เห็นมีกระทู้ทีคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ สงสัยอยู่เหมือนกันว่า ที่จริงแล้ว "อุปปาติกะ" ตามที่พระศาสดาบัญญัติไว้ ได้แก่สัตว์พวกใหนบ้าง
เลยไปค้นพระสูตรมาฝากกัน พบว่าพระองค์ทรงให้นิยามของ อุปาติกะ หรือ โอปาติกะไว้แล้ว ซึ่งก็ไม่ใช่ผี ถ้าจะกล่าวให้ตรงกับพระศาสดาจริงๆ ตามนิยามที่ทรงให้ไว้ ก็หมายถึง "เทวดา สัตว์นรก มนุษย์บางจำพวก และเปรตบางจำพวก" ดังนี้
อนึ่งเห็นที่ยกกรณีแปลกันว่า "ผีเข้าภิกษุ" นั้น ดูบาลีมาจาก "อมนุสฺสนฺตราโย" คือ อมนุษย์
"ภิกษุรูปหนึ่งอาพาธเพราะผีเข้า" นั้น ดูบาลีมาจาก "ภิกฺขุโน อมนุสฺสิกาพาโธโหติ" คือ อมนุษย์
นอกจากนี้ มีข้อควรสังเกตคือ การให้ความหมายของศัพท์ที่พระศาสดาบัญญัติไว้ ถ้าใช้ตามที่พระองค์ให้นิยามไว้จะไม่สับสน และเข้าใจได้ตรงกับพระองค์ แต่ถ้าไปใช้คำของคนอื่น ก็มีโอกาสคลาดเคลื่อนสูงครับ ดังนั้น ตรงนี้ใช้คำพระศาสดามาอธิบายคำพระศาสดา น่าจะดีสุดแล้วครับ
***อุปาติกะ หรือ โอปาติกะ มีดังนี้
--------------------------------------------------***๑ พระอนาคามี------------------------------------------------------------
พระผู้มีพระภาคย่อมทรงทราบบุคคลอื่น ด้วยมนสิการโดยชอบเฉพาะ พระองค์ว่า
บุคคลนี้ เมื่อปฏิบัติตามที่สั่งสอน จักเป็นพระอนาคามีผู้เป็นอุปปาติกะ ปรินิพพานในภพที่เกิดนั้น
ไม่ต้องกลับมาจากโลกนั้น เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป ฯ
------------------
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้ ผู้เป็น พระอรหันตขีณาสพ
อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระได้แล้ว บรรลุประโยชน์ตนแล้วโดย
ลำดับ สิ้นสัญโญชน์ในภพแล้ว พ้นวิเศษแล้วเพราะรู้ชอบ แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้ ก็
มีอยู่ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้ ผู้เป็นอุปปาติกะ เพราะสิ้นสัญโญชน์
ส่วนเบื้องต่ำทั้ง ๕ จะได้ปรินิพพานในโลกนั้นๆ มีอันไม่กลับ มาจากโลกนั้นอีกเป็นธรรมดา
แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้ ก็มีอยู่ ฯ
--------------------------------------------***๒ นาค-----------------------------------------------------------------------
พระนครสาวัตถี. ดูกรภิกษุทั้งหลาย กำเนิดของนาค ๔ จำพวกนี้. ๔ จำพวกเป็นไฉน? คือ
นาคเป็นอัณฑชะ ๑
นาคที่เป็นชลาพุชะ ๑
นาคที่เป็นสังเสทชะ ๑
นาคที่เป็นอุปปาติกะ ๑.
ในนาค ๔ จำพวกนั้น นาคที่เป็นชลาพุชะ สังเสทชะ และอุปปาติกะ ประณีตกว่านาคที่เป็นอัณฑชะ. นาคที่เป็นสังเสทชะและอุปปาติกะ ประณีตกว่านาคที่เป็นอัณฑชะและชลาพุชะ. นาคที่เป็นอุปปาติกะ ประณีตกว่านาคที่เป็นอัณฑชะ ชลาพุชะและสังเสทชะ. ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย กำเนิดของนาค ๔ จำพวกนี้แล.
----------------------------------------------***๓ ครุฑ--------------------------------------------------------------------------------
พระนครสาวัตถี. ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย กำเนิดของครุฑ ๔ จำพวกนี้. ๔ จำพวกเป็นไฉน? คือ
ครุฑที่เป็นอัณฑชะ ๑
ครุฑที่เป็นชลาพุชะ ๑
ครุฑที่เป็นสังเสทชะ ๑
ครุฑที่เป็นอุปปาติกะ ๑.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย กำเนิดของครุฑ ๔ จำพวกนี้แล.
----------------------------------------------***๔ เทวดา สัตว์นรก มนุษย์บางจำพวก และเปรตบางจำพวก------------------------------------------------
ดูกรสารีบุตร กำเนิด ๔ ประการเหล่านี้แล ๔ ประการเป็นไฉน? คือ อัณฑชะกำเนิด ชลาพุชะกำเนิด สังเสทชะกำเนิด โอปปาติกะกำเนิด
ดูกรสารีบุตร ก็อัณฑชะกำเนิดเป็นไฉน? สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น ชำแรกเปลือกแห่งฟองเกิด นี้เราเรียกว่า อัณฑชะกำเนิด
ดูกรสารีบุตร ชลาพุชะกำเนิดเป็นไฉน? สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นใด ชำแรกไส้ [มดลูก] เกิดนี้เราเรียกว่า ชลาพุชะกำเนิด
ดูกรสารีบุตร สังเสทชะกำเนิดเป็นไฉน? สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นใดย่อมเกิดในปลาเน่า ในซากศพเน่า ในขนมบูด หรือในน้ำครำ ในเถ้าไคล [ของสกปรก]นี้เราเรียกว่า สังเสทชะกำเนิด
ดูกรสารีบุตร โอปปาติกะกำเนิดเป็นไฉน? เทวดา สัตว์นรก มนุษย์บางจำพวก และเปรตบางจำพวก นี้เราเรียกว่า โอปปาติกะกำเนิด
ดูกรสารีบุตรกำเนิด ๔ ประการเหล่านี้แล ดูกรสารีบุตร ผู้ใดแล พึงว่าซึ่งเราผู้รู้อยู่อย่างนี้ ผู้เห็นอยู่อย่างนี้ว่าธรรมอันยิ่งของมนุษย์ ที่เป็นญาณทัสสนะอันวิเศษพอแก่ความเป็นอริยะ ของพระสมณโคดมไม่มีพระสมณโคดมทรงแสดงธรรมที่ประมวลมาด้วยความตรึก ที่ไตร่ตรองด้วยการค้นคิด แจ่มแจ้ง
ได้เอง ดูกรสารีบุตร ผู้นั้นไม่ละวาจานั้นเสีย ไม่ละความคิดนั้นเสีย ไม่สละคืนทิฏฐินั้นเสียก็เที่ยงแท้ ที่จะตกนรกดังถูกนำมาฝังไว้ ดูกรสารีบุตร เปรียบเหมือนภิกษุผู้ถึงพร้อมด้วยศีลถึงพร้อมด้วยสมาธิ ถึงพร้อมด้วยปัญญา พึงกระหยิ่มอรหัตผล ในปัจจุบันทีเดียว ฉันใดดูกรสารีบุตร เรากล่าวข้ออุปไมยนี้ ก็ฉันนั้น ผู้นั้นไม่ละวาจานั้นเสีย ไม่ละความคิดนั้นเสียไม่สละคืนทิฏฐินั้นเสีย ก็เที่ยงแท้ที่จะตกนรกดังถูกนำมาฝังไว้.
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ถ้าท่านใด ค้นพบนอกไปจากนี้ สามารถนำมาเพิ่มเติมได้ครับ ขอเฉพาะส่วนที่เป็นพุทธพจน์ หรือพุทธวจนะ ครับ
สัตว์ผู้เป็น "อุปปาติกะ" ตามที่พระศาสดาบัญญัติไว้
เลยไปค้นพระสูตรมาฝากกัน พบว่าพระองค์ทรงให้นิยามของ อุปาติกะ หรือ โอปาติกะไว้แล้ว ซึ่งก็ไม่ใช่ผี ถ้าจะกล่าวให้ตรงกับพระศาสดาจริงๆ ตามนิยามที่ทรงให้ไว้ ก็หมายถึง "เทวดา สัตว์นรก มนุษย์บางจำพวก และเปรตบางจำพวก" ดังนี้
อนึ่งเห็นที่ยกกรณีแปลกันว่า "ผีเข้าภิกษุ" นั้น ดูบาลีมาจาก "อมนุสฺสนฺตราโย" คือ อมนุษย์
"ภิกษุรูปหนึ่งอาพาธเพราะผีเข้า" นั้น ดูบาลีมาจาก "ภิกฺขุโน อมนุสฺสิกาพาโธโหติ" คือ อมนุษย์
นอกจากนี้ มีข้อควรสังเกตคือ การให้ความหมายของศัพท์ที่พระศาสดาบัญญัติไว้ ถ้าใช้ตามที่พระองค์ให้นิยามไว้จะไม่สับสน และเข้าใจได้ตรงกับพระองค์ แต่ถ้าไปใช้คำของคนอื่น ก็มีโอกาสคลาดเคลื่อนสูงครับ ดังนั้น ตรงนี้ใช้คำพระศาสดามาอธิบายคำพระศาสดา น่าจะดีสุดแล้วครับ
***อุปาติกะ หรือ โอปาติกะ มีดังนี้
--------------------------------------------------***๑ พระอนาคามี------------------------------------------------------------
พระผู้มีพระภาคย่อมทรงทราบบุคคลอื่น ด้วยมนสิการโดยชอบเฉพาะ พระองค์ว่า
บุคคลนี้ เมื่อปฏิบัติตามที่สั่งสอน จักเป็นพระอนาคามีผู้เป็นอุปปาติกะ ปรินิพพานในภพที่เกิดนั้น
ไม่ต้องกลับมาจากโลกนั้น เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป ฯ
------------------
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้ ผู้เป็น พระอรหันตขีณาสพ
อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระได้แล้ว บรรลุประโยชน์ตนแล้วโดย
ลำดับ สิ้นสัญโญชน์ในภพแล้ว พ้นวิเศษแล้วเพราะรู้ชอบ แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้ ก็
มีอยู่ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้ ผู้เป็นอุปปาติกะ เพราะสิ้นสัญโญชน์
ส่วนเบื้องต่ำทั้ง ๕ จะได้ปรินิพพานในโลกนั้นๆ มีอันไม่กลับ มาจากโลกนั้นอีกเป็นธรรมดา
แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้ ก็มีอยู่ ฯ
--------------------------------------------***๒ นาค-----------------------------------------------------------------------
พระนครสาวัตถี. ดูกรภิกษุทั้งหลาย กำเนิดของนาค ๔ จำพวกนี้. ๔ จำพวกเป็นไฉน? คือ
นาคเป็นอัณฑชะ ๑
นาคที่เป็นชลาพุชะ ๑
นาคที่เป็นสังเสทชะ ๑
นาคที่เป็นอุปปาติกะ ๑.
ในนาค ๔ จำพวกนั้น นาคที่เป็นชลาพุชะ สังเสทชะ และอุปปาติกะ ประณีตกว่านาคที่เป็นอัณฑชะ. นาคที่เป็นสังเสทชะและอุปปาติกะ ประณีตกว่านาคที่เป็นอัณฑชะและชลาพุชะ. นาคที่เป็นอุปปาติกะ ประณีตกว่านาคที่เป็นอัณฑชะ ชลาพุชะและสังเสทชะ. ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย กำเนิดของนาค ๔ จำพวกนี้แล.
----------------------------------------------***๓ ครุฑ--------------------------------------------------------------------------------
พระนครสาวัตถี. ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย กำเนิดของครุฑ ๔ จำพวกนี้. ๔ จำพวกเป็นไฉน? คือ
ครุฑที่เป็นอัณฑชะ ๑
ครุฑที่เป็นชลาพุชะ ๑
ครุฑที่เป็นสังเสทชะ ๑
ครุฑที่เป็นอุปปาติกะ ๑.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย กำเนิดของครุฑ ๔ จำพวกนี้แล.
----------------------------------------------***๔ เทวดา สัตว์นรก มนุษย์บางจำพวก และเปรตบางจำพวก------------------------------------------------
ดูกรสารีบุตร กำเนิด ๔ ประการเหล่านี้แล ๔ ประการเป็นไฉน? คือ อัณฑชะกำเนิด ชลาพุชะกำเนิด สังเสทชะกำเนิด โอปปาติกะกำเนิด
ดูกรสารีบุตร ก็อัณฑชะกำเนิดเป็นไฉน? สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น ชำแรกเปลือกแห่งฟองเกิด นี้เราเรียกว่า อัณฑชะกำเนิด
ดูกรสารีบุตร ชลาพุชะกำเนิดเป็นไฉน? สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นใด ชำแรกไส้ [มดลูก] เกิดนี้เราเรียกว่า ชลาพุชะกำเนิด
ดูกรสารีบุตร สังเสทชะกำเนิดเป็นไฉน? สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นใดย่อมเกิดในปลาเน่า ในซากศพเน่า ในขนมบูด หรือในน้ำครำ ในเถ้าไคล [ของสกปรก]นี้เราเรียกว่า สังเสทชะกำเนิด
ดูกรสารีบุตร โอปปาติกะกำเนิดเป็นไฉน? เทวดา สัตว์นรก มนุษย์บางจำพวก และเปรตบางจำพวก นี้เราเรียกว่า โอปปาติกะกำเนิด
ดูกรสารีบุตรกำเนิด ๔ ประการเหล่านี้แล ดูกรสารีบุตร ผู้ใดแล พึงว่าซึ่งเราผู้รู้อยู่อย่างนี้ ผู้เห็นอยู่อย่างนี้ว่าธรรมอันยิ่งของมนุษย์ ที่เป็นญาณทัสสนะอันวิเศษพอแก่ความเป็นอริยะ ของพระสมณโคดมไม่มีพระสมณโคดมทรงแสดงธรรมที่ประมวลมาด้วยความตรึก ที่ไตร่ตรองด้วยการค้นคิด แจ่มแจ้ง
ได้เอง ดูกรสารีบุตร ผู้นั้นไม่ละวาจานั้นเสีย ไม่ละความคิดนั้นเสีย ไม่สละคืนทิฏฐินั้นเสียก็เที่ยงแท้ ที่จะตกนรกดังถูกนำมาฝังไว้ ดูกรสารีบุตร เปรียบเหมือนภิกษุผู้ถึงพร้อมด้วยศีลถึงพร้อมด้วยสมาธิ ถึงพร้อมด้วยปัญญา พึงกระหยิ่มอรหัตผล ในปัจจุบันทีเดียว ฉันใดดูกรสารีบุตร เรากล่าวข้ออุปไมยนี้ ก็ฉันนั้น ผู้นั้นไม่ละวาจานั้นเสีย ไม่ละความคิดนั้นเสียไม่สละคืนทิฏฐินั้นเสีย ก็เที่ยงแท้ที่จะตกนรกดังถูกนำมาฝังไว้.
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ถ้าท่านใด ค้นพบนอกไปจากนี้ สามารถนำมาเพิ่มเติมได้ครับ ขอเฉพาะส่วนที่เป็นพุทธพจน์ หรือพุทธวจนะ ครับ