โดยรวมนะครับ โทนหนังมันเป็นหนัง แอคชั่นทริลเลอร์ เกรดบีครับ กล่าวอย่างเต็มภาคภูมิได้เลย ว่าเกรดบี (ฮา) แต่ถามว่ามันขนาด ละครตอนเย็นช่อง 7 มันทุเรศทุรังทารุณกรรมขนาดนั้นไหม โอย ห่างไกลครับ ห่างไกล หนังเขาก็ใช้ได้อยู่
ทีนี้มาเจาะรายประเด็นดีกว่า
1.ฉากศิลปะการต่อสู้
อย่างที่เกริ่นไปแล้วว่านี่เป็นหนัง แอคชั่นทริลเลอร์ แถมยังเป็นหนังของดอล์ฟ ลันด์เกรน ไม่ใช่หนัง “มาเชียลอาร์ต” ของจาเต็ม ๆ ที่จาจะมีพื้นที่แสดงศิลปะการต่อสู้ได้เต็มที่มากนัก พื้นที่เท่าที่มีก็ต้องไม่หลุด “ธีมหนัง”
ฉากต่อสู้มือเปล่าที่จาแสดงในเรื่องนี้ จึงเน้นความเร็ว แรง เจ็บ มากกว่าความหวือหวา ไม่มีกายกรรมฟรีรันนิ่งแบบองค์บาก 1,ต้มยำกุ้ง ไม่มีท่ามาเชี่ยลอาร์ตจ๋าๆ แบบองค์บาก2,3
ฉากจาต่อสู้มือเปล่าอยู่ในระดับ “รับได้” แต่ไม่ว้าวครับ เสียดายนิดหน่อยเหมือนกันที่บางฉากออกแบบมาดีแต่การถ่ายทำน่าจะทำได้ดีกว่านี้
2. ฉากแอคชั่น
เป็นฉากแอคชั่นแนวไล่ล่ายิงปืนนะครับ ซึ่งอันนี้มีมากกว่าฉากศิลปะการต่อสู้อีกและเป็นแกนหลักของเรื่อง (ไม่งั้นจะให้น้าดอล์ฟแกทำไรอะ - -“ ยืนดูจาตีลังกาทั้งเรื่องคงไม่ใช่- ฮา) ผมให้ผ่านเลยครับ ดูแรง ดูมีน้ำหนัก ดูดุดันมาก ๆ ฉากระเบิดไคลแมกซ์ (คงไม่สปอล์ยหรอกนะ หนังงี้ต้องมีระเบิดสักลูกตอนจบอยู่แล้ว – ฮา) ก็ทำดีนะ ผมอธิบายไม่ถูก ผมขอเทียบกับหนังฮ่องกงแล้วกัน การยิงกันในหนังฮ่องกงผมรู้สึกมัน “ไม่ดุ” นะครับ มันอาจจะ “จัดจ้าน” อาจจะ “เยอะ” แต่มันไม่เปรี้ยง ไม่ดุ ไม่รู้จะพูดยังไง แต่ Skintrade ทำฉากยิงกันออกมาดุดีครับ
แน่นอนความที่เป็นหนังเกรด B คุณจะไปหวังให้มันอลังการงานสร้างแบบนั้นก็คงไม่ใช่ แต่ซีนที่ยิงกันเนี่ย เฮ้ย ดูได้อารมณ์มาก ๆ ครับ
3 ภาพรวมของหนัง
โหย คุณเอ้ย หนังดูเป็นหนัง กว่าต้มยำกุ้ง 2 นั่นเยอะ มีปูเรื่อง มีแรงจูงใจ การเล่าเรื่องอาจจะมีสะดุดบ้างบางครั้ง แต่ไม่ถึงกับวินาศสันตะโลอย่างที่ด่ากันหรอกครับ (แน่นอนก็ไม่ได้เล่าเรื่องได้เนียนระดับออสการ์ด้วย แต่มันอยู่ในระดับที่รับได้)
ส่วนที่ว่ากันว่าหนังเหมือนธีมเมื่อ 20 ปีที่แล้ว โอว์ใช่ครับห้า ๆ เป็นหนังบู๊ดูง่าย ๆ เนื้อเรื่องมีนิดหน่อย ตามขนบหนังบู๊ยุค 80 เลยครับ ห้าๆ อันนี้ต้องแจ้งกันไว้ก่อนเลย ว่าต้องทำใจรับจุดนี้ให้ได้ ถ้าไม่ได้คงผิดหวังแน่ ๆ ครับ
4 จาพนม
การที่จามีบทพูดเยอะขึ้น และได้แสดงอย่างอื่นบ้าง ในหนังเรื่องนี้สำคัญนะครับ เหมือนเป็นเดโม่ให้คนสร้างหนังคนอื่น ๆ เห็นว่า “เล่นหนัง” ได้ ไม่ได้เป็นแค่สตันท์ที่ดัง หลาย ๆ ซีนนี่จา “เท่ห์” มากครับ
5 จุดอ่อนของหนัง
ผมคิดว่าการถ่ายทำฉาก ศิลปะการต่อสู้ ครับ อันนี้ ทีมงานต้องรับไป คือจาออกแบบการต่อสู้มาใช้ได้ แต่มุมกล้องไม่ได้ T T ฉากดวลไมเคิล ไจ ไวท์ นี่ถ่ายออกมาไม่ไหวจริง ๆ ครับ T T (ไว้อาลัยอีกครั้ง) แต่ขอชมทั้งจา ไมเคิล และคนตัดต่อ ว่ายังพอพากันให้รอดมาได้ (ผมว่าตัดต่อฉากศิลปะการต่อสู้ใช้ได้นะ แต่มุมกล้องเข้าขั้นวินาศจริงๆ)
6. การพากษ์
พากษ์ไทยได้บัดซบมากครับ จบสั้น ๆ แบบนี้แหละครับ ฮา
สรุป มันเป็นหนังแอคชั่น ไม่ใช่หนังมาเชี่ยลอาร์ต - -" (ครับ ฟังดูแปลก ๆ ว่าแล้วจะมีจามาทำไม? ก็ไม่ใช่หนังของจาไงครับ นี่หนังของดอล์ฟ ที่ดึงจามาช่วยเป็นสีสัน) อย่างที่แฟน ๆ จา (อาจจะ) คาดหวัง แต่เป็นหนังแอคชั่นเกรด B ที่ดูได้เรื่อย ๆ นะครับ เพลิน ๆ ไม่ได้เลวร้ายขนาด ละครเย็นช่อง 7
เอาเป็นว่าดีกว่าต้มยำกุ้ง 2 ดีกว่าหนังแอคชั่นเกรด B ของทั้งฮอลลี่วู้ด และฮ่องกง อีกหลายเรื่องครับ
แต่ไม่ได้เป็นหนังที่ต้อง "ว้าว" ครับ
ขอบคุณที่อ่านจบครับ ^ ^
Skin trade ไม่ได้แย่ขนาดน้านนนนนนนนนนนนนนนนนน !
ทีนี้มาเจาะรายประเด็นดีกว่า
1.ฉากศิลปะการต่อสู้
อย่างที่เกริ่นไปแล้วว่านี่เป็นหนัง แอคชั่นทริลเลอร์ แถมยังเป็นหนังของดอล์ฟ ลันด์เกรน ไม่ใช่หนัง “มาเชียลอาร์ต” ของจาเต็ม ๆ ที่จาจะมีพื้นที่แสดงศิลปะการต่อสู้ได้เต็มที่มากนัก พื้นที่เท่าที่มีก็ต้องไม่หลุด “ธีมหนัง”
ฉากต่อสู้มือเปล่าที่จาแสดงในเรื่องนี้ จึงเน้นความเร็ว แรง เจ็บ มากกว่าความหวือหวา ไม่มีกายกรรมฟรีรันนิ่งแบบองค์บาก 1,ต้มยำกุ้ง ไม่มีท่ามาเชี่ยลอาร์ตจ๋าๆ แบบองค์บาก2,3
ฉากจาต่อสู้มือเปล่าอยู่ในระดับ “รับได้” แต่ไม่ว้าวครับ เสียดายนิดหน่อยเหมือนกันที่บางฉากออกแบบมาดีแต่การถ่ายทำน่าจะทำได้ดีกว่านี้
2. ฉากแอคชั่น
เป็นฉากแอคชั่นแนวไล่ล่ายิงปืนนะครับ ซึ่งอันนี้มีมากกว่าฉากศิลปะการต่อสู้อีกและเป็นแกนหลักของเรื่อง (ไม่งั้นจะให้น้าดอล์ฟแกทำไรอะ - -“ ยืนดูจาตีลังกาทั้งเรื่องคงไม่ใช่- ฮา) ผมให้ผ่านเลยครับ ดูแรง ดูมีน้ำหนัก ดูดุดันมาก ๆ ฉากระเบิดไคลแมกซ์ (คงไม่สปอล์ยหรอกนะ หนังงี้ต้องมีระเบิดสักลูกตอนจบอยู่แล้ว – ฮา) ก็ทำดีนะ ผมอธิบายไม่ถูก ผมขอเทียบกับหนังฮ่องกงแล้วกัน การยิงกันในหนังฮ่องกงผมรู้สึกมัน “ไม่ดุ” นะครับ มันอาจจะ “จัดจ้าน” อาจจะ “เยอะ” แต่มันไม่เปรี้ยง ไม่ดุ ไม่รู้จะพูดยังไง แต่ Skintrade ทำฉากยิงกันออกมาดุดีครับ
แน่นอนความที่เป็นหนังเกรด B คุณจะไปหวังให้มันอลังการงานสร้างแบบนั้นก็คงไม่ใช่ แต่ซีนที่ยิงกันเนี่ย เฮ้ย ดูได้อารมณ์มาก ๆ ครับ
3 ภาพรวมของหนัง
โหย คุณเอ้ย หนังดูเป็นหนัง กว่าต้มยำกุ้ง 2 นั่นเยอะ มีปูเรื่อง มีแรงจูงใจ การเล่าเรื่องอาจจะมีสะดุดบ้างบางครั้ง แต่ไม่ถึงกับวินาศสันตะโลอย่างที่ด่ากันหรอกครับ (แน่นอนก็ไม่ได้เล่าเรื่องได้เนียนระดับออสการ์ด้วย แต่มันอยู่ในระดับที่รับได้)
ส่วนที่ว่ากันว่าหนังเหมือนธีมเมื่อ 20 ปีที่แล้ว โอว์ใช่ครับห้า ๆ เป็นหนังบู๊ดูง่าย ๆ เนื้อเรื่องมีนิดหน่อย ตามขนบหนังบู๊ยุค 80 เลยครับ ห้าๆ อันนี้ต้องแจ้งกันไว้ก่อนเลย ว่าต้องทำใจรับจุดนี้ให้ได้ ถ้าไม่ได้คงผิดหวังแน่ ๆ ครับ
4 จาพนม
การที่จามีบทพูดเยอะขึ้น และได้แสดงอย่างอื่นบ้าง ในหนังเรื่องนี้สำคัญนะครับ เหมือนเป็นเดโม่ให้คนสร้างหนังคนอื่น ๆ เห็นว่า “เล่นหนัง” ได้ ไม่ได้เป็นแค่สตันท์ที่ดัง หลาย ๆ ซีนนี่จา “เท่ห์” มากครับ
5 จุดอ่อนของหนัง
ผมคิดว่าการถ่ายทำฉาก ศิลปะการต่อสู้ ครับ อันนี้ ทีมงานต้องรับไป คือจาออกแบบการต่อสู้มาใช้ได้ แต่มุมกล้องไม่ได้ T T ฉากดวลไมเคิล ไจ ไวท์ นี่ถ่ายออกมาไม่ไหวจริง ๆ ครับ T T (ไว้อาลัยอีกครั้ง) แต่ขอชมทั้งจา ไมเคิล และคนตัดต่อ ว่ายังพอพากันให้รอดมาได้ (ผมว่าตัดต่อฉากศิลปะการต่อสู้ใช้ได้นะ แต่มุมกล้องเข้าขั้นวินาศจริงๆ)
6. การพากษ์
พากษ์ไทยได้บัดซบมากครับ จบสั้น ๆ แบบนี้แหละครับ ฮา
สรุป มันเป็นหนังแอคชั่น ไม่ใช่หนังมาเชี่ยลอาร์ต - -" (ครับ ฟังดูแปลก ๆ ว่าแล้วจะมีจามาทำไม? ก็ไม่ใช่หนังของจาไงครับ นี่หนังของดอล์ฟ ที่ดึงจามาช่วยเป็นสีสัน) อย่างที่แฟน ๆ จา (อาจจะ) คาดหวัง แต่เป็นหนังแอคชั่นเกรด B ที่ดูได้เรื่อย ๆ นะครับ เพลิน ๆ ไม่ได้เลวร้ายขนาด ละครเย็นช่อง 7
เอาเป็นว่าดีกว่าต้มยำกุ้ง 2 ดีกว่าหนังแอคชั่นเกรด B ของทั้งฮอลลี่วู้ด และฮ่องกง อีกหลายเรื่องครับ
แต่ไม่ได้เป็นหนังที่ต้อง "ว้าว" ครับ
ขอบคุณที่อ่านจบครับ ^ ^