อเดินทางไปเที่ยวแหล่งท่องเที่ยวซึ่งถือเป็นไฮไลท์ของเมืองต้าถง รถบัสก็ใหม่และทันสมัยดีค่ะเป็นที่สังเกตุว่ารถบัสนำเที่ยวของมณฑลนี้มีบริษัทเดียว ไม่ว่าจะทัวร์ไหนๆก็รถสีแดงลายข้างแบบเดียวกันหมดเลย แต่เป็นที่น่าสังเกตุอีกอย่างคือไม่ค่อยมีคนไทยมาเที่ยวกันเลยค่ะ
จากนั้นเราก็เดินทางมายังถ้ำพุทธศิลป์หยุนกังสือคู ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองต้าถงออกมาใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชม.ค่ะ มาถึงบริเวณด้านหน้าจะเป็นวัดพุทธที่สร้างขึ้นมาใหม่เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ทำบุญกัน
เราไม่ได้เดินเข้าไปดูค่ะ แต่นั่งรถแบตเตอรรี่มาลงที่ ถ้ำพุทธศิลป์หยุนกังสือคู เลยค่ะ
ถ้ำพุทธศิลป์หยุนกังสือคู เริ่มต้นสร้างมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์เป่ยเว่ย โดยได้รับอิทธิพลจากอินเดียดินแดนแหล่งกำเนิดของพุทธศาสนา แท้จริงแล้วศาสนาพุทธเริ่มเข้ามาในประเทศจีนตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่น ซึ่งแหล่งพุทธศิลป์ของเมืองจีนในยุคแรกนั้นจะอยู่ตามเส้นทางสายไหม ถ้ำพุทธศิลป์หยุนกังสือคู และ อีก 3 ถ้ำคือ ถ้ำหินสลักม่อเกา แห่งตุนหวง มณฑลกานซู่ , ถ้ำหินสลักหลงเหมิน แห่งลั่วหยาง มณฑลเหอหนาน และ ถ้ำหินสลักไม่จีซาน แห่งเทียนสุ่ย มณฑลกานซู่ เป็นถ้ำพุทธศิลป์ที่เรียกได้ว่างดงามและใหญ่ที่สุดในประเทศจีน
บริเวณด้านหน้าของถ้ำพุทธศิลป์หยุนกังสือคู มีการสร้างอาคารไม้เพิ่มบริเวณด้านหน้าทางเข้าถ้ำ ซึ่งสร้างในสมัยราชวงศ์ชิง ประมาณ 300 ปี ที่ผ่านมา บริเวณด้านในถ้ำนี้ถือว่ามีความสมบูรณ์สวยงามที่สุดแต่ปัจจุบันทางเจ้าหน้าที่ไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพด้านในค่ะ ซึ่งด้านในถ้ำเป็นการแกะสลักเกี่ยวกับพุทธประวัติ ซึ่งมีหลายเรื่องราวที่ผิดแปลกไปจากศาสนาพุทธแบบเถรวาทที่เราได้เรียนมาค่ะ
เราจะเดินไปชมถ้ำหมายเลข 3 ซึ่งถือว่าเป็นถ้ำที่มีขนาดใหญ่ที่สุด อยู่ทางด้านขวา ภายในถ้ำมีการแกะสลักองค์พระพุทธรูปองค์ใหญ่ พระอมิตาภพุทธะ พระพุทธเจ้าในศาสนาพุทธนิกายมหายาน ร่องรอยที่เห็นเป็นรูนั้นในสมัยก่อน เมื่อการแกะสลักองค์พระพุทธรูปเสร็จแล้วจะมีการนำดินเหนียวมาพอกองค์พระให้สวยงามแต่เมื่อกาลเวลาผ่านมากว่า 1,500 ปี ทำให้ดินหลุดออกมาจึงทำให้องค์พระมีรอยรูดังเช่นที่เห็นในปัจจุบันค่ะ และทั้งสองข้างจะมีการแกะสลักพระโพธิสัตว์ คือ พระสุริยโพธิสัตว์และพระจันทราโพธิสัตว์
จากนั้นเราจะเดินมาทางด้านซ้ายซึ่งเป็นถ้ำพุทธศิลป์ที่สร้างในยุคแรกค่ะ ก่อนที่เราจะเข้ามาด้านในตรงทางเข้าจะมีรูปปั้นพระเถระองค์หนึ่ง คือ พระถานเย่า ซึ่งเป็นผู้ควบคุมและสร้างถ้ำพุทธศิลป์หยุนกังสือคู ซึ่งแต่เดิมเป็นการแกะสลักภายในถ้ำ แต่ปัจจุบันส่วนด้านหน้าได้พังทลาย ทำให้พระพุทธรูปองค์นี้ได้อวดความงดให้พุทธศาสนิกชนได้ชมอย่างเต็มๆตาค่ะ วิธีการแกะสลักองค์พระนั้น จะเริ่มจากด้านบนสุดคือเริ่มแกะจากเศียรพระลงมา เนื่องจากถ้าหากเริ่มแกะจากฐานขึ้นไปคงเป็นการยากในการกำหนดสัดส่วน เมื่อแกะไล่ขึ้นไปอาจจะทำให้ภูเขาทะลุก่อนเสร็จสมบูรณ์ทั้งองค์พระได้ จึงต้องเริ่มจากด้านบนลงมา เพราะหากแกะแล้วยังไม่เป็นองค์พระเต็มองค์ ก็สามารถขุดลงไปในดินได้นั้นเองค่ะ
บริเวณถ้ำหมายเลข 16-20 เมื่อมองย้อนกลับไปค่ะ สมัยโบราณที่ผ่านมากว่า 1,500 ปี คงไม่มีเครื่องมือที่ทันสมัยใดๆในการช่วย หากแต่มีเพียงแค่จิตใจและพลังแห่งความศรัทธาเท่านั้น จึงจะสร้างสรรค์ผลงานทางพุทธศิลป์ที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้ ระหว่างเวลาในการสร้างกลุ่มถ้ำพุทธศิลป์หยุนกังสือคู นั้นใช้เวลาประมาณ 50 ปี จึงแล้วเสร็จค่ะ
จากนั้นเราก็นั่งรถแบตเตอรรี่กลับมาขึ้นรถบัส ยอมรับเรื่องการจัดสรรค์แหล่งท่องเที่ยวของมณฑลนี้นะคะ ปัจจุบัน จากทางเข้าไปจนถึงบริเวณที่เข้าชมแหล่งท่องเที่ยวของที่ถ้ำพุทธศิลป์หยุนกังสือคู นั้นจะไม่มีร้านค้าหรือแม่ค้ามาดึงมากวนใจให้เลือกซื้อของเลย แต่เมื่อเราเที่ยวชมเสร็จแล้วทางออกจะเต็มไปด้วยร้านค้าค่ะ ซึ่งส่วนตัวเราว่าดีมากเลยนะคะ เพราะน่าจะให้เราได้เที่ยวชมจนอิ่มใจแล้วค่อยออกมาซื้อของที่ระลึกมากกว่า
แล้วเราก็เดินทางกลับมายังเมืองต้าถง เราเที่ยวกันที่กำแพงเก้ามังกรซึ่งสร้างขึ้นสมัยราชวงศ์หมิง อายุกว่า 600 ปี ปัจจุบันเป็นเพียงสวนสาธารณะเล็กๆค่ะเดินเข้าไปเป็นกำแพง 9 มังกร เลย กำแพงนี้รอดพ้นจากเหตุกาลปฏิวัติวัฒนธรรมในจีนได้เพราะมีการนำดินมาพอกทับไว้แล้วเขียนยกย่องประเธาน เหมาเจ๋อตง ทำให้ไม่มีใครทำลายกำแพงเก้ามังกรแห่งนี้ค่ะ
จากนั้นเราก็ไปเที่ยวชมวัดเก่าแก่ในเมืองต้าถงกันต่อที่วัดหัวเหยียน ซึ่งด้านนอกฝั่งตรงข้ามวัด ทางการเมืองต้าถงตั้งใจสร้างเป็นแหล่งการค้าช้อปปิ้งขนาดใหญ่โดยสร้างอาคารแบบโบราณให้กลมกลืนกับโบราณสถาน แต่เป็นที่น่าเสียดายค่ะ ไม่ประสบความสำเร็จจึงเงียบเหงาดั่งที่เห็นในรูปนั้นเองค่ะ
แล้วเราก็เข้าชมด้านในวัดหัวเหยียน กันค่ะ ค่าเข้าชมประมาณ 80 หยวน หรือ 400 บาท ซึ่งค่าเข้าชมแหล่งท่องเที่ยวจีนจะมีราคาค่อนข้างสูงค่ะ เพราะงบประมาณในการบำรุงรักษาโบราณสถานและแหล่งท่องเที่ยวต้องใช้งบประมาณจำนวนมากนั้นเองค่ะ
วัดหัวเหยียนสร้างขึ้นในช่วงราชวงศ์เหลียว (ค.ศ. 907 - 1125) มีอายุราว 1,000 ปี และมีการบูรณะต่อกันเรื่อยมากในสมัยราชวงศ์จิน นอกจากนี้ภาพเขียนสีภายในวัดเป็นการสร้างในสมัยราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง
องค์กลางคือพระอมิตาภพุทธะ ส่วนทางด้านขวาคือพระมัญชุศรีโพธิสัตว์ และด้านซ้ายคือพระสมันตภัทรโพธิสัตว์
นอกจากนี้ภายในวัดหัวเหยียน ยังมีพระพุทธรูปแกะสลักจากไม้หอม
พอเราออกมาบริเวณข้างวัดหัวเหยียนจะมีร้านค้าขายเสื้อผ้าแบรด์ของจีนหลายร้านให้เดินเล่นช้อปปิ้งกันได้เต็มที่เลยค่ะ
แล้วเราก็เข้าโรงแรมที่พักกันที่ Hong'an International Hotel มาดูโรงแรมที่พักกันค่ะ
ในโรงแรมมีคอมพิวเตอร์ให้ด้วย แต่เมื่อลองเปิดดูแล้วก็... เล่นไม่ได้เพราะมันมีแต่ภาษาจีนค่ะ 555
ห้องน้ำภายในห้องพักค่ะ สิ่งอำนวยความสะดวกครบครันดีค่ะ
วันที่สามเราออกเดินทางจากเมืองต้าถง เดินไปอู่ไถซาน ระหว่างทางเราจะแวะเที่ยวกันที่เจดีย์วัดฝอกง ซึ่งด้านหน้าทางเข้าก่อนถึงวัดจะมีร้านค้าเต็มไปหมดเลยค่ะ ส่วนใหญ่จำหน่ายรูปสลักของเทพเจ้าต่างๆ และเจดีย์วัดฝอกง แกะสลักจากไม้ขนาดเล็กเพื่อเป็นของที่ระลึกค่ะ
เจดีย์วัดฝอกง ตั้งอยู่ในอำเภอหยิงเซียน มณฑลซานซี บางครั้งเรียกว่า เจดีย์หยิงเซียน เป็นเจดีย์ที่สร้างด้วยไม้ โดยสร้างแบบศิลปะจีน สร้างในสมัยราชวงศ์เหลียว โดยสร้างในสมัยจักรพรรดิเหลียวต้าวจง ประมาณ ค.ศ. 1056 ซึ่งได้รอดจากความเสียหายของแผ่นดินไหวขนาดใหญ่หลายครั้ง
ด้านหน้าทางเข้าเป็นพระโพธิสัตว์กวนอิม
องค์เจดีย์รูปทรง 8 เหลี่ยม สร้างบนฐานหินสูง 4 เมตร ซึ่งมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 30.27 เมตร สูง 67.31 เมตร (เทียบเท่ากับตึกสูง 20 ชั้น) มีชายคาทั้งสิ้น 6 ชั้น ปัจจุบันไม่อนุญาตให้ขึ้นชมด้านบนเนื่องจากองค์เจดีย์เริ่มเอียง
แล้วเราก็เดินทางต่อไปยังไฮไลท์ของทริปนี้ นั้นคือ เสวียนคงซื่อ
วัดเสวียนคงซื่อสร้างขึ้นครั้งแรกในช่วงปลายราชวงศ์เป่ยเว่ย ศาสนาสถานที่ผสมความเชื่อทางลัทธิเต๋า ลัทธิขงจื๊อและพุทธศาสนาเข้าไว้ด้วยกัน อายุกว่า 1,500 ปี ประมาณปี ค.ศ. 400-500 สร้างแขวนอยู่ที่เขาเหิงซาน
โดยการใช้เสาไม้ค้ำยันที่รับน้ำหนักของวัด เจาะทะลุเข้าไปในผาหิน ภายในประกอบด้วยห้องใหญ่น้อย 40 ห้อง
การเดินชมนั้นต้องใช้ความระมัดระวังเพราะวัดมีพื้นที่ขนาดเล็กสามารถเดินได้ทีละคน แต่มีความยาว แต่ละห้องจะประดิษฐานเทพเจ้าตามความเชื่อลัทธิเต๋า ลัทธิขงจื๊อและพุทธศาสนา
จากนั้นเราก็เดินทางต่อสู่อู่ไถซาน เพื่อพักผ่อนเอาแรงกันก่อน โดยคือนี้เราจะพักกันที่ Wutaishan Wufeng Hotel
โรงแรมWutaishan Wufeng Hotel นี้ตั้งอยู่ภายในอู่ไถซานเลยค่ะ อากาศหนาวเย็นสบายมากๆ และห้องพักก็สวยใหญ่มากค่ะ
เดี๋ยวมาต่อกันนะคะ
[CR] Review เจาะลึกมณฑลซานซี ร่องรอยแห่งพุทธศิลป์ หยุนกังสือคู เสวียนคงซื่อ อู่ไถซาน เมืองโบราณผิงเหยา
ก่อนอื่นเลยต้องบอกว่าสถานที่เที่ยวในทริปนี้ทั้งหมดอยู่ที่มณฑลซานซี Shanxi แต่ไม่ใช่ มณฑลส่านซี Shaanxi นะคะ ยิ่งอธิบายจะยิ่งงงกันไหมค่ะทำไมชื่อมันออกเสียงคล้ายๆกันเลย จริงๆมณฑลส่านซี Shaanxi ที่คนไทยไปเที่ยวกันเยอะๆ และคนไทยมักจะรู้จักก็คือ สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ แต่ไม่ใช่มณฑลที่เราเที่ยวในครั้งนี้คะ และเวลาคนไทยเขียนภาษาอังกฤษกำกับมักจะเขียนเป็น Shanxi ซึ่งผิดมณฑล และทั้งสองมณฑลนี้อยู่ติดกันค่ะ
งั้นมาแยกสองมณฑลนี้ก่อนนะคะ
มณฑลซานซี Shanxi มณฑลมีความหมายจากชื่อว่า มณฑลเทือกเขาทางตะวันตก (คนจีนจะตั้งชื่อมณฑลตามทำเลที่ตั้งค่ะ มณฑลนี้ภูมิประเทศเป็นเทือกเขาเยอะค่ะ) มีเมืองเอกคือเมืองไท่หยวน เราจะไปเที่ยวกันที่นี้ค่ะ ส่วน
มณฑลส่านซี Shaanxi มณฑลมีความหมายจากชื่อว่า มณฑลที่เป็นดินแดนทางฝั่งตะวันตกของเทือกเขา มีเมืองเอกคือเมืองซีอานค่ะ
เมื่อเรากระจ่างในสถานที่ที่จะเที่ยวชมกันแล้วก็ตามมาได้เลยค่ะ
ไฮไลท์ของทริปนี้มีหลายแห่งค่ะ หนึ่งในนั้นคือวัดเสวียนคงซื่อ หรือในชื่อภาษาไทยๆแบบคนไทยตั้งกันเองคือ อารามลอยฟ้า หรือ วัดแขวนริมผา ค่ะ
เราออกเดินทางโดยสายการบินChina Southern Airlines โดยที่จะต้องไปเปลี่ยนเครื่องที่สนามบินกวางเจาก่อน ซึ่งต้องไปรับกระเป๋าแล้วเดินไปโหลดกระเป๋าใหม่ ตอนเช็คอินที่สนามบินสุวรรณภูมิ เจ้าหน้าที่จะให้เราเซ็นต์ชื่อรับทราบว่าจะต้องรับกระเป๋าผ่านศุลกากร และไปโหลดกระเป๋าใหม่ด้วยตัวเอง
มาดูอาหารที่เสริฟ์บนเครื่องของสายการบินChina Southern Airlines เราเลือกเมนูปลาค่ะ ส่วนใหญ่ก็ให้เลือกระหว่างไก่กับปลานะคะ
เมื่อเปลี่ยนเครื่องที่สนามบินกวางเจาแล้วเราก็มาลงที่เมืองต้าถง ซึ่งในอดีตเป็นเมืองเอกของมณฑลซานซีก่อนที่จะย้ายไปเมืองไท่หยวนแทน ใช้เวลาเดินทางเรียกได้ว่าหมดไป 1 วันเต็มๆค่ะ
วันที่สองของการเดินทางรถมารับเราเพื่อเดินทางไปเที่ยวแหล่งท่องเที่ยวซึ่งถือเป็นไฮไลท์ของเมืองต้าถง รถบัสก็ใหม่และทันสมัยดีค่ะเป็นที่สังเกตุว่ารถบัสนำเที่ยวของมณฑลนี้มีบริษัทเดียว ไม่ว่าจะทัวร์ไหนๆก็รถสีแดงลายข้างแบบเดียวกันหมดเลย แต่เป็นที่น่าสังเกตุอีกอย่างคือไม่ค่อยมีคนไทยมาเที่ยวกันเลยค่ะ
จากนั้นเราก็เดินทางมายังถ้ำพุทธศิลป์หยุนกังสือคู ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองต้าถงออกมาใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชม.ค่ะ มาถึงบริเวณด้านหน้าจะเป็นวัดพุทธที่สร้างขึ้นมาใหม่เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ทำบุญกัน
เราไม่ได้เดินเข้าไปดูค่ะ แต่นั่งรถแบตเตอรรี่มาลงที่ ถ้ำพุทธศิลป์หยุนกังสือคู เลยค่ะ
ถ้ำพุทธศิลป์หยุนกังสือคู เริ่มต้นสร้างมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์เป่ยเว่ย โดยได้รับอิทธิพลจากอินเดียดินแดนแหล่งกำเนิดของพุทธศาสนา แท้จริงแล้วศาสนาพุทธเริ่มเข้ามาในประเทศจีนตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่น ซึ่งแหล่งพุทธศิลป์ของเมืองจีนในยุคแรกนั้นจะอยู่ตามเส้นทางสายไหม ถ้ำพุทธศิลป์หยุนกังสือคู และ อีก 3 ถ้ำคือ ถ้ำหินสลักม่อเกา แห่งตุนหวง มณฑลกานซู่ , ถ้ำหินสลักหลงเหมิน แห่งลั่วหยาง มณฑลเหอหนาน และ ถ้ำหินสลักไม่จีซาน แห่งเทียนสุ่ย มณฑลกานซู่ เป็นถ้ำพุทธศิลป์ที่เรียกได้ว่างดงามและใหญ่ที่สุดในประเทศจีน
บริเวณด้านหน้าของถ้ำพุทธศิลป์หยุนกังสือคู มีการสร้างอาคารไม้เพิ่มบริเวณด้านหน้าทางเข้าถ้ำ ซึ่งสร้างในสมัยราชวงศ์ชิง ประมาณ 300 ปี ที่ผ่านมา บริเวณด้านในถ้ำนี้ถือว่ามีความสมบูรณ์สวยงามที่สุดแต่ปัจจุบันทางเจ้าหน้าที่ไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพด้านในค่ะ ซึ่งด้านในถ้ำเป็นการแกะสลักเกี่ยวกับพุทธประวัติ ซึ่งมีหลายเรื่องราวที่ผิดแปลกไปจากศาสนาพุทธแบบเถรวาทที่เราได้เรียนมาค่ะ
เราจะเดินไปชมถ้ำหมายเลข 3 ซึ่งถือว่าเป็นถ้ำที่มีขนาดใหญ่ที่สุด อยู่ทางด้านขวา ภายในถ้ำมีการแกะสลักองค์พระพุทธรูปองค์ใหญ่ พระอมิตาภพุทธะ พระพุทธเจ้าในศาสนาพุทธนิกายมหายาน ร่องรอยที่เห็นเป็นรูนั้นในสมัยก่อน เมื่อการแกะสลักองค์พระพุทธรูปเสร็จแล้วจะมีการนำดินเหนียวมาพอกองค์พระให้สวยงามแต่เมื่อกาลเวลาผ่านมากว่า 1,500 ปี ทำให้ดินหลุดออกมาจึงทำให้องค์พระมีรอยรูดังเช่นที่เห็นในปัจจุบันค่ะ และทั้งสองข้างจะมีการแกะสลักพระโพธิสัตว์ คือ พระสุริยโพธิสัตว์และพระจันทราโพธิสัตว์
จากนั้นเราจะเดินมาทางด้านซ้ายซึ่งเป็นถ้ำพุทธศิลป์ที่สร้างในยุคแรกค่ะ ก่อนที่เราจะเข้ามาด้านในตรงทางเข้าจะมีรูปปั้นพระเถระองค์หนึ่ง คือ พระถานเย่า ซึ่งเป็นผู้ควบคุมและสร้างถ้ำพุทธศิลป์หยุนกังสือคู ซึ่งแต่เดิมเป็นการแกะสลักภายในถ้ำ แต่ปัจจุบันส่วนด้านหน้าได้พังทลาย ทำให้พระพุทธรูปองค์นี้ได้อวดความงดให้พุทธศาสนิกชนได้ชมอย่างเต็มๆตาค่ะ วิธีการแกะสลักองค์พระนั้น จะเริ่มจากด้านบนสุดคือเริ่มแกะจากเศียรพระลงมา เนื่องจากถ้าหากเริ่มแกะจากฐานขึ้นไปคงเป็นการยากในการกำหนดสัดส่วน เมื่อแกะไล่ขึ้นไปอาจจะทำให้ภูเขาทะลุก่อนเสร็จสมบูรณ์ทั้งองค์พระได้ จึงต้องเริ่มจากด้านบนลงมา เพราะหากแกะแล้วยังไม่เป็นองค์พระเต็มองค์ ก็สามารถขุดลงไปในดินได้นั้นเองค่ะ
บริเวณถ้ำหมายเลข 16-20 เมื่อมองย้อนกลับไปค่ะ สมัยโบราณที่ผ่านมากว่า 1,500 ปี คงไม่มีเครื่องมือที่ทันสมัยใดๆในการช่วย หากแต่มีเพียงแค่จิตใจและพลังแห่งความศรัทธาเท่านั้น จึงจะสร้างสรรค์ผลงานทางพุทธศิลป์ที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้ ระหว่างเวลาในการสร้างกลุ่มถ้ำพุทธศิลป์หยุนกังสือคู นั้นใช้เวลาประมาณ 50 ปี จึงแล้วเสร็จค่ะ
จากนั้นเราก็นั่งรถแบตเตอรรี่กลับมาขึ้นรถบัส ยอมรับเรื่องการจัดสรรค์แหล่งท่องเที่ยวของมณฑลนี้นะคะ ปัจจุบัน จากทางเข้าไปจนถึงบริเวณที่เข้าชมแหล่งท่องเที่ยวของที่ถ้ำพุทธศิลป์หยุนกังสือคู นั้นจะไม่มีร้านค้าหรือแม่ค้ามาดึงมากวนใจให้เลือกซื้อของเลย แต่เมื่อเราเที่ยวชมเสร็จแล้วทางออกจะเต็มไปด้วยร้านค้าค่ะ ซึ่งส่วนตัวเราว่าดีมากเลยนะคะ เพราะน่าจะให้เราได้เที่ยวชมจนอิ่มใจแล้วค่อยออกมาซื้อของที่ระลึกมากกว่า
แล้วเราก็เดินทางกลับมายังเมืองต้าถง เราเที่ยวกันที่กำแพงเก้ามังกรซึ่งสร้างขึ้นสมัยราชวงศ์หมิง อายุกว่า 600 ปี ปัจจุบันเป็นเพียงสวนสาธารณะเล็กๆค่ะเดินเข้าไปเป็นกำแพง 9 มังกร เลย กำแพงนี้รอดพ้นจากเหตุกาลปฏิวัติวัฒนธรรมในจีนได้เพราะมีการนำดินมาพอกทับไว้แล้วเขียนยกย่องประเธาน เหมาเจ๋อตง ทำให้ไม่มีใครทำลายกำแพงเก้ามังกรแห่งนี้ค่ะ
จากนั้นเราก็ไปเที่ยวชมวัดเก่าแก่ในเมืองต้าถงกันต่อที่วัดหัวเหยียน ซึ่งด้านนอกฝั่งตรงข้ามวัด ทางการเมืองต้าถงตั้งใจสร้างเป็นแหล่งการค้าช้อปปิ้งขนาดใหญ่โดยสร้างอาคารแบบโบราณให้กลมกลืนกับโบราณสถาน แต่เป็นที่น่าเสียดายค่ะ ไม่ประสบความสำเร็จจึงเงียบเหงาดั่งที่เห็นในรูปนั้นเองค่ะ
แล้วเราก็เข้าชมด้านในวัดหัวเหยียน กันค่ะ ค่าเข้าชมประมาณ 80 หยวน หรือ 400 บาท ซึ่งค่าเข้าชมแหล่งท่องเที่ยวจีนจะมีราคาค่อนข้างสูงค่ะ เพราะงบประมาณในการบำรุงรักษาโบราณสถานและแหล่งท่องเที่ยวต้องใช้งบประมาณจำนวนมากนั้นเองค่ะ
วัดหัวเหยียนสร้างขึ้นในช่วงราชวงศ์เหลียว (ค.ศ. 907 - 1125) มีอายุราว 1,000 ปี และมีการบูรณะต่อกันเรื่อยมากในสมัยราชวงศ์จิน นอกจากนี้ภาพเขียนสีภายในวัดเป็นการสร้างในสมัยราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง
องค์กลางคือพระอมิตาภพุทธะ ส่วนทางด้านขวาคือพระมัญชุศรีโพธิสัตว์ และด้านซ้ายคือพระสมันตภัทรโพธิสัตว์
นอกจากนี้ภายในวัดหัวเหยียน ยังมีพระพุทธรูปแกะสลักจากไม้หอม
พอเราออกมาบริเวณข้างวัดหัวเหยียนจะมีร้านค้าขายเสื้อผ้าแบรด์ของจีนหลายร้านให้เดินเล่นช้อปปิ้งกันได้เต็มที่เลยค่ะ
แล้วเราก็เข้าโรงแรมที่พักกันที่ Hong'an International Hotel มาดูโรงแรมที่พักกันค่ะ
ในโรงแรมมีคอมพิวเตอร์ให้ด้วย แต่เมื่อลองเปิดดูแล้วก็... เล่นไม่ได้เพราะมันมีแต่ภาษาจีนค่ะ 555
ห้องน้ำภายในห้องพักค่ะ สิ่งอำนวยความสะดวกครบครันดีค่ะ
วันที่สามเราออกเดินทางจากเมืองต้าถง เดินไปอู่ไถซาน ระหว่างทางเราจะแวะเที่ยวกันที่เจดีย์วัดฝอกง ซึ่งด้านหน้าทางเข้าก่อนถึงวัดจะมีร้านค้าเต็มไปหมดเลยค่ะ ส่วนใหญ่จำหน่ายรูปสลักของเทพเจ้าต่างๆ และเจดีย์วัดฝอกง แกะสลักจากไม้ขนาดเล็กเพื่อเป็นของที่ระลึกค่ะ
เจดีย์วัดฝอกง ตั้งอยู่ในอำเภอหยิงเซียน มณฑลซานซี บางครั้งเรียกว่า เจดีย์หยิงเซียน เป็นเจดีย์ที่สร้างด้วยไม้ โดยสร้างแบบศิลปะจีน สร้างในสมัยราชวงศ์เหลียว โดยสร้างในสมัยจักรพรรดิเหลียวต้าวจง ประมาณ ค.ศ. 1056 ซึ่งได้รอดจากความเสียหายของแผ่นดินไหวขนาดใหญ่หลายครั้ง
ด้านหน้าทางเข้าเป็นพระโพธิสัตว์กวนอิม
องค์เจดีย์รูปทรง 8 เหลี่ยม สร้างบนฐานหินสูง 4 เมตร ซึ่งมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 30.27 เมตร สูง 67.31 เมตร (เทียบเท่ากับตึกสูง 20 ชั้น) มีชายคาทั้งสิ้น 6 ชั้น ปัจจุบันไม่อนุญาตให้ขึ้นชมด้านบนเนื่องจากองค์เจดีย์เริ่มเอียง
แล้วเราก็เดินทางต่อไปยังไฮไลท์ของทริปนี้ นั้นคือ เสวียนคงซื่อ
วัดเสวียนคงซื่อสร้างขึ้นครั้งแรกในช่วงปลายราชวงศ์เป่ยเว่ย ศาสนาสถานที่ผสมความเชื่อทางลัทธิเต๋า ลัทธิขงจื๊อและพุทธศาสนาเข้าไว้ด้วยกัน อายุกว่า 1,500 ปี ประมาณปี ค.ศ. 400-500 สร้างแขวนอยู่ที่เขาเหิงซาน
โดยการใช้เสาไม้ค้ำยันที่รับน้ำหนักของวัด เจาะทะลุเข้าไปในผาหิน ภายในประกอบด้วยห้องใหญ่น้อย 40 ห้อง
การเดินชมนั้นต้องใช้ความระมัดระวังเพราะวัดมีพื้นที่ขนาดเล็กสามารถเดินได้ทีละคน แต่มีความยาว แต่ละห้องจะประดิษฐานเทพเจ้าตามความเชื่อลัทธิเต๋า ลัทธิขงจื๊อและพุทธศาสนา
จากนั้นเราก็เดินทางต่อสู่อู่ไถซาน เพื่อพักผ่อนเอาแรงกันก่อน โดยคือนี้เราจะพักกันที่ Wutaishan Wufeng Hotel
โรงแรมWutaishan Wufeng Hotel นี้ตั้งอยู่ภายในอู่ไถซานเลยค่ะ อากาศหนาวเย็นสบายมากๆ และห้องพักก็สวยใหญ่มากค่ะ
เดี๋ยวมาต่อกันนะคะ
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น