สวัสดีค่าาาาา

         ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า การรีวิวครั้งนี้เกิดจากความอยากแชร์ประสบการ์ณของลูกสาว
ที่ทนคุณแม่บ่นเกี่ยวกับความ "เหี่ยว" ของผิวบริเวณใบหน้าและรอบดวงตาไม่ไหวค่ะ แม่เราอายุ 49 ย่าง 50 ปีนะค่ะแต่จะดูแก่กว่าคนวัยเดียวกัน
เนื่องจาก คุณแม่เป็นเนื้องงอกบริเวณมดลูด เลยมีการตัดมดลูกทิ้งไปประมาณ 4-5 ปีที่แล้ว เลยทำให้ไม่มีประจำเดือน หมดฮอร์โมนเพศหญิง
เลยทำให้ผิวพรรณจากที่เคยเปล่งปลั่งนั่น แห้งเหี่ยวชนิดที่ว่า " แก่กระชากวัย" เลยค่ะ

         แม่เราไม่เคยทำศัลกรรม และออกแนวแอนตี้เลยที่เดียว เคยพาไปฉีด "Botox" ที่คลินิคชื่อดัง ที่ดาราเป็นพรีเซนต์เตอร์เยอะๆ
ผลที่ได้คือ ยิ้มไม่ออก ยิ้มไม่ออกนี่ไม่ใช่หน้าพังหรืออย่างไร แต่มันคือ ยิ้มแล้วหน้าแข็งโป๊ก!! ไม่มีสไมล์ไลน์ ตรงรอยตีนกาและหนังตา นี่หนักกว่าเดิมเลยค่ะอันนี้ไม่ทราบว่าหมอไม่เก่งหรือยังไง เพราะเราก็เลือกของ USA อย่างดี แม่บ่นเราทุกวันจน โบมันสลายเลยค่ะ

         สุดท้ายสิ่งที่ตัดสินใจพาคุณแม่ไปทำศัลยกรรม เพราะมีวันนึงเราพาแม่ไปเดินชื้อของแล้วเจอ คนรู้จักของแม่ที่อายุมากกว่าหลายปี แต่สวยเซียะ!! ขึ้นผิดหูผิดตา แต่พอถามว่าทำอะไร ไม่ยอมบอก แต่หน้ามันฟ้องอ่าค่ะ พอนึกภาพออกใช่มั้ยค่ะ กลับบ้านมาเราก็เลยตัดสินใจศึกษาข้อมูล    

         จริงๆแล้วเราค่อนข้างคุ้นเคยกับเรื่องพวกนี้นะค่ะ ไปเองบ้าง ไปนั่งเฝ้าเพื่อนบ้าง อ่านในอินเตอร์เน็ตบ้าง แต่มันเป็นการทำศัลกรรมเพราะอยากสวยของวัยรุ่น คือเพื่อนบางคนก็สวยแล้ว แต่อยากสวยอีก แต่เคสของแม่เรามันไม่ใช่ไงค่ะ มันคือความเหี่ยว ตีกา รอยย่นบริเวรหน้าผาก ร่องแก้มเรียกว่า ปัญหาค่อนข้างเยอะ แล้วแม่ก็อายุมากแล้ว ตองคำนึงถึงความปลอดภัยด้วย

          เราเลยพาคุณแม่ไปปรึกษา ทุกคลินิคที่เราคิดว่ามีชื่อเสียง ทั้งที่เราเคยไปไม่เคย ก็มีคลินิคคุณหมอชลทิศ คลินิคคุณหมอกมล โรงพยาบาล PAI คุณหมอเส คุณหมอยูมิ คุณหมอรวงข้าว สยามเลเซอร์คลินิค คือไปหมด มีทั้งปรึกษาเสียเงิน และให้คำปรึกษาฟรี แต่ละคลินิคก็แนะนำต่างกัน บางที่แนะนำให้กรีดตัดหนังตา บางทีก็ดึงหน้าแบบมินิเฟสลิฟ ร้อยไหม ดึงหน้า ยกคิ้ว อัลเทลล่า เยอะแยะมากมาย เสียเวลาไปปรึกษาอยู่เป็นอาทิตย์ สุดท้ายก็เลยมาตั้งหลัก ศึกษาข้อมูลจากเพื่อนสนิทที่ผ่านการทำศัยกรรมทั้งหลายแหล่ รวมถึงอินเตอร์เน็ทและ รีวิวพันทิป จนได้ข้อสรุปว่า เอาว่ะ "ยกคิ้วด้วยการส่องกล้องนี่หล่ะ" หน้าจะเหมาะกับเคสของแม่ และปลอดภัยที่สุดเพราะเป็นวัตกรรมใหม่ ที่สำคัญคือ ไม่มีรอยแผลบนใบหน้าจากการผ่าตัดด้วยค่ะ แผลจะซ่อนอยู่ในผม ขนาดเล็กมากๆ ประมาณ 4-5 จุด ส่วนผลลัพท์ที่ได้ แม่เราพอใจมาก ใครเห็นก็ทักว่า หน้าตึง ตาโตขึ้น แต่ไม่มีใครรู้ว่าไปทำอะไรมา มันเด็ดก็ตรงนี้หล่ะค่ะ

          ขั้นตอนการทำก็คือ
          เข้าไปปรึกษาคุณหมอที่คลินิค คุณหมอก็จะให้คำแนะนำว่าเคสของเราต้องทำอะไรแก้ไขตรงไหน มีการประเมิญผลว่าทำแล้วออกมาจะประมาณไหน ชอบหรือไม่ ตรงนี้ไม่มีค่าใช้จ่ายนะค่ะ สอบถามได้เลยนะค่ะจนกว่าจะพอใจ
          หลังจากนั้นก็วางมัดจำครึ่งนึง ละนัดคิวผ่าตัดได้เลยค่ะ
          พอถึงวันที่จะทำ พยาบาลจะนำชุดมาให้เปลี่ยน ให้แม่เราคลีนหน้า แล้วคุณหมอก็จะเอาปากกาเมจิกมามาร์คจุดๆต่างบริเวณใบหน้า ว่าต้องการดึงขึ้นไปประมาณไหน ตงไหนที่เราต้องการแก้ไขความบกพร่อง เคสของแม่เราเจาะ 5 จุดนะค่ะ เมื่อคุยกันเสร็จแล้ว พยาบาลก็จะมาเจาะเลือดและให้น้ำเกลือ แล้วก็มีฉีดยาด้วยค่ะ
          หลังจากนั้นครึ่งชม.ก็ เข้าห้องผ่าตัดค่ะ ใช้เวลาในการผ่าตัดประมาณ 2 ชม.ครึ่ง ใช้ยาสลบนะค่ะ พอแม่ออกจากห้องผ่าตัด เรานั่งรอสักพักก็พื้นค่ะ หลังจากนั้นก็มีพยาบาลเอาข้าวต้มกับยาแก้ปวดมาให้ แม่ออกจากห้องผ่าตัดประมาณห้าโมงกว่าๆ สองทุ่มก็กลับบ้านได้เลยค่ะ
             หลังจากนั้นก็ประคบเย็น ทานยาตามที่หมอสั่ง ปวดหัวบ้างเป็นระยะ อยู่ประมาณ 2-3 วัน พอวันที่ 4 แม่เราก็ไปนวดแล้วค่ะ ก็ใช้ชีวิตได้ตามปกติ มีช้ำบริเวณตาบนล่าง นิดหน่อย ตอนครบ 7 วัน ก็จางๆ ถ้าไม่สังเกตุก็ไม่เห็นค่ะ
             
             
              หลังจากทำมาตอนนี้ครบ 10 วันพอดี แม่เราก็ทำงานได้ตามปกติ ลูกค้าประจำที่มาซื้อของที่บ้านก็ ทักว่าสวยขึ้น หน้าตึง ผิวตึง ไปทำไรมา แม่เราก็ยิ้มแก้มปริเลยค่ะ สรุปว่าแฮ๊ปปี้มากๆ แม่เราก็บอกตรงๆนะค่ะว่าไปยกคิ้ว 555+
             

              ปล. เราเห็นบางคนอายุน้อยๆก็ไปยกคิ้วกันนะค่ะ พอถามก็เลยทราบว่า ตากับคิ้วติดกัน อยากให้หน้าดูไบร์ทๆ ตากลมโต ก็เลยไปทำ เรื่องความสวยงามนี่ว่ากันไม่ได้จริงๆค่ะ เรื่องค่าใช่จ่ายกับหมอที่ทำให้แม่เรา รบกวนสอบถามนอกรอบนะค่ะ กลัวคนหาว่ามาโฆษณาค่ะ