จาก link :
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1428391390
จากการที่ ได้มีการออกกฎหมายใหม่ในการเก็บภาษีคณะบุคคล ทำให้บุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปที่ตกลงทำกิจการ
ร่วมกันเพื่อแบ่งกำไรไม่ว่าจะทำเป็นหนังสือหรือตกลงด้วยวาจาก็ตาม เช่น แม่ลูกเปิดบัญชีเงินฝากธนาคารร่วมกัน,
พี่น้องขาย/ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ที่มีชื่อในโฉนดร่วมกัน รวมถึงกรณีขายอสังหาริมทรัพย์ที่มีชื่อในโฉนดร่วมกัน
ที่ได้รับมาทางมรดก อาจต้องเสียภาษีตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.149/2558 ซึ่งจะทำให้เกิดการเก็บภาษี 2 เด้ง
คือที่ คณะบุคลล 1 เด้งและ ที่บุคคลในคณะบุคคลอีกหนึ่งเด้ง ทำให้ การขายอสังหาริมทรัพย์ ตามตัวอย่างที่ยก
มาจาก มติชน ออนไลน์ วันที่ 7 เม.ย. 2558 การเสียแบบใหม่จะมีภาระภาษีเพิ่มขี้นอีกประมาณ 10 เท่า
คือจาก 200,000 บาท เป็น 2,027,000 – 2,892,500 บาท
ผมก็เลยเกิดความสงสัยว่าจริงหรือไม่ เพราะเห็นยอดภาษีแล้วแทบเป็นลม (ขาย 8.0 ล้านบาทเก็บภาษี
2 ล้านกว่าบาท) ก็เลยลองเช็คไปที่กรมที่ดิน กรมที่ดินก็บอกว่ายังเก็บแบบเดิม คือ 200,000 บาท สอบถาม
ไปที่สรรพากรพื้นที่ก็ไม่ได้คำตอบ ก็เลยอยากสอบถามว่าผู้รู้ใน pantip ว่า เสียแบบนี้จริงหรือไม่ และถ้าจริง
ที่ดินหรืออาคารที่เป็นกรรมสิทธิ์ร่วมที่ขายที่ไปหลังวันที่ 1 ม.ค. 58 จะต้องนำเงินไปเสียที่กรมสรรพากรอีกครั้งหรือ
ไม่ เพราะเจ้าพนักงานที่ดินก็ยังไม่ทราบ แล้วจะให้ประชาชนทราบกันเองหรือ ถ้าไม่ไปเสียอีกปีหรือสองปี
สรรพากรไปตรวจแล้วมีเบี้ยปรับเงินเพิ่มเข้าไปอีก แล้วจะผู้เสียภาษีจะมีเงินจ่ายหรือ?
นอกจากนี้คนไทยทั่ว เวลายกที่ดินให้ลูกหลานก็ใส่ชื่อร่วมกันเกือบทั้งนั้น ทั้งประเทศอาจจะ
มีเกิน 1,000,000 แปลง เลยสงสัยว่าถ้าจริงก็น่าจะกระทบคนจำนวนมากพอสมควร ทำไมถึงไม่มีการ
ประชาสัมพันธ์กันเลย
สุดท้าย ผมสงสัยตรรกะวิธีคิดภาษีคณะบุคคลของกรมสรรพากร กล่าวคือ ถ้าสมมติเปลี่ยนเป็นว่า ทายาทคนเดียว
รับมรดก กลายเป็นว่าภาษีที่เสียทั้งหมดจะเหลือประมาณ 400,000 บาท ไม่ใช่ สองล้านกว่าบาท เนื่องจากถือว่า
ไม่ใช่คณะบุคคล แต่อีกบ้านหนึ่งมีลูก 2 คน ยกมรดกให้ลูกทั้งสอง กลายเป็นเสียภาษีแพงกว่าหลายเท่าเพราะ
สรรพากรออกกฎหมายมาใหม่ถือว่าเป็นคณะบุคคล ผมละงงจริงๆ ของสิ่งเดียวกัน เป็นมรดกเหมือนกัน
ต่างกันที่จำนวนลูก กลายเป็นว่าถ้ามีลูกสองคนขึ้นไปก็ซวยเพราะไปออกกฎหมายบังคับให้เป็นคณะบุคคล
ทั้งๆที่ได้เป็นมรดกมา 10 ปีแล้ว ดูไปก็เหมือนออกกฎหมายย้อนหลัง
ขายที่ดินที่รับมรดกมาเป็นกรรมสิทธิ์ร่วม มีโอกาสโดนภาษี 2 เด้งหรือไม่
จาก link : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1428391390
จากการที่ ได้มีการออกกฎหมายใหม่ในการเก็บภาษีคณะบุคคล ทำให้บุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปที่ตกลงทำกิจการ
ร่วมกันเพื่อแบ่งกำไรไม่ว่าจะทำเป็นหนังสือหรือตกลงด้วยวาจาก็ตาม เช่น แม่ลูกเปิดบัญชีเงินฝากธนาคารร่วมกัน,
พี่น้องขาย/ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ที่มีชื่อในโฉนดร่วมกัน รวมถึงกรณีขายอสังหาริมทรัพย์ที่มีชื่อในโฉนดร่วมกัน
ที่ได้รับมาทางมรดก อาจต้องเสียภาษีตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.149/2558 ซึ่งจะทำให้เกิดการเก็บภาษี 2 เด้ง
คือที่ คณะบุคลล 1 เด้งและ ที่บุคคลในคณะบุคคลอีกหนึ่งเด้ง ทำให้ การขายอสังหาริมทรัพย์ ตามตัวอย่างที่ยก
มาจาก มติชน ออนไลน์ วันที่ 7 เม.ย. 2558 การเสียแบบใหม่จะมีภาระภาษีเพิ่มขี้นอีกประมาณ 10 เท่า
คือจาก 200,000 บาท เป็น 2,027,000 – 2,892,500 บาท
ผมก็เลยเกิดความสงสัยว่าจริงหรือไม่ เพราะเห็นยอดภาษีแล้วแทบเป็นลม (ขาย 8.0 ล้านบาทเก็บภาษี
2 ล้านกว่าบาท) ก็เลยลองเช็คไปที่กรมที่ดิน กรมที่ดินก็บอกว่ายังเก็บแบบเดิม คือ 200,000 บาท สอบถาม
ไปที่สรรพากรพื้นที่ก็ไม่ได้คำตอบ ก็เลยอยากสอบถามว่าผู้รู้ใน pantip ว่า เสียแบบนี้จริงหรือไม่ และถ้าจริง
ที่ดินหรืออาคารที่เป็นกรรมสิทธิ์ร่วมที่ขายที่ไปหลังวันที่ 1 ม.ค. 58 จะต้องนำเงินไปเสียที่กรมสรรพากรอีกครั้งหรือ
ไม่ เพราะเจ้าพนักงานที่ดินก็ยังไม่ทราบ แล้วจะให้ประชาชนทราบกันเองหรือ ถ้าไม่ไปเสียอีกปีหรือสองปี
สรรพากรไปตรวจแล้วมีเบี้ยปรับเงินเพิ่มเข้าไปอีก แล้วจะผู้เสียภาษีจะมีเงินจ่ายหรือ?
นอกจากนี้คนไทยทั่ว เวลายกที่ดินให้ลูกหลานก็ใส่ชื่อร่วมกันเกือบทั้งนั้น ทั้งประเทศอาจจะ
มีเกิน 1,000,000 แปลง เลยสงสัยว่าถ้าจริงก็น่าจะกระทบคนจำนวนมากพอสมควร ทำไมถึงไม่มีการ
ประชาสัมพันธ์กันเลย
สุดท้าย ผมสงสัยตรรกะวิธีคิดภาษีคณะบุคคลของกรมสรรพากร กล่าวคือ ถ้าสมมติเปลี่ยนเป็นว่า ทายาทคนเดียว
รับมรดก กลายเป็นว่าภาษีที่เสียทั้งหมดจะเหลือประมาณ 400,000 บาท ไม่ใช่ สองล้านกว่าบาท เนื่องจากถือว่า
ไม่ใช่คณะบุคคล แต่อีกบ้านหนึ่งมีลูก 2 คน ยกมรดกให้ลูกทั้งสอง กลายเป็นเสียภาษีแพงกว่าหลายเท่าเพราะ
สรรพากรออกกฎหมายมาใหม่ถือว่าเป็นคณะบุคคล ผมละงงจริงๆ ของสิ่งเดียวกัน เป็นมรดกเหมือนกัน
ต่างกันที่จำนวนลูก กลายเป็นว่าถ้ามีลูกสองคนขึ้นไปก็ซวยเพราะไปออกกฎหมายบังคับให้เป็นคณะบุคคล
ทั้งๆที่ได้เป็นมรดกมา 10 ปีแล้ว ดูไปก็เหมือนออกกฎหมายย้อนหลัง