นอกจากการใช้มือขุดค้นหาศพคนตาย ใต้ซากบ้านเรือนที่พังจากแผ่นดินไหว คนเนปาลที่ยังอยู่ ที่เจ็บป่วยก็รอการรักษา ที่ไม่เจ็บก็เจอความหิว
ไม่รวมธรรมชาติ บนพื้นดินฝนก็ตกหนัก บนเชิงเขาก็เจอความหนาวจากหิมะ พวกเขาต้องการทั้งเครื่องประทังชีวิต ทั้งเต็นท์ เสื้อผ้า อาหาร
พระสิทธัตถะของเรา เกิดที่กรุงกบิลพัสดุ เชิงผาป่าหิมพานต์ ก็ที่เนปาลวันนี้ ความทุกข์เหล่านี้เอง เป็นที่มาของคำสอนของพระพุทธเจ้า...
ความเกิดเป็นทุกข์ วิธีเดียวที่จะดับทุกข์ ก็คือนิพพาน... การตาย...แล้วไม่วนเวียนกลับมาเกิดอีก
และเมื่อยังเกิดอยู่ การมีชีวิตที่ดี ก็คือ การปล่อยวาง เจอทุกข์สารพัดสารพัน เมื่อเชื่อมั่นในคำสอน มันเป็นเช่นนั้น ปล่อยวางได้ ระดับของความทุกข์ที่เกิดกับใจ จะได้ลดลง
น่าเสียดาย...ที่คำสอนชุดนี้ ของพระพุทธเจ้า ไม่เหลือคนในเนปาล ...ได้รับรู้ เพราะความผันแปรมากมาย เปลี่ยนแปลงพุทธศาสนาแท้ กลายเป็นอื่น
ในคำนำหนังสือ รหัสวิทยา พลังเร้นลับ (สำนักพิมพ์ข้าวฟ่าง) “พลูหลวง” เขียนไว้ตอนหนึ่ง
พุทธศาสนาแยกเป็นสอง เดิมที่คงอยู่เรียก “หินยาน” ฝ่ายที่แยกออกไปเรียก “มหายาน”
มหายานรุ่งโรจน์อยู่ในอินเดียเหนือขึ้นไป ต่อมาก็แตกหน่อขยายกอ ออกไปเป็น วัชรยาน หรือมนตรยาน คือลัทธิตันตริก มีทั้งนับถือพระโพธิสัตว์ มีทั้งการเล่นคาถาอาคม และการเคร่งพิธีกรรม
ลัทธินี้ เคยแพร่หลายเข้านครหลวงเขมร สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 มีการแห่ขบวนเจ้าสาวเข้าเรือนหอ แต่เมื่อจะส่งให้เจ้าบ่าว ก็ต้องส่งให้พระสงฆ์มหายาน ห่มจีวรสีคราม ทำพิธีทำลายพรหมจารีเสียก่อน
ลัทธินี้ยังมีอยู่ในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 8 เจียวตากวน ทูตจีน ได้บันทึกถึงพิธีกรรมนี้ไว้
พระจีวรสีคราม นิกายอรี มีอยู่ในอาณาจักรพุกามของพม่า ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับเขมร พุทธศตวรรษที่ 16
พระเจ้าอนิรุธมหาราช (อโนรธา มังฉ่อ) ทรงรังเกียจ ขับไล่ ไสส่งออกไป แล้วก็ทรงรับเอาคติสงฆ์ฝ่ายหินยาน จากมอญเข้ามาแทน
พลูหลวง...บอกว่า ลัทธิมหายาน ลัทธิตันตริก กับวัชรยาน น่าจะรุ่งเรืองในไทยสมัยอู่ทอง
มีหลักฐานการใช้คาถาอาคม การย่างกุมารทอง การสะเดาะเครื่อง พันธนาการ การคงกระพันชาตรี การผูกหุ่นพยนต์ การตีดาบฟ้าฟื้น การเสก ใบมะขามเป็นตัวต่อ การทำเสน่ห์ การทำให้จังงัง วิชาเลี้ยงกุมารทอง ในวรรณคดี เรื่องขุนช้างขุนแผน
วิชาเหล่านี้ ยังตกทอดต่อๆกันมา ภายหลังเรียกว่า วิชาคงกระพันชาตรี
ถึงวันนี้ ในลาวภาคใต้ วิชาฝ่ายมนต์ดำ การปล่อยคุณไสย ตามลมเพลมพัด ยังใช้กันแพร่หลายอยู่
อาจารย์พลูหลวง ทิ้งท้ายคำนำว่า...บ้านเมืองทั่วไปในวันนี้ ชีวิตของ ป่าเปลี่ยว ความหวาดกลัวภัยธรรมชาติ ความลึกลับของพืชในป่าและของกายสิทธิ์ต่างๆเลือนหายไป เมื่อไม่ประจักษ์ชัด ก็กลายเป็นเรื่องเหลวไหล
วัชรยานตันตระ
คนไทยที่รับทั้งพุทธหินยาน ดับทุกข์ด้วยหลักนิพพาน หรือคนเนปาล ที่แปรพุทธมหายาน เป็นวัชรยานตันตระ...ต้นกำเนิดเรื่องเวทมนตร์คาถา
ต้นเหตุ ก็ล้วนแต่มาจากความกลัว ต้องการหนีทุกข์ ต้องการหนีภัย...เหมือนกัน
เมื่อเกิดเหตุเภทภัยใหญ่ อย่างแผ่นดินไหวที่เนปาล หรือที่ไหนๆในโลก ได้พิสูจน์แล้วว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไร เวทมนตร์คาถาบทไหน...ช่วยอะไรไม่ได้
คำสอน การเกิดเป็นทุกข์ ความตายเป็นสุข ของพระพุทธเจ้าเป็นสัจจะ เป็นความจริงที่ยืนยันได้ทุกสมัย แม้สาวก ที่รับพระธรรม จะแยกชื่อเป็นสองฝ่าย
ฝ่ายหนึ่งดับทุกข์ที่ใจ สุขได้ด้วยใจ (หินยาน) กับฝ่ายบำเพ็ญ บารมี เป็นพระโพธิสัตว์ ช่วยมนุษย์ที่ทุกข์ยาก (มหายาน) ถ้าโลกนี้ มีแต่คนที่ช่วยตัวเองเป็นสุข คนช่วยให้ผู้อื่นให้พ้นทุกข์ โลกที่แสนร้อน ก็จะสงบเย็นได้ในบัดดล.
กิเลน ประลองเชิง
ที่มา :
วัชรยานตันตระ
พวกความเชื่องมงายต่าง ๆ ศักดิ์สิทธิ์มาจามหายานหรือครับ
ไม่รวมธรรมชาติ บนพื้นดินฝนก็ตกหนัก บนเชิงเขาก็เจอความหนาวจากหิมะ พวกเขาต้องการทั้งเครื่องประทังชีวิต ทั้งเต็นท์ เสื้อผ้า อาหาร
พระสิทธัตถะของเรา เกิดที่กรุงกบิลพัสดุ เชิงผาป่าหิมพานต์ ก็ที่เนปาลวันนี้ ความทุกข์เหล่านี้เอง เป็นที่มาของคำสอนของพระพุทธเจ้า...
ความเกิดเป็นทุกข์ วิธีเดียวที่จะดับทุกข์ ก็คือนิพพาน... การตาย...แล้วไม่วนเวียนกลับมาเกิดอีก
และเมื่อยังเกิดอยู่ การมีชีวิตที่ดี ก็คือ การปล่อยวาง เจอทุกข์สารพัดสารพัน เมื่อเชื่อมั่นในคำสอน มันเป็นเช่นนั้น ปล่อยวางได้ ระดับของความทุกข์ที่เกิดกับใจ จะได้ลดลง
น่าเสียดาย...ที่คำสอนชุดนี้ ของพระพุทธเจ้า ไม่เหลือคนในเนปาล ...ได้รับรู้ เพราะความผันแปรมากมาย เปลี่ยนแปลงพุทธศาสนาแท้ กลายเป็นอื่น
ในคำนำหนังสือ รหัสวิทยา พลังเร้นลับ (สำนักพิมพ์ข้าวฟ่าง) “พลูหลวง” เขียนไว้ตอนหนึ่ง
พุทธศาสนาแยกเป็นสอง เดิมที่คงอยู่เรียก “หินยาน” ฝ่ายที่แยกออกไปเรียก “มหายาน”
มหายานรุ่งโรจน์อยู่ในอินเดียเหนือขึ้นไป ต่อมาก็แตกหน่อขยายกอ ออกไปเป็น วัชรยาน หรือมนตรยาน คือลัทธิตันตริก มีทั้งนับถือพระโพธิสัตว์ มีทั้งการเล่นคาถาอาคม และการเคร่งพิธีกรรม
ลัทธินี้ เคยแพร่หลายเข้านครหลวงเขมร สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 มีการแห่ขบวนเจ้าสาวเข้าเรือนหอ แต่เมื่อจะส่งให้เจ้าบ่าว ก็ต้องส่งให้พระสงฆ์มหายาน ห่มจีวรสีคราม ทำพิธีทำลายพรหมจารีเสียก่อน
ลัทธินี้ยังมีอยู่ในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 8 เจียวตากวน ทูตจีน ได้บันทึกถึงพิธีกรรมนี้ไว้
พระจีวรสีคราม นิกายอรี มีอยู่ในอาณาจักรพุกามของพม่า ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับเขมร พุทธศตวรรษที่ 16
พระเจ้าอนิรุธมหาราช (อโนรธา มังฉ่อ) ทรงรังเกียจ ขับไล่ ไสส่งออกไป แล้วก็ทรงรับเอาคติสงฆ์ฝ่ายหินยาน จากมอญเข้ามาแทน
พลูหลวง...บอกว่า ลัทธิมหายาน ลัทธิตันตริก กับวัชรยาน น่าจะรุ่งเรืองในไทยสมัยอู่ทอง
มีหลักฐานการใช้คาถาอาคม การย่างกุมารทอง การสะเดาะเครื่อง พันธนาการ การคงกระพันชาตรี การผูกหุ่นพยนต์ การตีดาบฟ้าฟื้น การเสก ใบมะขามเป็นตัวต่อ การทำเสน่ห์ การทำให้จังงัง วิชาเลี้ยงกุมารทอง ในวรรณคดี เรื่องขุนช้างขุนแผน
วิชาเหล่านี้ ยังตกทอดต่อๆกันมา ภายหลังเรียกว่า วิชาคงกระพันชาตรี
ถึงวันนี้ ในลาวภาคใต้ วิชาฝ่ายมนต์ดำ การปล่อยคุณไสย ตามลมเพลมพัด ยังใช้กันแพร่หลายอยู่
อาจารย์พลูหลวง ทิ้งท้ายคำนำว่า...บ้านเมืองทั่วไปในวันนี้ ชีวิตของ ป่าเปลี่ยว ความหวาดกลัวภัยธรรมชาติ ความลึกลับของพืชในป่าและของกายสิทธิ์ต่างๆเลือนหายไป เมื่อไม่ประจักษ์ชัด ก็กลายเป็นเรื่องเหลวไหล
วัชรยานตันตระ
คนไทยที่รับทั้งพุทธหินยาน ดับทุกข์ด้วยหลักนิพพาน หรือคนเนปาล ที่แปรพุทธมหายาน เป็นวัชรยานตันตระ...ต้นกำเนิดเรื่องเวทมนตร์คาถา
ต้นเหตุ ก็ล้วนแต่มาจากความกลัว ต้องการหนีทุกข์ ต้องการหนีภัย...เหมือนกัน
เมื่อเกิดเหตุเภทภัยใหญ่ อย่างแผ่นดินไหวที่เนปาล หรือที่ไหนๆในโลก ได้พิสูจน์แล้วว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไร เวทมนตร์คาถาบทไหน...ช่วยอะไรไม่ได้
คำสอน การเกิดเป็นทุกข์ ความตายเป็นสุข ของพระพุทธเจ้าเป็นสัจจะ เป็นความจริงที่ยืนยันได้ทุกสมัย แม้สาวก ที่รับพระธรรม จะแยกชื่อเป็นสองฝ่าย
ฝ่ายหนึ่งดับทุกข์ที่ใจ สุขได้ด้วยใจ (หินยาน) กับฝ่ายบำเพ็ญ บารมี เป็นพระโพธิสัตว์ ช่วยมนุษย์ที่ทุกข์ยาก (มหายาน) ถ้าโลกนี้ มีแต่คนที่ช่วยตัวเองเป็นสุข คนช่วยให้ผู้อื่นให้พ้นทุกข์ โลกที่แสนร้อน ก็จะสงบเย็นได้ในบัดดล.
กิเลน ประลองเชิง
ที่มา : วัชรยานตันตระ