เมื่อ ๕๐ ปีก่อน พม่าและฟิลิปปินส์เคยถูกจับตามองว่าจะเป็นเสือเศรษฐกิจตัวต่อไปของเอเชียตะวันออกตามหลังญี่ปุ่น
แต่ทุกวันนี้ความฝันนั้นก็ยังเลือนราง สิบปีต่อมาบราซิลได้รับการคาดหมายว่าจะเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงที่สุดในบรรดา
ประเทศกำลังพัฒนา แต่แล้วก็กลับอับแสงลงไป จวบจนเมื่อ ๓๕ ปีมานี้เอง ซีไอเอยังคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของ
สหภาพโซเวียตอาจล้ำหน้าสหรัฐอเมริกาใน ทศวรรษต่อไปด้วยซ้ำ แต่หลังจากนั้นไม่ถึง ๒ ทศวรรษ
สหภาพโซเวียตก็หายไปจากแผนที่โลก
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นการคาดการณ์ของผู้เชี่ยวชาญผู้มากด้วยข้อมูลและ ประสบการณ์
แต่ก็เช่นเดียวกับปุถุชนทั้งหลาย นักปราชญ์ย่อมพลาดพลั้งได้เสมอ ในขณะที่โลกจับตามองพม่า ฟิลิปปินส์ และบราซิลนั้น
ไม่มีใครคาดคิดว่าสิงคโปร์ เกาหลีใต้ หรือไต้หวันจะกลายเป็นประเทศที่เจริญรุดหน้าทางเศรษฐกิจอย่างทุกวันนี้
แม้แต่ลีกวนยิวเอง เมื่อแรกเป็นนายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ก็ยังยอมรับว่าเพียงแค่การนำประเทศให้ ไปรอดได้ก็เป็นเรื่องยากอย่างยิ่ง
เพราะทั้งเกาะไม่มีทรัพยากรธรรมชาติที่จะส่งออกเลย แถมคนว่างงานก็มีสูงถึง ๑๔ เปอร์เซ็นต์
ส่วนเกาหลีใต้ก็เต็มไปด้วยคนยากจน คนหิวโหยมีมากมายเพราะบ้านเมืองเพิ่งฟื้นจากสงคราม
ขณะที่การเมืองเต็มไปด้วยความวุ่นวายระส่ำระสาย
การคาดการณ์อนาคตนั้นแม้จะออกมาจากมันสมองของผู้เชี่ยวชาญก็มีโอกาสผิดได้เสมอ
เพราะนอกจากมนุษย์จะมีขีดจำกัดในการรับรู้และวิเคราะห์แล้ว อนาคตยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
มีเหตุปัจจัยต่างๆ ที่พร้อมจะผันแปรได้ตลอดเวลา ดังนั้นการคาดการณ์ที่เป็นบวกอาจสวนทางกับความจริงที่เป็นลบ
ในทำนองเดียวกันการคาดการณ์ที่เป็นลบอาจสวนทางกับความจริงที่เป็นบวกได้
เมื่อ ๒๐ ปีก่อนน้อยคนจะคาดคิดว่าอินเดียจะกลายเป็นเสือเศรษฐกิจที่มาแรงอย่างยิ่ง เป็นรองก็แต่จีนเท่านั้น
จนถึงวันนี้อินเดียมีการเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับสูงมาอย่างต่อเนื่องเกือบ ๒ ทศวรรษแล้ว
บางคนถึงกับคาดการณ์ว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของอินเดียจะสูงกว่าจีนใน อีก ๓ ปีข้างหน้า
ธุรกิจของอินเดียที่ติดอันดับโลกมีมากมาย รวมทั้งบริษัทเหล็กกล้าใหญ่ที่สุดในโลก
แม้แต่รถยี่ห้อดังเช่นจากัวร์หรือแลนด์โรเวอร์ก็กลายเป็นของบริษัทอินเดีย ชื่อทาทาไปแล้ว
ย้อนหลังไปเมื่อปี ๒๕๓๔ อินเดียไม่มีวี่แววว่าจะเป็นเสือเศรษฐกิจที่น่าเกรงขามอย่างทุกวันนี้เลย
ตรงกันข้ามบรรดาผู้เชี่ยวชาญทั้งในและนอกประเทศต่างเห็นพ้องต้องกันว่า เศรษฐกิจของอินเดียกำลังย่ำแย่ถึงขั้นวิกฤต
ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศเหลือน้อยมากพอจ่ายหนี้และสินค้านำเข้าได้เพียง ๒ สัปดาห์เท่านั้น
เพื่อป้องกันมิให้เศรษฐกิจของอินเดียพังครืน รัฐบาลต้องสาละวนกับการกู้ยืมเงินเพื่อจ่ายหนี้วันต่อวัน
แม้หันไปพึ่งเงินกู้ไอเอ็มเอฟก็ไม่ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นมากนัก ดูเหมือนวันที่อินเดียประกาศพักชำระหนี้กำลังจะมาถึง
นี้คือสถานการณ์ที่ มันโมฮัน ซิงห์ ต้องเผชิญตั้งแต่วันแรกที่รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของรัฐบาลชุดใหม่
ในฐานะนักเศรษฐศาสตร์เขารู้ดีว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับประเทศ ไม่กี่วันหลังเข้ารับตำแหน่ง เขารายงานสถานการณ์ต่อนายกรัฐมนตรีว่า
“เรากำลังใกล้ล้มละลาย”
มันโมฮัน ซิงห์
ไม่มีเพื่อนคนใดเห็นด้วยที่ซิงห์รับตำแหน่งรัฐมนตรีคลังเพราะเป็นการเปลืองตัวเปล่าๆ
พวกเขาเห็นว่าเศรษฐกิจของอินเดียเลวร้ายเกินกว่าที่เขาจะเยียวยาได้
หลายคนทำนายว่าภายใน ๖ เดือนเขาจะถูกปลดจากตำแหน่งและกลายเป็นแพะที่ต้องรับบาปจากความล้มเหลวของรัฐบาล
ชื่อเสียงเขาจะต้องด่างพร้อยจากงานนี้อย่างแน่นอน
ใช่แต่เพื่อนของซิงห์เท่านั้น ผู้รู้และนักสังเกตการณ์ทั้งหลายก็ไม่หวังในตัวเขา ต่างลงความเห็นว่าเขาไม่เหมาะกับตำแหน่งนี้
บ้างก็ว่าเขาเป็น “เทคโนแครตที่ไร้ประสิทธิภาพ” หรือ “ข้าราชการที่ไร้หน้าค่าตา”
แม้ทุกคนจะยอมรับในความเป็นคนดีของเขา แต่ไม่มีใครเห็นว่าเขาจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรได้
ซิงห์เองยอมรับว่าตนไม่ใช่คนฉลาดหลักแหลม ทั้งรู้ดีว่าโอกาสที่ตนเองจะล้มเหลวนั้นมีสูง แต่เขาพร้อมจะเปลืองตัว
เขาให้เหตุผลที่มารับตำแหน่งรัฐมนตรีคลังว่า
“หากผมล้มเหลวก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โต แต่ใครเล่าจะล้มเหลวหากอินเดียได้รับชัยชนะ”
ซิงห์เห็นว่าแม้สถานการณ์จะเลวร้ายเพียงใดก็ใช่จะไร้ความหวัง โอกาสที่จะแก้ไขยังมีอยู่
แต่นั่นหมายความว่าจะต้องใช้ “ยาแรง” ในขณะที่ใครๆ พากันหมดหวัง เขามองว่าวิกฤตขณะนั้นเป็น
“โอกาสที่จะสร้างอินเดียใหม่ โอกาสที่จะทำสิ่งที่หลายคนก่อนหน้านี้เคยคิดและพูดว่าควรทำแต่กลับไม่ได้ทำ”
ไม่กี่วันหลังจากรับตำแหน่ง ซิงห์เรียกประชุมข้าราชการระดับสูงจากทุกกระทรวงที่เกี่ยวเนื่องกับเศรษฐกิจ
เพื่อชี้แจงสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นและตอกย้ำถึงความจำเป็นต้องปฏิรูประบบเศรษฐกิจของอินเดียอย่างเร่งด่วนเพื่อกู้วิกฤต
โดยเฉพาะการลดบทบาทของรัฐ และการเปลี่ยนนโยบายเศรษฐกิจที่สืบเนื่องมาหลายทศวรรษ
ซึ่งอาจต้องเผชิญหน้ากับการขัดขวางต่อต้านจากกลุ่มการเมืองต่างๆ
ดังนั้นหากข้าราชการคนใดไม่เห็นด้วยกับแผนปฏิรูปของเขา ก็ขอให้บอกเขาทันที จะได้ย้ายให้ไปทำงานใหม่ที่เหมาะสม
เขาจบการประชุมด้วยการขอร้องว่า “ผมต้องการความช่วยเหลือจากคุณ”
มาตรการเร่งด่วนอย่างแรกที่ซิงห์นำมาใช้คือลดค่าเงินรูปีถึงร้อยละ ๒๐ ซึ่งช่วยให้สินค้าส่งออกมีราคาถูกลง
สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้มากขึ้น จากนั้นก็ตามมาด้วยการยกเลิกการให้เงินอุดหนุนสินค้าส่งออก
ซึ่งช่วยลดรายจ่ายของรัฐไปได้มาก แต่ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากก็คือการผ่อนคลายการควบคุมของรัฐ
มาตรการหลังนั้นเป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะรัฐได้ควบคุมเศรษฐกิจของประเทศมาเป็นเวลาเกือบครึ่งศตวรรษ
กิจการแทบทุกอย่างและทุกขั้นตอนของเอกชนต้องได้รับอนุญาตจากรัฐ ไม่เว้นแม้แต่การผลิตสินค้าตัวใหม่
การนำเข้าอุปกรณ์ หรือการปลดคนงาน ในอดีตความพยายามใดๆ ที่จะลดอำนาจการควบคุมของรัฐมัก
ถูกต่อต้านจากนักการเมืองและข้าราชการ แต่เมื่อบ้านเมืองใกล้ถึงจุดวิกฤต ซิงห์รู้ดีว่านี้คือโอกาสที่ผู้คน
พร้อมรับความเปลี่ยนแปลงทุกอย่างหากจะช่วย ให้ผ่านพ้นวิกฤตนั้นได้
ซิงห์ทำงานหามรุ่งหามค่ำ ต้องเจอแรงต่อต้านมากมายโดยเฉพาะจากนักการเมืองอย่างที่คาดไว้
แต่เขาก็สามารถผลักดันให้เกิดความเปลี่ยนแปลงได้ แม้บุคลิกของเขาจะนุ่มนวลแต่คำเตือนของเขานั้นรุนแรงหนักแน่น
หากไม่มีการปฏิรูป อินเดียจะประสบหายนะ เขาเรียกร้องการเสียสละจากทุกฝ่าย
ความซื่อสัตย์และความสุภาพของเขาเป็นแรงดึงดูดผู้คนหลายฝ่ายให้มาร่วมมือกัน ขับเคลื่อนการปฏิรูป
ภายในเวลาไม่ถึง ๒ ปี เศรษฐกิจของอินเดียก็ฟื้นตัว
อุตสาหกรรมที่รัฐเคยผูกขาดหลังจากเปิดให้เอกชนมาลงทุน ก็ขยายตัวอย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกันต่างชาติเข้ามาลงทุนมากขึ้น ทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจของอินเดียพุ่งพรวด
ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศเพิ่มเป็น ๑๒ เท่าตัวในเวลาไม่ถึง ๓ ปี
ห้าปีในฐานะรัฐมนตรีคลัง ซิงห์นำความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจขนานใหญ่มาสู่อินเดีย
การปฏิรูปของเขาได้ปลดปล่อยพลังสร้างสรรค์และผลิตภาพของอินเดียออกมาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
เปิดโอกาสให้ธุรกิจของอินเดียก้าวสู่เวทีระดับโลกและมีบทบาทอย่างสูงในยุคโลกาภิวัตน์
โดยเฉพาะอุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (ไอที) ที่ทำให้อินเดียกลายเป็นศูนย์กลางด้านการให้บริการทางธุรกิจแก่บริษัทชั้นนำ ทั่วโลก
ย้อนหลังไปเมื่อ ๑๙ ปีที่แล้ว ไม่มีใครคาดคิดว่านักเศรษฐศาสตร์และอดีตข้าราชการที่จับพลัดจับผลู
มาเป็นรัฐมนตรีคลังอย่าง มันโมฮัน ซิงห์ จะสามารถนำอินเดียผ่านพ้นวิกฤตมาได้
อีกทั้งยังผลักดันให้เกิดการปฏิรูปครั้งใหญ่ที่เป็นรากฐานให้อินเดียเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องร่วม ๒ ทศวรรษ
จนผู้รู้บางคนเรียกว่าเป็น “ปาฏิหาริย์” ทางเศรษฐกิจครั้งสำคัญของโลก
แต่แม้จะประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวง ซิงห์ก็เป็นคนเดิมที่ถ่อมตัว
“ผมเป็นคนตัวเล็กที่ถูกดึงให้มานั่งเก้าอี้ตัวใหญ่” เขาเคยให้สัมภาษณ์เมื่อไม่กี่ปีมานี้
“ผมคิดว่า ไม่ว่าผมได้ทำอะไรไป ผมหวังว่าผมจะได้มีชื่ออยู่ในเชิงอรรถของประวัติศาสตร์อันยาวนานและ ทุรกันดารของอินเดีย”
อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จไม่ยอมปล่อยเขาไปง่ายๆ ในที่สุดเขาได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของอินเดียถึงสองครั้งสองครา
และได้รับการยกย่องว่าเป็น “รัฐบุรุษที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของเอเชีย” ขณะที่นิตยสาร นิวสวีก คัดเลือกเขาเป็น ๑ ใน ๑๐ ผู้นำโลก
ที่ได้รับความเคารพอีกทั้งเป็น “ผู้นำที่ผู้นำคนอื่นรัก”
การปฏิรูปบ่อยครั้งเกิดขึ้นโดยบุคคลที่ไม่มีใครคาดคิด การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญบ่อยครั้งเกิดขึ้นในยามที่ผู้คนสิ้นหวัง
แม้แต่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในสายตาของผู้รู้ก็สามารถเป็นจริงได้ในที่สุด สิ่งที่เลวร้ายที่สุดอาจเป็นจุดเริ่มต้นของความรุ่งโรจน์ก็ได้
ดังนั้น แม้ใครต่อใครจะท้อแท้หมดหวัง นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่เราจะสิ้นศรัทธาในอนาคต
แม้ใครต่อใครจะไม่มั่นใจในตัวเรา นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่เราจะหมดศรัทธาในตนเอง
ขอเพียงแต่ใช้ปัญญาและวิริยะอย่างถึงที่สุดด้วยความบริสุทธิ์ใจ โดยมุ่งประโยชน์สุขของส่วนรวมยิ่งกว่าตนเอง
สักวันหนึ่งผลแห่งธรรมดังกล่าวย่อมปรากฏอย่างไม่ต้องสงสัย
บทความโดย : รินใจ (พระไพศาล วิสาโล)
ตีพิมพ์ใน : นิตยสาร สารคดี ปีที่ ๒๕ ฉบับที่ ๓๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๓
http://www.sarakadee.com/2011/01/31/darkhorse/#sthash.EkHEq3uz.dpuf
ม้านอกสายตา
เมื่อ ๕๐ ปีก่อน พม่าและฟิลิปปินส์เคยถูกจับตามองว่าจะเป็นเสือเศรษฐกิจตัวต่อไปของเอเชียตะวันออกตามหลังญี่ปุ่น
แต่ทุกวันนี้ความฝันนั้นก็ยังเลือนราง สิบปีต่อมาบราซิลได้รับการคาดหมายว่าจะเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงที่สุดในบรรดา
ประเทศกำลังพัฒนา แต่แล้วก็กลับอับแสงลงไป จวบจนเมื่อ ๓๕ ปีมานี้เอง ซีไอเอยังคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของ
สหภาพโซเวียตอาจล้ำหน้าสหรัฐอเมริกาใน ทศวรรษต่อไปด้วยซ้ำ แต่หลังจากนั้นไม่ถึง ๒ ทศวรรษ
สหภาพโซเวียตก็หายไปจากแผนที่โลก
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นการคาดการณ์ของผู้เชี่ยวชาญผู้มากด้วยข้อมูลและ ประสบการณ์
แต่ก็เช่นเดียวกับปุถุชนทั้งหลาย นักปราชญ์ย่อมพลาดพลั้งได้เสมอ ในขณะที่โลกจับตามองพม่า ฟิลิปปินส์ และบราซิลนั้น
ไม่มีใครคาดคิดว่าสิงคโปร์ เกาหลีใต้ หรือไต้หวันจะกลายเป็นประเทศที่เจริญรุดหน้าทางเศรษฐกิจอย่างทุกวันนี้
แม้แต่ลีกวนยิวเอง เมื่อแรกเป็นนายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ก็ยังยอมรับว่าเพียงแค่การนำประเทศให้ ไปรอดได้ก็เป็นเรื่องยากอย่างยิ่ง
เพราะทั้งเกาะไม่มีทรัพยากรธรรมชาติที่จะส่งออกเลย แถมคนว่างงานก็มีสูงถึง ๑๔ เปอร์เซ็นต์
ส่วนเกาหลีใต้ก็เต็มไปด้วยคนยากจน คนหิวโหยมีมากมายเพราะบ้านเมืองเพิ่งฟื้นจากสงคราม
ขณะที่การเมืองเต็มไปด้วยความวุ่นวายระส่ำระสาย
การคาดการณ์อนาคตนั้นแม้จะออกมาจากมันสมองของผู้เชี่ยวชาญก็มีโอกาสผิดได้เสมอ
เพราะนอกจากมนุษย์จะมีขีดจำกัดในการรับรู้และวิเคราะห์แล้ว อนาคตยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
มีเหตุปัจจัยต่างๆ ที่พร้อมจะผันแปรได้ตลอดเวลา ดังนั้นการคาดการณ์ที่เป็นบวกอาจสวนทางกับความจริงที่เป็นลบ
ในทำนองเดียวกันการคาดการณ์ที่เป็นลบอาจสวนทางกับความจริงที่เป็นบวกได้
เมื่อ ๒๐ ปีก่อนน้อยคนจะคาดคิดว่าอินเดียจะกลายเป็นเสือเศรษฐกิจที่มาแรงอย่างยิ่ง เป็นรองก็แต่จีนเท่านั้น
จนถึงวันนี้อินเดียมีการเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับสูงมาอย่างต่อเนื่องเกือบ ๒ ทศวรรษแล้ว
บางคนถึงกับคาดการณ์ว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของอินเดียจะสูงกว่าจีนใน อีก ๓ ปีข้างหน้า
ธุรกิจของอินเดียที่ติดอันดับโลกมีมากมาย รวมทั้งบริษัทเหล็กกล้าใหญ่ที่สุดในโลก
แม้แต่รถยี่ห้อดังเช่นจากัวร์หรือแลนด์โรเวอร์ก็กลายเป็นของบริษัทอินเดีย ชื่อทาทาไปแล้ว
ย้อนหลังไปเมื่อปี ๒๕๓๔ อินเดียไม่มีวี่แววว่าจะเป็นเสือเศรษฐกิจที่น่าเกรงขามอย่างทุกวันนี้เลย
ตรงกันข้ามบรรดาผู้เชี่ยวชาญทั้งในและนอกประเทศต่างเห็นพ้องต้องกันว่า เศรษฐกิจของอินเดียกำลังย่ำแย่ถึงขั้นวิกฤต
ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศเหลือน้อยมากพอจ่ายหนี้และสินค้านำเข้าได้เพียง ๒ สัปดาห์เท่านั้น
เพื่อป้องกันมิให้เศรษฐกิจของอินเดียพังครืน รัฐบาลต้องสาละวนกับการกู้ยืมเงินเพื่อจ่ายหนี้วันต่อวัน
แม้หันไปพึ่งเงินกู้ไอเอ็มเอฟก็ไม่ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นมากนัก ดูเหมือนวันที่อินเดียประกาศพักชำระหนี้กำลังจะมาถึง
นี้คือสถานการณ์ที่ มันโมฮัน ซิงห์ ต้องเผชิญตั้งแต่วันแรกที่รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของรัฐบาลชุดใหม่
ในฐานะนักเศรษฐศาสตร์เขารู้ดีว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับประเทศ ไม่กี่วันหลังเข้ารับตำแหน่ง เขารายงานสถานการณ์ต่อนายกรัฐมนตรีว่า
“เรากำลังใกล้ล้มละลาย”
มันโมฮัน ซิงห์
ไม่มีเพื่อนคนใดเห็นด้วยที่ซิงห์รับตำแหน่งรัฐมนตรีคลังเพราะเป็นการเปลืองตัวเปล่าๆ
พวกเขาเห็นว่าเศรษฐกิจของอินเดียเลวร้ายเกินกว่าที่เขาจะเยียวยาได้
หลายคนทำนายว่าภายใน ๖ เดือนเขาจะถูกปลดจากตำแหน่งและกลายเป็นแพะที่ต้องรับบาปจากความล้มเหลวของรัฐบาล
ชื่อเสียงเขาจะต้องด่างพร้อยจากงานนี้อย่างแน่นอน
ใช่แต่เพื่อนของซิงห์เท่านั้น ผู้รู้และนักสังเกตการณ์ทั้งหลายก็ไม่หวังในตัวเขา ต่างลงความเห็นว่าเขาไม่เหมาะกับตำแหน่งนี้
บ้างก็ว่าเขาเป็น “เทคโนแครตที่ไร้ประสิทธิภาพ” หรือ “ข้าราชการที่ไร้หน้าค่าตา”
แม้ทุกคนจะยอมรับในความเป็นคนดีของเขา แต่ไม่มีใครเห็นว่าเขาจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรได้
ซิงห์เองยอมรับว่าตนไม่ใช่คนฉลาดหลักแหลม ทั้งรู้ดีว่าโอกาสที่ตนเองจะล้มเหลวนั้นมีสูง แต่เขาพร้อมจะเปลืองตัว
เขาให้เหตุผลที่มารับตำแหน่งรัฐมนตรีคลังว่า
“หากผมล้มเหลวก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โต แต่ใครเล่าจะล้มเหลวหากอินเดียได้รับชัยชนะ”
ซิงห์เห็นว่าแม้สถานการณ์จะเลวร้ายเพียงใดก็ใช่จะไร้ความหวัง โอกาสที่จะแก้ไขยังมีอยู่
แต่นั่นหมายความว่าจะต้องใช้ “ยาแรง” ในขณะที่ใครๆ พากันหมดหวัง เขามองว่าวิกฤตขณะนั้นเป็น
“โอกาสที่จะสร้างอินเดียใหม่ โอกาสที่จะทำสิ่งที่หลายคนก่อนหน้านี้เคยคิดและพูดว่าควรทำแต่กลับไม่ได้ทำ”
ไม่กี่วันหลังจากรับตำแหน่ง ซิงห์เรียกประชุมข้าราชการระดับสูงจากทุกกระทรวงที่เกี่ยวเนื่องกับเศรษฐกิจ
เพื่อชี้แจงสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นและตอกย้ำถึงความจำเป็นต้องปฏิรูประบบเศรษฐกิจของอินเดียอย่างเร่งด่วนเพื่อกู้วิกฤต
โดยเฉพาะการลดบทบาทของรัฐ และการเปลี่ยนนโยบายเศรษฐกิจที่สืบเนื่องมาหลายทศวรรษ
ซึ่งอาจต้องเผชิญหน้ากับการขัดขวางต่อต้านจากกลุ่มการเมืองต่างๆ
ดังนั้นหากข้าราชการคนใดไม่เห็นด้วยกับแผนปฏิรูปของเขา ก็ขอให้บอกเขาทันที จะได้ย้ายให้ไปทำงานใหม่ที่เหมาะสม
เขาจบการประชุมด้วยการขอร้องว่า “ผมต้องการความช่วยเหลือจากคุณ”
มาตรการเร่งด่วนอย่างแรกที่ซิงห์นำมาใช้คือลดค่าเงินรูปีถึงร้อยละ ๒๐ ซึ่งช่วยให้สินค้าส่งออกมีราคาถูกลง
สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้มากขึ้น จากนั้นก็ตามมาด้วยการยกเลิกการให้เงินอุดหนุนสินค้าส่งออก
ซึ่งช่วยลดรายจ่ายของรัฐไปได้มาก แต่ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากก็คือการผ่อนคลายการควบคุมของรัฐ
มาตรการหลังนั้นเป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะรัฐได้ควบคุมเศรษฐกิจของประเทศมาเป็นเวลาเกือบครึ่งศตวรรษ
กิจการแทบทุกอย่างและทุกขั้นตอนของเอกชนต้องได้รับอนุญาตจากรัฐ ไม่เว้นแม้แต่การผลิตสินค้าตัวใหม่
การนำเข้าอุปกรณ์ หรือการปลดคนงาน ในอดีตความพยายามใดๆ ที่จะลดอำนาจการควบคุมของรัฐมัก
ถูกต่อต้านจากนักการเมืองและข้าราชการ แต่เมื่อบ้านเมืองใกล้ถึงจุดวิกฤต ซิงห์รู้ดีว่านี้คือโอกาสที่ผู้คน
พร้อมรับความเปลี่ยนแปลงทุกอย่างหากจะช่วย ให้ผ่านพ้นวิกฤตนั้นได้
ซิงห์ทำงานหามรุ่งหามค่ำ ต้องเจอแรงต่อต้านมากมายโดยเฉพาะจากนักการเมืองอย่างที่คาดไว้
แต่เขาก็สามารถผลักดันให้เกิดความเปลี่ยนแปลงได้ แม้บุคลิกของเขาจะนุ่มนวลแต่คำเตือนของเขานั้นรุนแรงหนักแน่น
หากไม่มีการปฏิรูป อินเดียจะประสบหายนะ เขาเรียกร้องการเสียสละจากทุกฝ่าย
ความซื่อสัตย์และความสุภาพของเขาเป็นแรงดึงดูดผู้คนหลายฝ่ายให้มาร่วมมือกัน ขับเคลื่อนการปฏิรูป
ภายในเวลาไม่ถึง ๒ ปี เศรษฐกิจของอินเดียก็ฟื้นตัว
อุตสาหกรรมที่รัฐเคยผูกขาดหลังจากเปิดให้เอกชนมาลงทุน ก็ขยายตัวอย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกันต่างชาติเข้ามาลงทุนมากขึ้น ทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจของอินเดียพุ่งพรวด
ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศเพิ่มเป็น ๑๒ เท่าตัวในเวลาไม่ถึง ๓ ปี
ห้าปีในฐานะรัฐมนตรีคลัง ซิงห์นำความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจขนานใหญ่มาสู่อินเดีย
การปฏิรูปของเขาได้ปลดปล่อยพลังสร้างสรรค์และผลิตภาพของอินเดียออกมาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
เปิดโอกาสให้ธุรกิจของอินเดียก้าวสู่เวทีระดับโลกและมีบทบาทอย่างสูงในยุคโลกาภิวัตน์
โดยเฉพาะอุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (ไอที) ที่ทำให้อินเดียกลายเป็นศูนย์กลางด้านการให้บริการทางธุรกิจแก่บริษัทชั้นนำ ทั่วโลก
ย้อนหลังไปเมื่อ ๑๙ ปีที่แล้ว ไม่มีใครคาดคิดว่านักเศรษฐศาสตร์และอดีตข้าราชการที่จับพลัดจับผลู
มาเป็นรัฐมนตรีคลังอย่าง มันโมฮัน ซิงห์ จะสามารถนำอินเดียผ่านพ้นวิกฤตมาได้
อีกทั้งยังผลักดันให้เกิดการปฏิรูปครั้งใหญ่ที่เป็นรากฐานให้อินเดียเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องร่วม ๒ ทศวรรษ
จนผู้รู้บางคนเรียกว่าเป็น “ปาฏิหาริย์” ทางเศรษฐกิจครั้งสำคัญของโลก
แต่แม้จะประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวง ซิงห์ก็เป็นคนเดิมที่ถ่อมตัว
“ผมเป็นคนตัวเล็กที่ถูกดึงให้มานั่งเก้าอี้ตัวใหญ่” เขาเคยให้สัมภาษณ์เมื่อไม่กี่ปีมานี้
“ผมคิดว่า ไม่ว่าผมได้ทำอะไรไป ผมหวังว่าผมจะได้มีชื่ออยู่ในเชิงอรรถของประวัติศาสตร์อันยาวนานและ ทุรกันดารของอินเดีย”
อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จไม่ยอมปล่อยเขาไปง่ายๆ ในที่สุดเขาได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของอินเดียถึงสองครั้งสองครา
และได้รับการยกย่องว่าเป็น “รัฐบุรุษที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของเอเชีย” ขณะที่นิตยสาร นิวสวีก คัดเลือกเขาเป็น ๑ ใน ๑๐ ผู้นำโลก
ที่ได้รับความเคารพอีกทั้งเป็น “ผู้นำที่ผู้นำคนอื่นรัก”
การปฏิรูปบ่อยครั้งเกิดขึ้นโดยบุคคลที่ไม่มีใครคาดคิด การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญบ่อยครั้งเกิดขึ้นในยามที่ผู้คนสิ้นหวัง
แม้แต่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในสายตาของผู้รู้ก็สามารถเป็นจริงได้ในที่สุด สิ่งที่เลวร้ายที่สุดอาจเป็นจุดเริ่มต้นของความรุ่งโรจน์ก็ได้
ดังนั้น แม้ใครต่อใครจะท้อแท้หมดหวัง นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่เราจะสิ้นศรัทธาในอนาคต
แม้ใครต่อใครจะไม่มั่นใจในตัวเรา นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่เราจะหมดศรัทธาในตนเอง
ขอเพียงแต่ใช้ปัญญาและวิริยะอย่างถึงที่สุดด้วยความบริสุทธิ์ใจ โดยมุ่งประโยชน์สุขของส่วนรวมยิ่งกว่าตนเอง
สักวันหนึ่งผลแห่งธรรมดังกล่าวย่อมปรากฏอย่างไม่ต้องสงสัย
บทความโดย : รินใจ (พระไพศาล วิสาโล)
ตีพิมพ์ใน : นิตยสาร สารคดี ปีที่ ๒๕ ฉบับที่ ๓๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๓
http://www.sarakadee.com/2011/01/31/darkhorse/#sthash.EkHEq3uz.dpuf