จุดประสงค์ที่ตั้งกระทู้ขึ้นมา ไม่มีอะไรมากนะคะแค่อยากระบายและขอคำแนะนำเล็กๆน้อยๆ
ตอนนี้เริ่มรู้สึกว่าตัวเองใกล้หมดความอดทนแล้วค่ะ
เมทเรา... จัดว่าเป็นคนที่หน้าตาสวยน่ารัก เลยมีผู้ชายมาตามและคุยด้วยหลายคน ทุกวันนี้น่าจะคุยอยู่หลายรายเลย
แต่ชีก็ไม่ตกลงเลือกใครนะคะ เพราะไม่ได้คิดอะไรด้วย แค่คุยเป็นเพื่อนกันขำๆ (จ้าาาาา)
เราก็เคยเตือนนะว่าอย่าให้ความหวังเค้า เธอก็บอกว่าบอกผู้ชายไปแล้วว่าไม่ได้คิดอะไรด้วยแต่ผู้ชายก็ยังจะคุยต่อ
เราก็เลยบอกว่าจริงๆก็ตัดไปเลยดิ ถ้าไม่รู้สึกอะไรด้วย อย่าคุยต่อเพราะยังไงก็เหมือน'เลี้ยง'ความรู้สึกไว้อยู่
เธอก็บอกอีกว่าเป็นเพื่อนกัน ไม่อยากทำร้ายความรู้สึกใคร ไอ่เราก็แบบ เออเนอะ เรื่องของเธอแล้วกัน ชั้นไม่ก้าวก่ายล่ะ
เราไม่มายด์เรื่องที่เธอจะคุยโทรศัพท์ เล่นไลน์หรือเล่าเรื่องคนที่มาชอบเธอให้ฟัง บางครั้งเรายังแซวอยู่เลย
แต่พักหลังมานี้ ชีเริ่มคุยกับฝ่ายนู้นมากขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเวลากลางคืนสองสามทุ่มเป็นต้นไป ไม่มีวันหยุดราชการ(ฮา)
ประเด็นมันอยูาตรงนี้ค่ะ เวลาชีเม้าท์มอย เธอเปิดลำโพงค่ะ ถามเราสักนิดมั้ยว่าอยากฟังด้วยรึเปล่า
และถามคนข้างห้องมั้ยว่าเค้าอยากรับรู้เรื่องส่วนตัวด้วยป่ะ เบาๆเป็นมั้ยฮะะะะะ
คือเราอยู่หอพักกันใช่ป่ะ คือห้องมันก็ไม่ได้เก็บเสียงไรมากมาย แถมติดๆกันด้วย ประกอบกับเสียงนางแหลมและดัง
ซึ่งบางทีนางไม่รู้ตัว ขนาดเราออกจากห้องไปยืนที่ลิฟต์เพื่อลงไปข้างล่าง ยังได้ยินชัดเจนเลยว่านางคุยกะใครและเรื่องอะไร
เราเคยเตือนเค้าไปแล้วสมัยตอนอยู่ด้วยกันใหม่ๆ สองครั้งจำได้ ครั้งแรกนางก็เบาเสียงลงแต่สักพักก็ดังเหมือนเดิม คงด้วยความลืมตัวหรือเคยชิน
ครั้งที่สอง คราวนี้เหมือนนางแกล้งหน้ายิ้มๆ คุยเสียงดังกว่าเดิม ไอ่เราก็แบบแว้ดไป อย่าทำงี้นะ
นั่นเป็นเรื่องเมื่อปีกว่าๆมาแล้ว ซึ่งคุยกับอีกคนที่ไม่ใช่คนนี้
มีครั้งนึง นางพาเพื่อนมาทำงานที่ห้อง ไอ่เราก็แบบวันนั้นเหนื่อยๆ อยากกลับห้องมานอน
ปรากฏอยู่หน้าห้องปุ๊ป เสียงชีโวกเวกจากในห้องพร้อมเสียงเพื่อนนาง ในใจก็ได้แต่กรีดร้อง ชั้นอยากจะบ้าตาย
ก็โอเค ไม่เป็นไร ไม่นอนก็ได้ เลยนั่งทำการบ้านไป รู้มั้ยคะ ไม่มีสมาธิเลยเพราะเสียงโวยวายดังไม่หยุด
เราก็รอจนค่ำว่าเมื่อไหร่นางจะไปหรือหยุดส่งเสียงสักที ดึกแล้วก็ยังทำงานไม่เสร็จเพราะมัวแต่คุยและนั่งเล่นกัน
ระหว่างนั้น พ่อกะแม่เราก็โทรเข้ามา เราคุยไม่รู้เรื่องเลยเพราะมีเสียงแทรกตลอด จนแม่เราต้องขอวางสาย
เหตุการณ์แบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรกนะคะ ตลอดเวลาหลายปีที่อยู่หอกันมา แม่เราเอือมมาก
เราถือคติว่าคุยกันแล้ว เข้าใจแล้วจบ แต่ถ้ามีอีกคือเราจะไม่พูดเพราะถือว่าโตๆกันแล้ว พ่อแม่ก็สั่งสอนมา น่าจะคิดได้ ไม่ต้องให้คนอื่นมาว่า
ส่วนตัวเราจะอดทนให้ถึงที่สุด ทำตัวอย่าสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น เราเป็นประเภทนั้น ไม่พูด ปากบอกไม่เป็นไร แต่เมื่อไหร่ไม่ไหวปล่อยออกมาเลย
สำหรับคนอื่นคิดว่าไงไม่รู้นะคะ แต่เราเคยพูดกับเค้าว่ายิ่งสนิทกันก็ยิ่งต้องเกรงใจกัน คนอื่นอาจมองว่าคนรู้จักกันกันควรต้องเกรงใจ แต่คนที่เป็นเพื่อน
หรือครอบครัวหรือคนรู้จักไม่มีความจำเป็นต้องเกรงใจมากมายเพราะถือว่ารู้จักเราดี รู้ว่าเราเป็นคนยังไง
เราบอกว่ามันก็ใช่ ไม่ผิดที่จะคิดอย่างนั้น แต่สำหรับเราแล้วต้องเกรงใจเพื่อน ครอบครัวหรือคนที่รู้จักให้มากๆ เพราะเค้าคือคนสำคัญ
บางทีการไม่เกรงใจกัน อาจลำเส้นหรือทำลายความรู้สึกอีกฝ่ายได้ ไม่คุ้มเลย
ทั้งคืนเราต้องทนกับความรำคาญ บางทีเราก็คิดว่าทำไมต้องทนวะ คือไม่มีความเกรงใจใดๆเลย
จุดนั้นคือหงุดหงิดมาก แต่ก็แบบไม่อยากพูดเพราะตอนนั้นอารมณ์ขึ้น ไม่ปกติ รู้ว่าพูดไปสีหน้านี่คงมาเต็ม
เดี๋ยวทะเลาะกันเปล่าๆ เลยหยิบหยังสือที่จะอ่านสอบขึ้น หวังให้พวกนางเห็นแล้วสงบปากสงบคำหน่อย
ปรากฎคือเห็นค่ะ แต่ก็ยังเหมือนเดิม จนเพื่อนนางกลับไปในเวลาห้าทุ่มนิดๆเพราะหอปิดเที่ยงคืน เพื่อนนางเห็นหันมาถามเรา
อ้าว มีสอบเรา ทำไมไม่บอกเรา จะได้ไม่เสียงดัง คือในใจคิดไปหลายอย่างมาก แต่ก็ตอบยิ้มๆไปว่าไม่เป็นไร
หนึ่ง คือ มันเป็นมารยาทและสิ่งที่ควรต้องทำป่ะวะ มาห้องคนอื่นนี่ต้องเกรงใจกันบ้างดิ ต้องให้เค้าบอกหรอ
สอง คือ เพื่อนตัวดี เมทเรา คุณเธอถ้าจะกรุณาควรคิดบ้างว่าห้องนี้เธอไม่ได้อยู่คนเดียว
วันหลัง มีเพื่อนโทรมาขอไปห้องเราเพื่อให้ช่วยแก้งานให้หน่อย ตอนแรกก็กำลังจะปฏิเสธว่าอ่านหนังสือสอบอยู่ (ตอนนั้นนางก็กำลังจะสอบเหมือนกัน เลยเงียบ ต่างคนต่างอ่านหนังสือ) แต่มีแวบหนึ่ง คิดอยากเอาคืนนาง สอนให้รู้ซะบ้างเวลาที่เธอพาเพื่อนมาห้องแล้วชั้นต้องทนอะไรบ้าง
แต่เรายังมีมารยาทนิดนึงบอกนางว่าเพื่อนจะมา (ซึ่งเวลาเพื่อนนางมา คือเดี๋ยวนี้ไม่บอกล่ะคงถือว่าเรารู้จักกับเพื่อนนางระดับนึงแล้ว เมื่อก่อนก็มีบอกบ้างแต่ปัจจุบันก็คือโผล่มาเลยจ้ะ) ปฏิกิริยาคือสีหน้านี่มาเต็มพร้อมคำพูดที่ว่ามาทำไมอ่ะ จะเสียงดังมั้ย เราอ่านหนังสืออยู่ เราก็ตอบนิ่งๆว่ามาช่วยแก้งาน
โธ่ แม่คุณ ดีจ่ะที่ปกป้องสิทธิ์ตัวเอง แต่เคยนึกมั้ยว่าเวลาตัวเองพาเพื่อนมาห้องอ่ะ รบกวนเรามั้ย เห็นอยู่ตำตาว่าชั้นต้องการสมาธิก็ยังดัง
เราก็พูดต่อไปว่าไม่เห็นเป็นไรเลย แปปเดียวเอง ไม่นานและไม่ดัง ยังยั้งปากทันที่ว่าทีเวลาเธอพาเพื่อนมาล่ะ ตั้งกี่คน ของชั้นคนเดียวเองและเพิ่งพามาครั้งแรก (คือ ปกติเราจะไม่นัดทำงานกันที่ห้องเพราะต่างเกรงใจเพื่อนและเมท ยกเว้นเพื่อนคนไหนที่อยู่คนเดียว) สรุปนางเลยออกจากห้องไปอ่านหนังสือห้องเพื่อน เราว่าอ่านนี่ก็ได้ เธอก็รู้ว่าปกติเราเป็นคนเสียงเบาอยู่แล้ว แต่นางก็บอกไม่เป็นไร ไปห้องเพื่อนเลย จริงๆตอนนั้นในใจก็รู้สึกผิดนะ
แต่อีกใจก็ขอหน่อย ตอนแรกกะแปปเดียว ล่อเข้าไปเป็นชั่วโมง เพื่อนเราก็ถามหาเมทแต่เราก็บอกแค่ว่าไปอ่านหนังสือกับเพื่อนเค้า ไม่อยากให้เพื่อนรู้สึกผิด คือเพื่อนเราก็ถามว่ามาได้ไหมและเมทอยู่เปล่า เราอนุญาตให้มาเอง อยากช่วยเพื่อนด้วย ตอนนั้นที่แก้งานให้ก็เกิดความรู้สึกสองอย่างไปพร้อมๆกัน
กระวนกระวายห่วงว่าเมทจะอ่านหนังสือได้มั้ย และอีกใจก็แบบทำไมชั้นต้องทำไรแบบนี้ด้วยวะ แต่ปรากฏกลับมาห้องสีหน้านางแช่มชื่น
ค่ะ ชั้นไม่น่าสงสารแกเลย สมเพชตัวเองดีกว่ามั้ยเนี่ย
กลับมาสู่ปัจจุบันค่ะ
ผู้ชายนางโทรมาอีกครั้ง ทีนี้เวลาผู้ชายโทรมา สิ่งแรกที่ทำให้รู้ว่าชีกำลังคุยกับผู้ชายก็คือน้ำเสียงที่ใช้จะเปลี่ยนเป็น งุ้งงิ้งมาเชียว แง้งแง้ง งุงิ แบ๊วๆ ใสๆ ซึ่งคือไร ปากบอกว่าคุยเล่นๆไปงั้นแต่วิธีอ่อยเหยื่อนี่มาเต็ม 55555 เราเคยแซวแบบนี้ต่อหน้านางและต่อหน้าเพื่อนนาง แหม่ เงียบค่ะ สงสัยเขิน ไปต่อไปถูก เรานะคิดว่าไหนๆก็ไหนๆแล้วทำไมไม่คบกันไปให้สิ้นเรื่อง ครึ่งๆกลางๆทำไม (จริงๆฝ่ายผู้ชายก็รู้นะว่าเธอมีคนอื่นมาคุยด้วย เมทเราก็บอกชัดเจนแต่การกระทำนี่บางทีเราว่ามันก็ไม่ค่อยถูกเท่าไหร่นะ ไม่รู้สิ ชีบอกว่าตราบใดที่ยังไม่มีแฟนเราก็มีสิทธิเลือก ใจเราก็แบบถ้าทุกคนทำแบบนี้กันหมดแล้วมันเหลืออะไร ไม่ผิดที่เราจะคุยหลายๆคน เพราะทุกคนต่างต้องการตัวเลือกที่ดีที่สุด แต่รู้อะไรมั้ย ไม่มีใครอยากเป็นตัวเลือกของใครหรอกนะ ไม่ต้องการเป็นที่หนึ่งแต่ต้องการเป็นแค่คนเดียว คือหลายคนมีความคิดแบบนั้นเรื่องของคุณ แต่เมทเรา เราไม่อยากให้คิดมีอคติหรือคิดอะไรแบบผิดๆเพียงเพราะครั้งหนึ่งเจออะไรไม่ดีมา ถามว่ามีคนเคยจีบเราไหม ก็มีแต่ครั้งแรกที่เค้าพยายามคุยกับเรา เราก็เมินเลย ไม่คิดคือไม่คิด เค้าก็พยายามอยู่เป็นเดือนจนล้มเลิกไป เพื่อนก็ว่าเราว่าใจร้ายแต่เรากลับคิดว่าถ้ายังปล่อยไว้อย่างนี้เรื่อยๆ นั่นต่างหากที่ใจร้าย)
จริงๆเพื่อนสนิทนางก็เคยบอกเหมือนกับเรา ว่าถ้าไม่คิดด้วยก็อย่าต่อความยาวสาวความยืด เปลืองเวลาทั้งคู้เปล่าๆ แต่นางก็ปฏิเสธท่าเดียว
เอาล่ะ เข้าเรื่องกันดีกว่า พอผู้ชายโทรมาจะเริ่มคุยด้วยน้ำเสียงหวานๆแล้ว ทั้งที่ไม่มีเรื่องคุยก็คุยกันได้ยาวเป็นชั่วโมงโดยที่ไม่รู้ตัว บางทีฝ่ายชายก็อ้อน ฝ่ายนี้ก็ไม่ๆปฏิเสธตลอด แต่ก็ไม่มีใครยอมวาง และประเด็นมันอยู่ตรงนี้ค่ะ เสียงนางเดี๋ยวๆสูงเดี๋ยวๆลากยาว มันหนวกหูมาก รบกวนสมาธิเรา อ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง ทำการบ้านไม่ได้ คิดอะไรไม่ออก คือเหมือนมีแมลงวี่บินอยู่ๆใกล้ปัดไม่ออก ไม่ไปไหนสักที ทีนี้ไมเกรนเราจะขึ้นเอาสิคะ ลุ้นว่าเมื่อนางจะเงียบ เดี๋ยวก็ต้องระแวงว่าเมื่อไหร่จะส่งเสียงดังให้ตกใจ คือมันจะเป็นแบบคุยๆแล้วเงียบ ชั้นก็นึกว่าวางแล้ว ปรากฏดังขึ้นเฉย สะดุ้งตกใจสิคะ ไอ้ที่คิดอยาในสมองนี่หายเกลี้ยง อยากจะร้องไห้จริงๆ
เราเลยแบบไปอาบน้ำ เค คุยกันให้พอนะครึ่งชั่วโมง ออกมานางวางสายแล้ว เฮ้อ โล่งอก แต่ค่ะแต่ พอเปิดหนังสือเท่านี้ริงโทนมือถือนางดัง เสียงกรอกไปตามสาย จ้ะ อีกแล้ว คุยต่อ เอากะคู่นี้สิ เพลีย
เราทนต่อไปอีกเกือบชั่วโมง สุดท้ายนางวางแต่เรานี่ทำงานต่อไม่ไหวแล้วเลยนอน เข้าใจไหมอ่ะว่าคนที่กำลังคร่ำเครียดอยู่ต้องการความสงบแค่ไหน แต่ไม่ค่ะ ไม่รับรู้อะไรเลย
แต่ยังค่ะ ยังไม่จบแค่นี้
เราหลับได้สักพัก ผู้ชายนางก็โทรมาอีก ตอนนั้นน่าจะตีสองตีสามได้แล้วมั้ง คือแบบช่วยเกรงใจชั้นนึงได้ไหม ตอนนี้เราเลยกะว่าต่อไปถ้าดังอีกเราจะพูดแล้ว พูดใส่ให้ฝ่ายชายได้ยินด้วยเลย รำคาญมากๆ รำคาญเสียงนางที่ดัดซะจนมันน่าหมั่นไส้ เราพยายามคิดถึงข้อดีของนางมากลบความรู้สึกแย่ๆที่เกิดขึ้นในตอนนั้น แต่ก็ไม่ได้ช่วยเลย
เราควรทำไงดี เราไม่อยากทนล่ะ เสียสุขภาพจิต
แต่ก็ไม่อยากพูดเรื่องเดิมซ้ำๆว่าอย่าเสียงดัง มันน่าเบื่อและมันแรง
ที่มันแรงเพราะเราเป็นประเภทพูดน้อยต่อยหนัก ถ้าคนอื่นพูดมันไม่แรงไงเพราะพูดมาก แต่พอเราพูดจะแรงขึ้นมาทันที
เราเคยบอกว่าที่ไม่พูดเพราะน่าจะคิดเองเป็น และสิ่งที่เราพูดก็แค่พูดความจริง ซึ่งใครๆเค้าก็พูดกัน
เราเคยเล่าเรื่องน้องชายให้นางฟังซึ่งเป็นเรื่องจริง(ไม่ต่างจากพี่สาวเท่าไหร่ โธ๋) ว่าเวลาแม่โทรไปเพื่อนชอบส่งเสียงดังลอดเข้ามา
ขนาดน้องชายเราว่าแล้วให้เบาๆหน่อยก็ยังดัง เราก็เลยว่าว่าแบบไม่มีมารยาท ไม่ผ่านการอบรม ไม่มีความเกรงใจเลย
ชีก็ทำหน้าเห็นด้วยและแบบ เออ ทำไมน่าเกลียดอย่างนี้
หารู้ไม่ ว่าชั้นกำลังพูดถึงเธออยู่เหมือนกัน คือเราหวังว่าเธอน่าจะคิดได้บ้างว่าเวลาชั้นคุยโทรศัพท์กับแม่ เธอไม่ควรเสียงดัง
ค่ะ เรื่องคร่าวๆก็มีประมาณนี้
เมื่อเมทคุยโทรศัพท์เสียงดัง รบกวนสมาธิในการอ่านหนังสือของเรา...
ตอนนี้เริ่มรู้สึกว่าตัวเองใกล้หมดความอดทนแล้วค่ะ
เมทเรา... จัดว่าเป็นคนที่หน้าตาสวยน่ารัก เลยมีผู้ชายมาตามและคุยด้วยหลายคน ทุกวันนี้น่าจะคุยอยู่หลายรายเลย
แต่ชีก็ไม่ตกลงเลือกใครนะคะ เพราะไม่ได้คิดอะไรด้วย แค่คุยเป็นเพื่อนกันขำๆ (จ้าาาาา)
เราก็เคยเตือนนะว่าอย่าให้ความหวังเค้า เธอก็บอกว่าบอกผู้ชายไปแล้วว่าไม่ได้คิดอะไรด้วยแต่ผู้ชายก็ยังจะคุยต่อ
เราก็เลยบอกว่าจริงๆก็ตัดไปเลยดิ ถ้าไม่รู้สึกอะไรด้วย อย่าคุยต่อเพราะยังไงก็เหมือน'เลี้ยง'ความรู้สึกไว้อยู่
เธอก็บอกอีกว่าเป็นเพื่อนกัน ไม่อยากทำร้ายความรู้สึกใคร ไอ่เราก็แบบ เออเนอะ เรื่องของเธอแล้วกัน ชั้นไม่ก้าวก่ายล่ะ
เราไม่มายด์เรื่องที่เธอจะคุยโทรศัพท์ เล่นไลน์หรือเล่าเรื่องคนที่มาชอบเธอให้ฟัง บางครั้งเรายังแซวอยู่เลย
แต่พักหลังมานี้ ชีเริ่มคุยกับฝ่ายนู้นมากขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเวลากลางคืนสองสามทุ่มเป็นต้นไป ไม่มีวันหยุดราชการ(ฮา)
ประเด็นมันอยูาตรงนี้ค่ะ เวลาชีเม้าท์มอย เธอเปิดลำโพงค่ะ ถามเราสักนิดมั้ยว่าอยากฟังด้วยรึเปล่า
และถามคนข้างห้องมั้ยว่าเค้าอยากรับรู้เรื่องส่วนตัวด้วยป่ะ เบาๆเป็นมั้ยฮะะะะะ
คือเราอยู่หอพักกันใช่ป่ะ คือห้องมันก็ไม่ได้เก็บเสียงไรมากมาย แถมติดๆกันด้วย ประกอบกับเสียงนางแหลมและดัง
ซึ่งบางทีนางไม่รู้ตัว ขนาดเราออกจากห้องไปยืนที่ลิฟต์เพื่อลงไปข้างล่าง ยังได้ยินชัดเจนเลยว่านางคุยกะใครและเรื่องอะไร
เราเคยเตือนเค้าไปแล้วสมัยตอนอยู่ด้วยกันใหม่ๆ สองครั้งจำได้ ครั้งแรกนางก็เบาเสียงลงแต่สักพักก็ดังเหมือนเดิม คงด้วยความลืมตัวหรือเคยชิน
ครั้งที่สอง คราวนี้เหมือนนางแกล้งหน้ายิ้มๆ คุยเสียงดังกว่าเดิม ไอ่เราก็แบบแว้ดไป อย่าทำงี้นะ
นั่นเป็นเรื่องเมื่อปีกว่าๆมาแล้ว ซึ่งคุยกับอีกคนที่ไม่ใช่คนนี้
มีครั้งนึง นางพาเพื่อนมาทำงานที่ห้อง ไอ่เราก็แบบวันนั้นเหนื่อยๆ อยากกลับห้องมานอน
ปรากฏอยู่หน้าห้องปุ๊ป เสียงชีโวกเวกจากในห้องพร้อมเสียงเพื่อนนาง ในใจก็ได้แต่กรีดร้อง ชั้นอยากจะบ้าตาย
ก็โอเค ไม่เป็นไร ไม่นอนก็ได้ เลยนั่งทำการบ้านไป รู้มั้ยคะ ไม่มีสมาธิเลยเพราะเสียงโวยวายดังไม่หยุด
เราก็รอจนค่ำว่าเมื่อไหร่นางจะไปหรือหยุดส่งเสียงสักที ดึกแล้วก็ยังทำงานไม่เสร็จเพราะมัวแต่คุยและนั่งเล่นกัน
ระหว่างนั้น พ่อกะแม่เราก็โทรเข้ามา เราคุยไม่รู้เรื่องเลยเพราะมีเสียงแทรกตลอด จนแม่เราต้องขอวางสาย
เหตุการณ์แบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรกนะคะ ตลอดเวลาหลายปีที่อยู่หอกันมา แม่เราเอือมมาก
เราถือคติว่าคุยกันแล้ว เข้าใจแล้วจบ แต่ถ้ามีอีกคือเราจะไม่พูดเพราะถือว่าโตๆกันแล้ว พ่อแม่ก็สั่งสอนมา น่าจะคิดได้ ไม่ต้องให้คนอื่นมาว่า
ส่วนตัวเราจะอดทนให้ถึงที่สุด ทำตัวอย่าสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น เราเป็นประเภทนั้น ไม่พูด ปากบอกไม่เป็นไร แต่เมื่อไหร่ไม่ไหวปล่อยออกมาเลย
สำหรับคนอื่นคิดว่าไงไม่รู้นะคะ แต่เราเคยพูดกับเค้าว่ายิ่งสนิทกันก็ยิ่งต้องเกรงใจกัน คนอื่นอาจมองว่าคนรู้จักกันกันควรต้องเกรงใจ แต่คนที่เป็นเพื่อน
หรือครอบครัวหรือคนรู้จักไม่มีความจำเป็นต้องเกรงใจมากมายเพราะถือว่ารู้จักเราดี รู้ว่าเราเป็นคนยังไง
เราบอกว่ามันก็ใช่ ไม่ผิดที่จะคิดอย่างนั้น แต่สำหรับเราแล้วต้องเกรงใจเพื่อน ครอบครัวหรือคนที่รู้จักให้มากๆ เพราะเค้าคือคนสำคัญ
บางทีการไม่เกรงใจกัน อาจลำเส้นหรือทำลายความรู้สึกอีกฝ่ายได้ ไม่คุ้มเลย
ทั้งคืนเราต้องทนกับความรำคาญ บางทีเราก็คิดว่าทำไมต้องทนวะ คือไม่มีความเกรงใจใดๆเลย
จุดนั้นคือหงุดหงิดมาก แต่ก็แบบไม่อยากพูดเพราะตอนนั้นอารมณ์ขึ้น ไม่ปกติ รู้ว่าพูดไปสีหน้านี่คงมาเต็ม
เดี๋ยวทะเลาะกันเปล่าๆ เลยหยิบหยังสือที่จะอ่านสอบขึ้น หวังให้พวกนางเห็นแล้วสงบปากสงบคำหน่อย
ปรากฎคือเห็นค่ะ แต่ก็ยังเหมือนเดิม จนเพื่อนนางกลับไปในเวลาห้าทุ่มนิดๆเพราะหอปิดเที่ยงคืน เพื่อนนางเห็นหันมาถามเรา
อ้าว มีสอบเรา ทำไมไม่บอกเรา จะได้ไม่เสียงดัง คือในใจคิดไปหลายอย่างมาก แต่ก็ตอบยิ้มๆไปว่าไม่เป็นไร
หนึ่ง คือ มันเป็นมารยาทและสิ่งที่ควรต้องทำป่ะวะ มาห้องคนอื่นนี่ต้องเกรงใจกันบ้างดิ ต้องให้เค้าบอกหรอ
สอง คือ เพื่อนตัวดี เมทเรา คุณเธอถ้าจะกรุณาควรคิดบ้างว่าห้องนี้เธอไม่ได้อยู่คนเดียว
วันหลัง มีเพื่อนโทรมาขอไปห้องเราเพื่อให้ช่วยแก้งานให้หน่อย ตอนแรกก็กำลังจะปฏิเสธว่าอ่านหนังสือสอบอยู่ (ตอนนั้นนางก็กำลังจะสอบเหมือนกัน เลยเงียบ ต่างคนต่างอ่านหนังสือ) แต่มีแวบหนึ่ง คิดอยากเอาคืนนาง สอนให้รู้ซะบ้างเวลาที่เธอพาเพื่อนมาห้องแล้วชั้นต้องทนอะไรบ้าง
แต่เรายังมีมารยาทนิดนึงบอกนางว่าเพื่อนจะมา (ซึ่งเวลาเพื่อนนางมา คือเดี๋ยวนี้ไม่บอกล่ะคงถือว่าเรารู้จักกับเพื่อนนางระดับนึงแล้ว เมื่อก่อนก็มีบอกบ้างแต่ปัจจุบันก็คือโผล่มาเลยจ้ะ) ปฏิกิริยาคือสีหน้านี่มาเต็มพร้อมคำพูดที่ว่ามาทำไมอ่ะ จะเสียงดังมั้ย เราอ่านหนังสืออยู่ เราก็ตอบนิ่งๆว่ามาช่วยแก้งาน
โธ่ แม่คุณ ดีจ่ะที่ปกป้องสิทธิ์ตัวเอง แต่เคยนึกมั้ยว่าเวลาตัวเองพาเพื่อนมาห้องอ่ะ รบกวนเรามั้ย เห็นอยู่ตำตาว่าชั้นต้องการสมาธิก็ยังดัง
เราก็พูดต่อไปว่าไม่เห็นเป็นไรเลย แปปเดียวเอง ไม่นานและไม่ดัง ยังยั้งปากทันที่ว่าทีเวลาเธอพาเพื่อนมาล่ะ ตั้งกี่คน ของชั้นคนเดียวเองและเพิ่งพามาครั้งแรก (คือ ปกติเราจะไม่นัดทำงานกันที่ห้องเพราะต่างเกรงใจเพื่อนและเมท ยกเว้นเพื่อนคนไหนที่อยู่คนเดียว) สรุปนางเลยออกจากห้องไปอ่านหนังสือห้องเพื่อน เราว่าอ่านนี่ก็ได้ เธอก็รู้ว่าปกติเราเป็นคนเสียงเบาอยู่แล้ว แต่นางก็บอกไม่เป็นไร ไปห้องเพื่อนเลย จริงๆตอนนั้นในใจก็รู้สึกผิดนะ
แต่อีกใจก็ขอหน่อย ตอนแรกกะแปปเดียว ล่อเข้าไปเป็นชั่วโมง เพื่อนเราก็ถามหาเมทแต่เราก็บอกแค่ว่าไปอ่านหนังสือกับเพื่อนเค้า ไม่อยากให้เพื่อนรู้สึกผิด คือเพื่อนเราก็ถามว่ามาได้ไหมและเมทอยู่เปล่า เราอนุญาตให้มาเอง อยากช่วยเพื่อนด้วย ตอนนั้นที่แก้งานให้ก็เกิดความรู้สึกสองอย่างไปพร้อมๆกัน
กระวนกระวายห่วงว่าเมทจะอ่านหนังสือได้มั้ย และอีกใจก็แบบทำไมชั้นต้องทำไรแบบนี้ด้วยวะ แต่ปรากฏกลับมาห้องสีหน้านางแช่มชื่น
ค่ะ ชั้นไม่น่าสงสารแกเลย สมเพชตัวเองดีกว่ามั้ยเนี่ย
กลับมาสู่ปัจจุบันค่ะ
ผู้ชายนางโทรมาอีกครั้ง ทีนี้เวลาผู้ชายโทรมา สิ่งแรกที่ทำให้รู้ว่าชีกำลังคุยกับผู้ชายก็คือน้ำเสียงที่ใช้จะเปลี่ยนเป็น งุ้งงิ้งมาเชียว แง้งแง้ง งุงิ แบ๊วๆ ใสๆ ซึ่งคือไร ปากบอกว่าคุยเล่นๆไปงั้นแต่วิธีอ่อยเหยื่อนี่มาเต็ม 55555 เราเคยแซวแบบนี้ต่อหน้านางและต่อหน้าเพื่อนนาง แหม่ เงียบค่ะ สงสัยเขิน ไปต่อไปถูก เรานะคิดว่าไหนๆก็ไหนๆแล้วทำไมไม่คบกันไปให้สิ้นเรื่อง ครึ่งๆกลางๆทำไม (จริงๆฝ่ายผู้ชายก็รู้นะว่าเธอมีคนอื่นมาคุยด้วย เมทเราก็บอกชัดเจนแต่การกระทำนี่บางทีเราว่ามันก็ไม่ค่อยถูกเท่าไหร่นะ ไม่รู้สิ ชีบอกว่าตราบใดที่ยังไม่มีแฟนเราก็มีสิทธิเลือก ใจเราก็แบบถ้าทุกคนทำแบบนี้กันหมดแล้วมันเหลืออะไร ไม่ผิดที่เราจะคุยหลายๆคน เพราะทุกคนต่างต้องการตัวเลือกที่ดีที่สุด แต่รู้อะไรมั้ย ไม่มีใครอยากเป็นตัวเลือกของใครหรอกนะ ไม่ต้องการเป็นที่หนึ่งแต่ต้องการเป็นแค่คนเดียว คือหลายคนมีความคิดแบบนั้นเรื่องของคุณ แต่เมทเรา เราไม่อยากให้คิดมีอคติหรือคิดอะไรแบบผิดๆเพียงเพราะครั้งหนึ่งเจออะไรไม่ดีมา ถามว่ามีคนเคยจีบเราไหม ก็มีแต่ครั้งแรกที่เค้าพยายามคุยกับเรา เราก็เมินเลย ไม่คิดคือไม่คิด เค้าก็พยายามอยู่เป็นเดือนจนล้มเลิกไป เพื่อนก็ว่าเราว่าใจร้ายแต่เรากลับคิดว่าถ้ายังปล่อยไว้อย่างนี้เรื่อยๆ นั่นต่างหากที่ใจร้าย)
จริงๆเพื่อนสนิทนางก็เคยบอกเหมือนกับเรา ว่าถ้าไม่คิดด้วยก็อย่าต่อความยาวสาวความยืด เปลืองเวลาทั้งคู้เปล่าๆ แต่นางก็ปฏิเสธท่าเดียว
เอาล่ะ เข้าเรื่องกันดีกว่า พอผู้ชายโทรมาจะเริ่มคุยด้วยน้ำเสียงหวานๆแล้ว ทั้งที่ไม่มีเรื่องคุยก็คุยกันได้ยาวเป็นชั่วโมงโดยที่ไม่รู้ตัว บางทีฝ่ายชายก็อ้อน ฝ่ายนี้ก็ไม่ๆปฏิเสธตลอด แต่ก็ไม่มีใครยอมวาง และประเด็นมันอยู่ตรงนี้ค่ะ เสียงนางเดี๋ยวๆสูงเดี๋ยวๆลากยาว มันหนวกหูมาก รบกวนสมาธิเรา อ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง ทำการบ้านไม่ได้ คิดอะไรไม่ออก คือเหมือนมีแมลงวี่บินอยู่ๆใกล้ปัดไม่ออก ไม่ไปไหนสักที ทีนี้ไมเกรนเราจะขึ้นเอาสิคะ ลุ้นว่าเมื่อนางจะเงียบ เดี๋ยวก็ต้องระแวงว่าเมื่อไหร่จะส่งเสียงดังให้ตกใจ คือมันจะเป็นแบบคุยๆแล้วเงียบ ชั้นก็นึกว่าวางแล้ว ปรากฏดังขึ้นเฉย สะดุ้งตกใจสิคะ ไอ้ที่คิดอยาในสมองนี่หายเกลี้ยง อยากจะร้องไห้จริงๆ
เราเลยแบบไปอาบน้ำ เค คุยกันให้พอนะครึ่งชั่วโมง ออกมานางวางสายแล้ว เฮ้อ โล่งอก แต่ค่ะแต่ พอเปิดหนังสือเท่านี้ริงโทนมือถือนางดัง เสียงกรอกไปตามสาย จ้ะ อีกแล้ว คุยต่อ เอากะคู่นี้สิ เพลีย
เราทนต่อไปอีกเกือบชั่วโมง สุดท้ายนางวางแต่เรานี่ทำงานต่อไม่ไหวแล้วเลยนอน เข้าใจไหมอ่ะว่าคนที่กำลังคร่ำเครียดอยู่ต้องการความสงบแค่ไหน แต่ไม่ค่ะ ไม่รับรู้อะไรเลย
แต่ยังค่ะ ยังไม่จบแค่นี้
เราหลับได้สักพัก ผู้ชายนางก็โทรมาอีก ตอนนั้นน่าจะตีสองตีสามได้แล้วมั้ง คือแบบช่วยเกรงใจชั้นนึงได้ไหม ตอนนี้เราเลยกะว่าต่อไปถ้าดังอีกเราจะพูดแล้ว พูดใส่ให้ฝ่ายชายได้ยินด้วยเลย รำคาญมากๆ รำคาญเสียงนางที่ดัดซะจนมันน่าหมั่นไส้ เราพยายามคิดถึงข้อดีของนางมากลบความรู้สึกแย่ๆที่เกิดขึ้นในตอนนั้น แต่ก็ไม่ได้ช่วยเลย
เราควรทำไงดี เราไม่อยากทนล่ะ เสียสุขภาพจิต
แต่ก็ไม่อยากพูดเรื่องเดิมซ้ำๆว่าอย่าเสียงดัง มันน่าเบื่อและมันแรง
ที่มันแรงเพราะเราเป็นประเภทพูดน้อยต่อยหนัก ถ้าคนอื่นพูดมันไม่แรงไงเพราะพูดมาก แต่พอเราพูดจะแรงขึ้นมาทันที
เราเคยบอกว่าที่ไม่พูดเพราะน่าจะคิดเองเป็น และสิ่งที่เราพูดก็แค่พูดความจริง ซึ่งใครๆเค้าก็พูดกัน
เราเคยเล่าเรื่องน้องชายให้นางฟังซึ่งเป็นเรื่องจริง(ไม่ต่างจากพี่สาวเท่าไหร่ โธ๋) ว่าเวลาแม่โทรไปเพื่อนชอบส่งเสียงดังลอดเข้ามา
ขนาดน้องชายเราว่าแล้วให้เบาๆหน่อยก็ยังดัง เราก็เลยว่าว่าแบบไม่มีมารยาท ไม่ผ่านการอบรม ไม่มีความเกรงใจเลย
ชีก็ทำหน้าเห็นด้วยและแบบ เออ ทำไมน่าเกลียดอย่างนี้
หารู้ไม่ ว่าชั้นกำลังพูดถึงเธออยู่เหมือนกัน คือเราหวังว่าเธอน่าจะคิดได้บ้างว่าเวลาชั้นคุยโทรศัพท์กับแม่ เธอไม่ควรเสียงดัง
ค่ะ เรื่องคร่าวๆก็มีประมาณนี้