สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 2
มีคนเคยหลังไมค์ไปถามผมคำถามเดียวกันนี้เมื่อราว 2 ปีมาแล้ว ผมไม่ได้เก็บคำตอบไว้แต่ก็จะตอบใหม่ในคราวนี้
ก่อนอื่นเลยให้พิจารณาเงื่อนไขที่แตกต่างอยังมีนัยยะสำคัญที่สุดนั่นคือ ระบบการศึกษา ในขณะที่ อเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลีย แคนาดา นิวซีแลนด์ ระบบการศึกษาในระดับอุดมศึกษาหรือมหาลัยนั้นทำเป็นธุรกิจ หมายถึงผู้เข้าเรียนต้องจ่ายเงิน ยิ่งมหาลัยดังยิ่งต้องจ่ายค่าเล่าเรียนแพงมาก สถาบันการศึกษาจึงมีการแข่งขันกันเองสูง เมื่อไปดูวิธีการตั้งเกณฑ์ในการจัด ranking ของทุกแห่งก็จะคล้ายๆ กัน นั่นคือเน้นที่จำนวนผลงานวิจัย สภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการศึกษาอันรวมถึงห้องเรียนและอุปกรณ์การเรียนที่ทันสมัย อัตราส่วนบุคลากรต่อนักศึกษา จำนวนการได้รับการจ้างงานในบริษัทใหญ่ๆ และเงินเดือนที่ได้รับ .....
จะเห็นว่าปัจจัยที่มาอันดับสำคัญแรกๆ และได้คะแนนของ criteria สูงนั้นต้องใช้ "เงิน" เป็นตัวกำหนดทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นงานวิจัย บุคลากรและอุปกรณ์การเรียนการสอน ในเมื่อสถาบันการศึกษาในประเทศที่ระบุชื่อมานั้นใช้ระบบเดียวกันหมด นั่นคือเก็บค่าเล่าเรียนสูงก็ย่อมต้องมีเงินมาลงทุนทำธุรกิจและสร้างสรรค์สิ่งเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี และปัจจัยหนึ่งที่จะแสดงผลงงานเพื่อเรียกลูกค้าได้ดีที่สุดคือ การจัดระดับ ranking ออกมาอย่างที่เห็นกันอยู่ทั่วไป
ทีนี้ลองมาดูระบบของยุโรปบ้าง การศึกษาของเยอรมันและฝรั่งเศสนั้น ตั้งแต่ประถมถึงมหาลัยไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียนหรือถึงจะต้องเสียก็นับว่าน้อยเสียจนเกือบเรียกได้ว่า "ฟรี"
มหาลัยเยอรมันระดับ Universität มีทั้งหมดทั่วประเทศ 108 มหาลัย มหาลัยที่เป็นระดับ Fachhochschule อีก 216 มหาลัย รวมมหาลัยเฉพาะด้านอื่นๆ อีก เช่น มหาลัยทางด้านศิลป์ศาสตร์ ดนตรี ศาสนา ฯลฯ รวมแล้วมีสถาบันระดับมหาลัยทั้งหมด 428 มหาลัย
ทั้งหมดนี้เป็นของรัฐบาลทั้งหมดและรับเงินค่าใช้จ่าย 100 % จากรัฐบาล ถือเป็นสวัสดิการที่รัฐมีหน้าที่ให้แก่ประชาชนโดยไม่ได้คิดผลกำไรตอบแทน ฉะนั้นจึงย่อมเป็นไปไม่ได้ที่มหาลัยจะมีปัจจัย "เงิน" ไปลงทุนแข่งขันกับประเทศที่ทำการศึกษาเป็นธุรกิจ
การที่มหาลัยของเยอรมันไปติดอยู่ใน 100 อันดับแรกคือ 53, 60, ุ62 และ 99 นั้นถือว่าน่าประหลาดใจแล้วด้วยซ้ำ เพราะผลงานที่สามารถเข้าแข่งได้จากปัจจัยเงินน้อยนิดเมื่อเทียบกับมหาลัยดังอื่นๆ ของโลก
แต่เมื่อมาดูผลงานฐานะทางเศรษฐกิจของประเทศซึ่งเป็นสิ่งพิสูจน์ที่แท้จริงของผลการศึกษาของประชาชน เยอรมันไม่ได้น้อยหน้าประเทศอุตสาหกรรมระดับโลกอื่นๆ แม้แต่น้อย
จะให้ดูเปรียบเทียบกับอังกฤษด้วยข้อมูลล่าสุดที่น่าสนใจ เช่น อังกฤษมีจำนวนผู้จบการศึกษาระดับมหาลัย 12 คนต่อประชากร 1000 คน ในขณะที่เยอรมันมีแค่ 8 คน แต่ คนเยอรมันจ่ายเงินซื้อหนังสืออ่าน 82 ยูโรต่อคน ในขณะที่ชาวอังกฤษจ่ายแค่ 50 ยูโร
ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น มหาลัยอังกฤษติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก ถึง 3 มหาลัย จำนวนผู้จบการศึกษาระดับมหาลัยก็มีมากกว่าเยอรมัน
แต่ จำนวนจดทะเบียนลิขสิทธิ์ประดิษฐ์กรรมใหม่ๆ นั้น (patent) ของเยอรมันทำได้ 59 ชิ้นต่อจำนวนประชากร 1 แสนคน ในขณะที่อังกฤษมีแค่ 23 ชิ้นเท่านั้น
ขอจบท้ายด้วยการย้อนกลับไปที่ความเห็นคุณ zodiac ที่ว่า
เลือกได้เลือกไปเรียนในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษดีกว่า ไม่ได้อเมริกาไปเรียนที่อังกฤษ ออสเตรเลีย แคนาดาก็ยังดี
เป็นการเข้าใจผิดถนัดเลยครับ เพราะปัจจุบัน (สถิติปี 2014 จำนวน 300 909 คน ) นั้นเยอรมนีเป็นประเทศที่มีจำนวนนักศึกษาต่างชาติเข้ามาเรียนมากที่สุดอันดับ 3 ของโลกตามหลัง อเมริกา และ อังกฤษ โดยเรียงลำดับชาตินักศึกษาต่างชาติดังนี้คือ จีน รัสเซีย ออสเตรีย อินเดีย ที่เหลือเป็นประเทศอื่นๆ เช่น ยุโรปตะวันออก ละตินอเมริกา และ ต้องไม่ลืมนักศึกษาไทยด้วยนะครับ
ก่อนอื่นเลยให้พิจารณาเงื่อนไขที่แตกต่างอยังมีนัยยะสำคัญที่สุดนั่นคือ ระบบการศึกษา ในขณะที่ อเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลีย แคนาดา นิวซีแลนด์ ระบบการศึกษาในระดับอุดมศึกษาหรือมหาลัยนั้นทำเป็นธุรกิจ หมายถึงผู้เข้าเรียนต้องจ่ายเงิน ยิ่งมหาลัยดังยิ่งต้องจ่ายค่าเล่าเรียนแพงมาก สถาบันการศึกษาจึงมีการแข่งขันกันเองสูง เมื่อไปดูวิธีการตั้งเกณฑ์ในการจัด ranking ของทุกแห่งก็จะคล้ายๆ กัน นั่นคือเน้นที่จำนวนผลงานวิจัย สภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการศึกษาอันรวมถึงห้องเรียนและอุปกรณ์การเรียนที่ทันสมัย อัตราส่วนบุคลากรต่อนักศึกษา จำนวนการได้รับการจ้างงานในบริษัทใหญ่ๆ และเงินเดือนที่ได้รับ .....
จะเห็นว่าปัจจัยที่มาอันดับสำคัญแรกๆ และได้คะแนนของ criteria สูงนั้นต้องใช้ "เงิน" เป็นตัวกำหนดทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นงานวิจัย บุคลากรและอุปกรณ์การเรียนการสอน ในเมื่อสถาบันการศึกษาในประเทศที่ระบุชื่อมานั้นใช้ระบบเดียวกันหมด นั่นคือเก็บค่าเล่าเรียนสูงก็ย่อมต้องมีเงินมาลงทุนทำธุรกิจและสร้างสรรค์สิ่งเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี และปัจจัยหนึ่งที่จะแสดงผลงงานเพื่อเรียกลูกค้าได้ดีที่สุดคือ การจัดระดับ ranking ออกมาอย่างที่เห็นกันอยู่ทั่วไป
ทีนี้ลองมาดูระบบของยุโรปบ้าง การศึกษาของเยอรมันและฝรั่งเศสนั้น ตั้งแต่ประถมถึงมหาลัยไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียนหรือถึงจะต้องเสียก็นับว่าน้อยเสียจนเกือบเรียกได้ว่า "ฟรี"
มหาลัยเยอรมันระดับ Universität มีทั้งหมดทั่วประเทศ 108 มหาลัย มหาลัยที่เป็นระดับ Fachhochschule อีก 216 มหาลัย รวมมหาลัยเฉพาะด้านอื่นๆ อีก เช่น มหาลัยทางด้านศิลป์ศาสตร์ ดนตรี ศาสนา ฯลฯ รวมแล้วมีสถาบันระดับมหาลัยทั้งหมด 428 มหาลัย
ทั้งหมดนี้เป็นของรัฐบาลทั้งหมดและรับเงินค่าใช้จ่าย 100 % จากรัฐบาล ถือเป็นสวัสดิการที่รัฐมีหน้าที่ให้แก่ประชาชนโดยไม่ได้คิดผลกำไรตอบแทน ฉะนั้นจึงย่อมเป็นไปไม่ได้ที่มหาลัยจะมีปัจจัย "เงิน" ไปลงทุนแข่งขันกับประเทศที่ทำการศึกษาเป็นธุรกิจ
การที่มหาลัยของเยอรมันไปติดอยู่ใน 100 อันดับแรกคือ 53, 60, ุ62 และ 99 นั้นถือว่าน่าประหลาดใจแล้วด้วยซ้ำ เพราะผลงานที่สามารถเข้าแข่งได้จากปัจจัยเงินน้อยนิดเมื่อเทียบกับมหาลัยดังอื่นๆ ของโลก
แต่เมื่อมาดูผลงานฐานะทางเศรษฐกิจของประเทศซึ่งเป็นสิ่งพิสูจน์ที่แท้จริงของผลการศึกษาของประชาชน เยอรมันไม่ได้น้อยหน้าประเทศอุตสาหกรรมระดับโลกอื่นๆ แม้แต่น้อย
จะให้ดูเปรียบเทียบกับอังกฤษด้วยข้อมูลล่าสุดที่น่าสนใจ เช่น อังกฤษมีจำนวนผู้จบการศึกษาระดับมหาลัย 12 คนต่อประชากร 1000 คน ในขณะที่เยอรมันมีแค่ 8 คน แต่ คนเยอรมันจ่ายเงินซื้อหนังสืออ่าน 82 ยูโรต่อคน ในขณะที่ชาวอังกฤษจ่ายแค่ 50 ยูโร
ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น มหาลัยอังกฤษติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก ถึง 3 มหาลัย จำนวนผู้จบการศึกษาระดับมหาลัยก็มีมากกว่าเยอรมัน
แต่ จำนวนจดทะเบียนลิขสิทธิ์ประดิษฐ์กรรมใหม่ๆ นั้น (patent) ของเยอรมันทำได้ 59 ชิ้นต่อจำนวนประชากร 1 แสนคน ในขณะที่อังกฤษมีแค่ 23 ชิ้นเท่านั้น
ขอจบท้ายด้วยการย้อนกลับไปที่ความเห็นคุณ zodiac ที่ว่า
เลือกได้เลือกไปเรียนในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษดีกว่า ไม่ได้อเมริกาไปเรียนที่อังกฤษ ออสเตรเลีย แคนาดาก็ยังดี
เป็นการเข้าใจผิดถนัดเลยครับ เพราะปัจจุบัน (สถิติปี 2014 จำนวน 300 909 คน ) นั้นเยอรมนีเป็นประเทศที่มีจำนวนนักศึกษาต่างชาติเข้ามาเรียนมากที่สุดอันดับ 3 ของโลกตามหลัง อเมริกา และ อังกฤษ โดยเรียงลำดับชาตินักศึกษาต่างชาติดังนี้คือ จีน รัสเซีย ออสเตรีย อินเดีย ที่เหลือเป็นประเทศอื่นๆ เช่น ยุโรปตะวันออก ละตินอเมริกา และ ต้องไม่ลืมนักศึกษาไทยด้วยนะครับ
แสดงความคิดเห็น
ฝรั่งเศส เยอรมัน คนได้รางวัลโนเบลก็เยอะ แต่ทำไมมหาวิทยาลัยไม่มีชื่อเสียงเท่าอเมริกา อังกฤษ
ของมหาลัยได้
แต่ทำไมเวลาการจัดอันดับมหาวิทยาลัย อันดับแรกๆจะเป็นของอเมริกากับอังกฤษตลอดเลย
เค้าใช้อะไรวัดกัน