บทนำ
ปากซอยเล็กๆ ในย่านจรัญสนิทวงศ์ บัดนี้อัดแน่นไปด้วยร้านค้าน้อยใหญ่ ร้านน้ำบ้าง ร้านข้าวบ้าง ร้านขนมบ้าง กระทั่งแผงลอย รถเข็นขายข้าวก็มีให้เห็นจนสุดขอบถนน เศรษฐกิจจะดีจะร้ายอย่างไรอาชีพค้าขายไม่เคยหายไปจากเมืองไทย
“กลับจากงานเร็วจังน้าหนูเอม” แม่ค้าแผงข้าวแกงท่าทางกระฉับกระเฉงเอ่ยทักหญิงสาวที่เดินลงมาจากรถสองแถว ผมเผ้าที่มัดไว้เรียบร้อยแต่เช้าตรู่ บัดนี้กระเซิงไม่เป็นทรง
“จ๊ะป้า วันนี้เอยไม่ค่อยสบาย แม่โทรบอกว่าให้รีบซื้อยาที่คลินิกแล้วกลับบ้านเลย”
“แล้ววันนี้จะเอาแกงอะไร” แม่ค้ายิ้มหวานขณะที่หญิงสาวเองก็ทำได้เพียงยิ้มเจื่อนๆ จนปัญญากับหนทางการหาลูกค้าเช่นนี้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เพราะรู้จักกันมาทั้งชีวิต ซ้ำงานขายของยังเป็นความสุขของหญิงวัยกลางคนเบื้องหน้าด้วย
“เอาไข่พะโล้ละกันจ๊ะ แม่ทำกับข้าวไว้แล้วเหมือนกัน”
แม่ค้ายิ้มหวานหนักไปกว่าเดิม มือตักแกงใส่ถุง ปากก็ยังพูดต่อไป “ผูกปิ่นโตกับป้าซะก็จบ แม่ระวีกับหนูเอยก็ไม่ต้องทำกับข้าว”
“ความสุขของแม่น่ะป้า หนูก็อยากให้แม่ทำอะไรแก้เหงา” หญิงสาวยื่นธนบัตรยี่สิบบาทให้ เธอระวังเลือกแบงค์ใบใหม่อย่างที่หญิงวัยกลางคนชอบ แกงถุงแบบนี้ถ้าเป็นยุคนี้ใครๆ ก็ขายกันที่สามสิบห้าบาทเป็นอย่างต่ำ แต่เพราะเห็นกันมานาน ป้าวิไลอย่างไรก็คิดเงินเธอและครอบครัวแค่ยี่สิบบาทต่อถุง
เอมิกาเดินตรงเข้าซอยมาอย่างล้าๆ วันนี้เป็นวันที่น่าเหน็ดเหนื่อย เจ้านายอารมณ์ไม่ดีจากยอดขายสินค้าที่ตกฮวบ พาลอารมณ์เสียใส่พนักงานฝ่ายการตลาด จนแผนกของเธอหูชากันตั้งแต่เช้าจนเย็น และเพราะต้องแวะไปรับยาให้น้องสาว หญิงสาวจึงต้องแอบแวบออกมาก่อนทันทีที่หมดเวลางาน เพียงแค่นึกว่าพรุ่งนี้จะต้องฟังหัวหน้าแผนกบ่นเรื่องที่ไม่ทำโอทีเหมือนคนอื่นๆ หญิงสาวก็ปวดหัวจนต้องกุมศีรษะ อาจเพราะมัวแต่คิดนู่นนั่นวนไปมา รู้ตัวอีกทีเอมิกาก็หยุดยืนอยู่ที่หน้าบ้านตัวเองเป็นที่เรียบร้อย
บ้านชั้นเดียวหลังน้อยหลังนี้ไม่ได้สวยเหมือนบ้านใหญ่ๆ ที่อยู่ต้นซอยแต่เพราะต้นไม้ ดอกไม้ที่เจ้าของบ้านเพียรปลูก เพียรดูแลอยู่รอบสวนขนาดกระทัดรัด บ้านของเธอจึงน่ารัก สบายตายิ่งกว่าบ้านหลังไหนๆ หญิงสาวยิ้มออกเมื่อเห็นต้นลีลาวดีออกดอกสวยทั้งที่เมื่อเช้ายังตูมสนิท แค่ก้าวเท้าเข้าบ้านปัญหาอะไรก็ดูจะคลายไปหมด
“พี่เอม มาแล้วเหรอ ขอยาพ่นหน่อยสิ เอยหายใจไม่ออกเลย” ไอยราปรี่มาถึงประตูบ้าน ขอบตาดำคล้ำของน้องสาวบอกเอมิกาได้ทันทีว่าอาการนี้น่าจะมีมาตั้งแต่เมื่อคืน
“นี่ไม่ใช่เพิ่งมาเป็นใช่ไหม ทำไมไม่โทรบอกพี่ตั้งแต่เที่ยงจะได้ไปเอายาให้ก่อน”
“ก็อาการยังพอทนได้” สาวน้อยวัยยี่สิบต้นยิ้มแก้เก้อ แม้หน้าตาจะอิดโรยแต่แววตาขี้เล่นไม่ได้ถูกอาการป่วยบดบังเลย
เอมิกาหยิบยาพ่นในถุงให้น้องสาว ‘ยาพ่นจมูก’ สำหรับคนที่เป็นภูมิแพ้ชนิดรุนแรงไม่ใช่ยาอันตราย แต่กระนั้นคุณอาหมอที่รักษากันมาตั้งแต่เด็กก็ยังไม่อยากให้พ่นถี่นักอยู่ดี
“พ่นวันละสองครั้งนะเอย อาหมอบอกว่าต้องลดโดสลงหน่อยแล้ว เดี๋ยวเราจะดี้อยาเอา” สาวน้อยพยักหน้า เปิดกล่องยาแล้วทำการพ่นทันที
“แม่คะ เอมซื้อไข่พะโล้ป้าวิไลมาด้วยจะทานกันเลยไหม” เอมิกาเดินเข้าไปที่ครัวหลังบ้าน ก่อนจะพบแม่ของเธอสาละวนอยู่กับกับข้าวจานน้อยจานใหญ่ในครัว
“โอ้โห ทำกับข้าวยังกับจะเลี้ยงคนทั้งซอยแหน่ะ” หญิงสาวยิ้มขำ
“พี่เอ้จะแวะมาน่ะพี่เอม จะพานิดหน่อยมาด้วย” ไอยราที่ค่อยหายใจสะดวกขึ้นส่งเสียงตอบไล่หลังมา
“มิน่ามีแต่ของโปรดหลานสาวทั้งนั้น” เอมิกายิ้มกว้าง สองเดือนเห็นจะได้ที่เธอไม่ได้เจอ เอวิตรา กับหลานสาว น้องสาวคนรองของบ้านแต่งงานไปกับลูกชายเศรษฐีที่เป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยเรียน ปกติน้องสาวจะกลับบ้านทุกสองอาทิตย์ แวะมาพูดคุย แวะมาเยี่ยมแม่ ทว่าช่วงนี้แม้แต่โทรศัพท์ก็เงียบหาย มีเพียงแต่ไอยราที่เอวิตราฝากเรื่องไว้ว่าเธอจะไม่อยู่กรุงเทพสักพักเพราะจะไปธุระเรื่องงาน
-----------------------------------------------------
เป็นเวลาเลยเกือบจะสองทุ่มที่รถยุโรปคันหรูจอดสนิทอยู่ที่หน้าบ้าน เอวิตราไม่สามารถจอดรถคันใหญ่ของเธอในบริเวณบ้านได้เพราะพื้นที่บ้านจำกัด หญิงสาวในชุดกระโปรงสีน้ำเงินเข้มเปิดประตูที่นั่งฝั่งคนขับก่อนจะเดินอ้อมไปเปิดประตูรับเด็กหญิงในชุดนอนสีชมพูแล้วจับจูงกันเดินเข้ามาในบ้าน
“คุณยาย คุณป้า คุณน้า สวัสดีค่ะ” เด็กหญิงนิดหน่อยยิ้มแก้มกลมด้วยความดีใจเมื่อเห็นทุกคนออกจากบ้านมายืนรอต้อนรับ “คืนนี้นิดหน่อยนอนกับน้าเอยได้ใช่ไหมคะคุณแม่” เด็กหญิงยกมือน้อยๆ ไปกำชายผ้าผูกกระโปรงของแม่ก่อนจะกระตุกไปมา
“ได้สิคะ นิดหน่อยไปช่วยน้าเอยยกกระเป๋าลงจากรถสิคะคุณแม่ลืมหยิบลงมา” เอวิตรายิ้มให้ลูกสาว พลางยื่นกุญแจรถให้ หญิงสาวรู้หรอกว่ามีสายตาสามคู่จ้องมาที่หล่อนด้วยความสงสัย แต่หล่อนรอจนกระทั่งลูกสาวเดินออกไปนอกบ้านกับน้องสาวคนเล็ก หญิงสาวจึงเอ่ยปากกับผู้เป็นแม่และเอมิกาพี่สาวคนโต
“เราขึ้นไปคุยกันที่ชั้นลอยข้างบนแป๊บนึงได้ไหมคะ”
--------------------------------------------
“นี่มันเรื่องอะไรเอ้ จะเอาลูกมานอนที่นี่บอกพ่อเค้าหรือยัง ทะเลาะกันอีกแล้วเหรอลูก” ระวีพยายามสงบใจ ถามอย่างใจเย็น เธอรู้ว่าชีวิตแต่งงานลูกสาวในครอบครัวเศรษฐีแม้ไม่ได้ขัดสนเงินทอง แต่ก็ไม่ได้สะดวกสบายใจอะไรนัก
“ไม่มีเรื่องอะไรหรอกแม่ เรื่องเดิมๆ หนูต้องไปธุระที่ต่างจังหวัดด้วย ไม่อยากทิ้งนิดหน่อยไว้ที่บ้านน่ะค่ะ” เอวิตราอธิบายเสียงอ่อน เฉสายตาไปมองทางอื่นทว่าเมื่อสบกับสายตาเข้มของพี่สาว สายตาก็ต้องก้มลงต่ำย้อนกลับไปสมัยเหมือนเมื่อตอนเด็กๆ ที่ทำความผิด
“แล้วนี่บอกพ่อนิดหน่อยหรือยังว่าลูกจะมาค้างที่นี่” เอมิกาถามพลางสังเกตท่าทีของน้องสาว
“ไลน์ไปบอกแล้วค่ะ เค้าตอบกลับมาว่าดีแล้ว ดีกว่าให้ลูกอยู่กับพี่เลี้ยงสองคน”
เอมิกาส่ายหน้า เอวิตราเป็นน้องสาวคนรองที่สวยกว่าใครในบรรดาพี่น้อง ซ้ำยังหัวดีเรียนหนังสือเก่ง นั่นทำให้เธอทะนงตนและเอาแต่ใจ สิ่งนี้ไม่เปลี่ยนไปแม้อายุจะเข้าสู่วัยสามสิบเอ็ด
“เอาเถอะๆ คืนนี้ให้หลานนอนกับเอยไปก่อน แล้วแกจะนอนที่บ้านด้วยไหมเอ้ ถ้าจะนอนคืนนี้ก็นอนกับแม่” ระวีเดินไปแทรกกลางระหว่างลูกสาวสองคน ก่อนจะรวบกุมมือของลูกสาวคนรองไว้
“หนูก็อยากจะนอนที่บ้านสักคืนนะแม่ แต่วันนี้ไม่ทันจริงๆ หนูต้องไปขึ้นเครื่องตอนสี่ทุ่ม ติดต่อเรื่องธุรกิจค่ะ” เอวิตราโผเข้ากอดผู้เป็นแม่ ดวงหน้าที่ตกแต่งไว้สะสวยซุกเข้ากับเสื้อตัวเก่าของมารดา
“ดึกป่านนี้แกจะไปไหนเอ้” เอมิกายังพยายามที่จะเค้นถาม เธออยากรู้ว่านี่มันปัญหาอะไรกันน้องสาวถึงกับต้องหอบลูกสาวมาถึงที่นี่
“ไปหาดใหญ่ หนูดูช่องทางธุรกิจที่นั่นอยู่ มีห้างใหม่ๆ ไปเปิดเยอะมากเลยนะพี่เอม หนูอาจจะขยายร้านเสื้อไปตามห้างที่นั่น”
“แกรู้จักใครที่หาดใหญ่ ทำไมจู่ๆ คิดจะไปทำธุรกิจที่นั่น” เอมิกายังไม่วางใจ ทว่าระวีที่เห็นท่าไม่ดีเป็นฝ่ายรีบตัดบท
“คืนนี้พอแค่นี้เถอะเอม เอ้ แล้วเอ้จะไปขึ้นเครื่องก็รีบเข้า กว่าจะเช็คอิน โหลดกระเป๋าเดี๋ยวก็ตกเครื่อง”
เอวิตราถอนหายใจ เธอโผเข้ากอดผู้เป็นแม่อีกครั้ง “ฝากนิดหน่อยด้วยนะแม่ เอ้ไปสักสามวัน กลับมาจะรีบมารับลูกค่ะ”
เร้นรัก - บทนำ
ปากซอยเล็กๆ ในย่านจรัญสนิทวงศ์ บัดนี้อัดแน่นไปด้วยร้านค้าน้อยใหญ่ ร้านน้ำบ้าง ร้านข้าวบ้าง ร้านขนมบ้าง กระทั่งแผงลอย รถเข็นขายข้าวก็มีให้เห็นจนสุดขอบถนน เศรษฐกิจจะดีจะร้ายอย่างไรอาชีพค้าขายไม่เคยหายไปจากเมืองไทย
“กลับจากงานเร็วจังน้าหนูเอม” แม่ค้าแผงข้าวแกงท่าทางกระฉับกระเฉงเอ่ยทักหญิงสาวที่เดินลงมาจากรถสองแถว ผมเผ้าที่มัดไว้เรียบร้อยแต่เช้าตรู่ บัดนี้กระเซิงไม่เป็นทรง
“จ๊ะป้า วันนี้เอยไม่ค่อยสบาย แม่โทรบอกว่าให้รีบซื้อยาที่คลินิกแล้วกลับบ้านเลย”
“แล้ววันนี้จะเอาแกงอะไร” แม่ค้ายิ้มหวานขณะที่หญิงสาวเองก็ทำได้เพียงยิ้มเจื่อนๆ จนปัญญากับหนทางการหาลูกค้าเช่นนี้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เพราะรู้จักกันมาทั้งชีวิต ซ้ำงานขายของยังเป็นความสุขของหญิงวัยกลางคนเบื้องหน้าด้วย
“เอาไข่พะโล้ละกันจ๊ะ แม่ทำกับข้าวไว้แล้วเหมือนกัน”
แม่ค้ายิ้มหวานหนักไปกว่าเดิม มือตักแกงใส่ถุง ปากก็ยังพูดต่อไป “ผูกปิ่นโตกับป้าซะก็จบ แม่ระวีกับหนูเอยก็ไม่ต้องทำกับข้าว”
“ความสุขของแม่น่ะป้า หนูก็อยากให้แม่ทำอะไรแก้เหงา” หญิงสาวยื่นธนบัตรยี่สิบบาทให้ เธอระวังเลือกแบงค์ใบใหม่อย่างที่หญิงวัยกลางคนชอบ แกงถุงแบบนี้ถ้าเป็นยุคนี้ใครๆ ก็ขายกันที่สามสิบห้าบาทเป็นอย่างต่ำ แต่เพราะเห็นกันมานาน ป้าวิไลอย่างไรก็คิดเงินเธอและครอบครัวแค่ยี่สิบบาทต่อถุง
เอมิกาเดินตรงเข้าซอยมาอย่างล้าๆ วันนี้เป็นวันที่น่าเหน็ดเหนื่อย เจ้านายอารมณ์ไม่ดีจากยอดขายสินค้าที่ตกฮวบ พาลอารมณ์เสียใส่พนักงานฝ่ายการตลาด จนแผนกของเธอหูชากันตั้งแต่เช้าจนเย็น และเพราะต้องแวะไปรับยาให้น้องสาว หญิงสาวจึงต้องแอบแวบออกมาก่อนทันทีที่หมดเวลางาน เพียงแค่นึกว่าพรุ่งนี้จะต้องฟังหัวหน้าแผนกบ่นเรื่องที่ไม่ทำโอทีเหมือนคนอื่นๆ หญิงสาวก็ปวดหัวจนต้องกุมศีรษะ อาจเพราะมัวแต่คิดนู่นนั่นวนไปมา รู้ตัวอีกทีเอมิกาก็หยุดยืนอยู่ที่หน้าบ้านตัวเองเป็นที่เรียบร้อย
บ้านชั้นเดียวหลังน้อยหลังนี้ไม่ได้สวยเหมือนบ้านใหญ่ๆ ที่อยู่ต้นซอยแต่เพราะต้นไม้ ดอกไม้ที่เจ้าของบ้านเพียรปลูก เพียรดูแลอยู่รอบสวนขนาดกระทัดรัด บ้านของเธอจึงน่ารัก สบายตายิ่งกว่าบ้านหลังไหนๆ หญิงสาวยิ้มออกเมื่อเห็นต้นลีลาวดีออกดอกสวยทั้งที่เมื่อเช้ายังตูมสนิท แค่ก้าวเท้าเข้าบ้านปัญหาอะไรก็ดูจะคลายไปหมด
“พี่เอม มาแล้วเหรอ ขอยาพ่นหน่อยสิ เอยหายใจไม่ออกเลย” ไอยราปรี่มาถึงประตูบ้าน ขอบตาดำคล้ำของน้องสาวบอกเอมิกาได้ทันทีว่าอาการนี้น่าจะมีมาตั้งแต่เมื่อคืน
“นี่ไม่ใช่เพิ่งมาเป็นใช่ไหม ทำไมไม่โทรบอกพี่ตั้งแต่เที่ยงจะได้ไปเอายาให้ก่อน”
“ก็อาการยังพอทนได้” สาวน้อยวัยยี่สิบต้นยิ้มแก้เก้อ แม้หน้าตาจะอิดโรยแต่แววตาขี้เล่นไม่ได้ถูกอาการป่วยบดบังเลย
เอมิกาหยิบยาพ่นในถุงให้น้องสาว ‘ยาพ่นจมูก’ สำหรับคนที่เป็นภูมิแพ้ชนิดรุนแรงไม่ใช่ยาอันตราย แต่กระนั้นคุณอาหมอที่รักษากันมาตั้งแต่เด็กก็ยังไม่อยากให้พ่นถี่นักอยู่ดี
“พ่นวันละสองครั้งนะเอย อาหมอบอกว่าต้องลดโดสลงหน่อยแล้ว เดี๋ยวเราจะดี้อยาเอา” สาวน้อยพยักหน้า เปิดกล่องยาแล้วทำการพ่นทันที
“แม่คะ เอมซื้อไข่พะโล้ป้าวิไลมาด้วยจะทานกันเลยไหม” เอมิกาเดินเข้าไปที่ครัวหลังบ้าน ก่อนจะพบแม่ของเธอสาละวนอยู่กับกับข้าวจานน้อยจานใหญ่ในครัว
“โอ้โห ทำกับข้าวยังกับจะเลี้ยงคนทั้งซอยแหน่ะ” หญิงสาวยิ้มขำ
“พี่เอ้จะแวะมาน่ะพี่เอม จะพานิดหน่อยมาด้วย” ไอยราที่ค่อยหายใจสะดวกขึ้นส่งเสียงตอบไล่หลังมา
“มิน่ามีแต่ของโปรดหลานสาวทั้งนั้น” เอมิกายิ้มกว้าง สองเดือนเห็นจะได้ที่เธอไม่ได้เจอ เอวิตรา กับหลานสาว น้องสาวคนรองของบ้านแต่งงานไปกับลูกชายเศรษฐีที่เป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยเรียน ปกติน้องสาวจะกลับบ้านทุกสองอาทิตย์ แวะมาพูดคุย แวะมาเยี่ยมแม่ ทว่าช่วงนี้แม้แต่โทรศัพท์ก็เงียบหาย มีเพียงแต่ไอยราที่เอวิตราฝากเรื่องไว้ว่าเธอจะไม่อยู่กรุงเทพสักพักเพราะจะไปธุระเรื่องงาน
-----------------------------------------------------
เป็นเวลาเลยเกือบจะสองทุ่มที่รถยุโรปคันหรูจอดสนิทอยู่ที่หน้าบ้าน เอวิตราไม่สามารถจอดรถคันใหญ่ของเธอในบริเวณบ้านได้เพราะพื้นที่บ้านจำกัด หญิงสาวในชุดกระโปรงสีน้ำเงินเข้มเปิดประตูที่นั่งฝั่งคนขับก่อนจะเดินอ้อมไปเปิดประตูรับเด็กหญิงในชุดนอนสีชมพูแล้วจับจูงกันเดินเข้ามาในบ้าน
“คุณยาย คุณป้า คุณน้า สวัสดีค่ะ” เด็กหญิงนิดหน่อยยิ้มแก้มกลมด้วยความดีใจเมื่อเห็นทุกคนออกจากบ้านมายืนรอต้อนรับ “คืนนี้นิดหน่อยนอนกับน้าเอยได้ใช่ไหมคะคุณแม่” เด็กหญิงยกมือน้อยๆ ไปกำชายผ้าผูกกระโปรงของแม่ก่อนจะกระตุกไปมา
“ได้สิคะ นิดหน่อยไปช่วยน้าเอยยกกระเป๋าลงจากรถสิคะคุณแม่ลืมหยิบลงมา” เอวิตรายิ้มให้ลูกสาว พลางยื่นกุญแจรถให้ หญิงสาวรู้หรอกว่ามีสายตาสามคู่จ้องมาที่หล่อนด้วยความสงสัย แต่หล่อนรอจนกระทั่งลูกสาวเดินออกไปนอกบ้านกับน้องสาวคนเล็ก หญิงสาวจึงเอ่ยปากกับผู้เป็นแม่และเอมิกาพี่สาวคนโต
“เราขึ้นไปคุยกันที่ชั้นลอยข้างบนแป๊บนึงได้ไหมคะ”
--------------------------------------------
“นี่มันเรื่องอะไรเอ้ จะเอาลูกมานอนที่นี่บอกพ่อเค้าหรือยัง ทะเลาะกันอีกแล้วเหรอลูก” ระวีพยายามสงบใจ ถามอย่างใจเย็น เธอรู้ว่าชีวิตแต่งงานลูกสาวในครอบครัวเศรษฐีแม้ไม่ได้ขัดสนเงินทอง แต่ก็ไม่ได้สะดวกสบายใจอะไรนัก
“ไม่มีเรื่องอะไรหรอกแม่ เรื่องเดิมๆ หนูต้องไปธุระที่ต่างจังหวัดด้วย ไม่อยากทิ้งนิดหน่อยไว้ที่บ้านน่ะค่ะ” เอวิตราอธิบายเสียงอ่อน เฉสายตาไปมองทางอื่นทว่าเมื่อสบกับสายตาเข้มของพี่สาว สายตาก็ต้องก้มลงต่ำย้อนกลับไปสมัยเหมือนเมื่อตอนเด็กๆ ที่ทำความผิด
“แล้วนี่บอกพ่อนิดหน่อยหรือยังว่าลูกจะมาค้างที่นี่” เอมิกาถามพลางสังเกตท่าทีของน้องสาว
“ไลน์ไปบอกแล้วค่ะ เค้าตอบกลับมาว่าดีแล้ว ดีกว่าให้ลูกอยู่กับพี่เลี้ยงสองคน”
เอมิกาส่ายหน้า เอวิตราเป็นน้องสาวคนรองที่สวยกว่าใครในบรรดาพี่น้อง ซ้ำยังหัวดีเรียนหนังสือเก่ง นั่นทำให้เธอทะนงตนและเอาแต่ใจ สิ่งนี้ไม่เปลี่ยนไปแม้อายุจะเข้าสู่วัยสามสิบเอ็ด
“เอาเถอะๆ คืนนี้ให้หลานนอนกับเอยไปก่อน แล้วแกจะนอนที่บ้านด้วยไหมเอ้ ถ้าจะนอนคืนนี้ก็นอนกับแม่” ระวีเดินไปแทรกกลางระหว่างลูกสาวสองคน ก่อนจะรวบกุมมือของลูกสาวคนรองไว้
“หนูก็อยากจะนอนที่บ้านสักคืนนะแม่ แต่วันนี้ไม่ทันจริงๆ หนูต้องไปขึ้นเครื่องตอนสี่ทุ่ม ติดต่อเรื่องธุรกิจค่ะ” เอวิตราโผเข้ากอดผู้เป็นแม่ ดวงหน้าที่ตกแต่งไว้สะสวยซุกเข้ากับเสื้อตัวเก่าของมารดา
“ดึกป่านนี้แกจะไปไหนเอ้” เอมิกายังพยายามที่จะเค้นถาม เธออยากรู้ว่านี่มันปัญหาอะไรกันน้องสาวถึงกับต้องหอบลูกสาวมาถึงที่นี่
“ไปหาดใหญ่ หนูดูช่องทางธุรกิจที่นั่นอยู่ มีห้างใหม่ๆ ไปเปิดเยอะมากเลยนะพี่เอม หนูอาจจะขยายร้านเสื้อไปตามห้างที่นั่น”
“แกรู้จักใครที่หาดใหญ่ ทำไมจู่ๆ คิดจะไปทำธุรกิจที่นั่น” เอมิกายังไม่วางใจ ทว่าระวีที่เห็นท่าไม่ดีเป็นฝ่ายรีบตัดบท
“คืนนี้พอแค่นี้เถอะเอม เอ้ แล้วเอ้จะไปขึ้นเครื่องก็รีบเข้า กว่าจะเช็คอิน โหลดกระเป๋าเดี๋ยวก็ตกเครื่อง”
เอวิตราถอนหายใจ เธอโผเข้ากอดผู้เป็นแม่อีกครั้ง “ฝากนิดหน่อยด้วยนะแม่ เอ้ไปสักสามวัน กลับมาจะรีบมารับลูกค่ะ”