อย่างที่จั่วหัวไว้เลยครับ นี่คือหนังที่ดีที่สุดของจาพนม เอาว่าเริ่มกันเลย ส่วนที่ชอบ
-โทนหนัง
เป็นหนังอาชญากรรมผสมมาเฟียผสมศิลปะการต่อสู้ สไตล์ฮ่องกงนะครับ ซึ่งทำออกมาได้ถึงมาก ๆ นะครับ หนังวางสัดส่วนของดราม่า อาชญากรรม ไว้ในสัดส่วนที่มากกว่าฉากต่อสู้ แต่ด้วยความยาวสองชั่วโมงเต็ม ก็ทำให้ฉากต่อสู้นั้นเน้นเต็มอิ่มเหมือนกัน
-การกำกับภาพ
นี่เป็นจุดดีงามที่สุดจุดหนึ่งของหนังเรื่องนี้ การกำกับภาพทำออกมาได้อย่างงประณีต มีฉาก longtake ที่น่าสนใจ การเคลื่อนกล้อง การเลือกมุมภาพส่งเสริมอารมณ์ของหนังมาก ๆ ครับ
- การเล่าเรื่อง
ก่อนไปดูอ่านกระทู้เรื่อง SPL บางท่านบอกว่า เล่าเรื่องงง ๆ แต่ผมดูแล้วค่อนข้างเคลียร์อยู่นะครับ แม้ว่าเรื่องจะค่อนข้างซับซ้อนแต่ไม่ถึงกับยากเกินทำความเข้าใจ การเล่าเรื่องทำได้กระชับและไม่น่าเบื่อ การปูเรื่องนำไปสู่จุดสะเทือนอารมณ์ทำอย่างราบรื่นและแนบเนียนดีครับ เรียกว่าไม่มีฉากที่ไม่มีความหมายต่อเส้นเรื่อง หรือเล่าทิ้งเล่าขว้างเลย
- แกนเรื่อง
ว่าด้วยการค้าอวัยวะมนุษย์ ก็พอจะคล้ายๆกับเรื่อง skintrade แต่ SPL2 มีพลอตและวิธีการเล่าเรื่อง (แน่นอนรวมถึงอย่างอื่นๆ ด้วย)ดีกว่ามากๆ แทบจะเทียบกันไม่ได้
- ตัวละคร
ก่อนอื่นขอสดุดี เยิ่นต๊ะหัว ก่อนเลยครับ นี่คือนักแสดงที่เล่นดีที่สุดในหนังเรื่องนี้ นอกนั้นแสดงอยู่ในเกณฑ์ดีเฉลี่ยกันไป ส่วนพี่จาของเรา ก็หืดขึ้นคอเหมือนกัน ห้าๆ แต่พัฒนาการดีมาก ๆ หนังเรื่องนี้ แกน่าจะทำอะไรในสิ่งที่ใกล้เคียงกับคำว่า "นักแสดง" จริง ๆ กับเขาก็คราวนี้แหละครับ ที่ผ่านมาแต่ละเรื่องก็จับแต่ให้แกเตะต่อยว้าก ๆ กันอย่างเดียว พูดถึงจานี่ ถ้าไม่ใช่บทที่ "พูด" การแสดงอารมณ์ทางสีหน้า แววตา ก็โอเคอยู่นะ แต่พอต้อง "พูดด้วย" เหมือนแกจะลนๆ ล้นๆ ไปนิด ซึ่งเรื่องนี้ผมว่าขัดเกลาและพัฒนาได้ ยิ่งมาอยู่ในหนังที่เป็นรูปเป็นทรงหน่อย การแสดงของแกที่อาจจะไม่ลื่นบ้าง ก็ไม่ทำให้น่าเกลียดสักเท่าไหร่
- ดนตรีประกอบ
ดีงามสามโลก คุณเคยดูฉากกังฟูคลอเพลงออเคสตร้าไหมล่ะครับ อลังการงานสร้างทุกซีน ก็ให้อารมณ์ส่งเสริมตัวหนังได้ดีมากๆ สองอย่างนี้แหละครับของหนังที่ผมว่า ดีโดดเด้งมากๆ คืองานกำกับภาพกับดนตรีประกอบ คือมันทำให้หนังเท่และเป็นเอกลักษณ์แบบมาเฟียฮ่องกงจริง ๆ
- ฉากศิลปะการต่อสู้
ฉากยิงกันนี่ ผมเซอร์ไพรส์นะ ผมโตมาในยุค 90 ให้ตายเหอะ หนังฮ่องกงน้อยเรื่องมาก ที่จะทำฉากยิงกันแล้วเราชอบ (อาจจะเว้นจอห์นวูไว้คน) คือเรารู้สึกว่าที่ผ่านมาฉากยิงกันในหนังฮ่องกงมันทำออกมาโฉ่งฉ่างเกินไป แต่หนังเรื่องนี้ทำออกมาได้ดีมาก ๆ รู้สึกถึงน้ำหนัก บรรยากาศ ของการยิงกัน (ผมลืมไปนิด ผมคิดว่า internal affairs ก็ทำได้ถึงนะ แต่มันก็นับเรื่องได้)
ฉากต่อสู้มือเปล่า ผมคิดว่าการ "ออกแบบท่าทางการต่อสู้" ทำออกมาได้มาตรฐานฮ่องกงนะ และผมคิดว่าจาพนมน่าจะทำได้ดีกว่านี้ แต่ครับแต่ แต่การวางมุมกล้องและการตัดต่อ รวมถึงซาวด์เอฟเฟ็กต์ มันถึง ต่างจาก skintrade ที่ผมว่าการ "ออกแบบท่างทางการต่อสู้" น่าสนใจ แต่ตัดต่อและมุมกล้อง ทำออกมาเละเทะและเฟลเอามาก ๆ ก็ไม่รู้จะพูดยังไง
วกกับมาที่ฉากต่อสู้มือเปล่าของเรื่องนี้ สำหรับคนที่ชอบและคุ้นเคยกับฉากต่อสู้สไตล์ฮ่องกง เรื่องนี้ทำได้ตามมาตราฐานนั้นเลยครับ (ผมค่อนข้างหงุดหงิดกับสลิง ห้าๆ เลยไม่อินเท่าไหร่)
สรุป
ในความเป็นหนัง ไม่ว่าจะเป็นการ วางบท การเล่าเรื่อง งานกำกับภาพ งานดนตรีประกอบ ฯลฯ นี่เป็นงานมาตราฐานเดียวกับ internal affairs (ไม่ถึงกับเท่านะ แต่ใกล้เคียงมากๆ และสาธุ ที่จาได้เล่นหนังระดับนี้เสียที T T แถมในไตเติ้ลเครดิต ยังขึ้นชื่อจาเป็นคนแรกในบรรดานักแสดงด้วยและเขาก็ได้บทนำจริงๆ คู่กับวูจิง ) ถ้าไม่เทียบกับ internal affairs ก็ต้องบอกว่า นี่คือหนังลูกผสมอาชญากรรม/ศิลปะการต่อสู้ ชั้นดีที่ดูสนุกเรื่องหนึ่งเลยครับ
มีข้อสังเกตว่าตัวหนัง "คาราวะ" แนวทางของมาสเตอร์ไว้นิดหน่อยนะครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้มีฉากหนึ่งพระเอกขับรถผ่าน มีป้ายบนผนัง "the better tomorrow" หรือโหดเลวดี งานมาสเตอร์พีซของจอห์นวู นั่นเอง จขกท เกิดไม่ทันดู แต่ได้ดูซีน longtake ฉากโจวเหวินฟะยิงปืนในออฟฟิส แล้วนึกถึง Longtake ในหนังเรื่อง SPL2 ฉากนี้มีความเป็นไปได้สูงว่านี่เป็นการคาราวะมาสเตอร์อย่างจอห์นวู ผู้บุกเบิกแนวทาง อาชญากรรมดราม่าของฮ่องกงนั่นเอง
SPL 2 : หนังที่ดีที่สุดของจาพนม (ไม่สปอยล์)
-โทนหนัง
เป็นหนังอาชญากรรมผสมมาเฟียผสมศิลปะการต่อสู้ สไตล์ฮ่องกงนะครับ ซึ่งทำออกมาได้ถึงมาก ๆ นะครับ หนังวางสัดส่วนของดราม่า อาชญากรรม ไว้ในสัดส่วนที่มากกว่าฉากต่อสู้ แต่ด้วยความยาวสองชั่วโมงเต็ม ก็ทำให้ฉากต่อสู้นั้นเน้นเต็มอิ่มเหมือนกัน
-การกำกับภาพ
นี่เป็นจุดดีงามที่สุดจุดหนึ่งของหนังเรื่องนี้ การกำกับภาพทำออกมาได้อย่างงประณีต มีฉาก longtake ที่น่าสนใจ การเคลื่อนกล้อง การเลือกมุมภาพส่งเสริมอารมณ์ของหนังมาก ๆ ครับ
- การเล่าเรื่อง
ก่อนไปดูอ่านกระทู้เรื่อง SPL บางท่านบอกว่า เล่าเรื่องงง ๆ แต่ผมดูแล้วค่อนข้างเคลียร์อยู่นะครับ แม้ว่าเรื่องจะค่อนข้างซับซ้อนแต่ไม่ถึงกับยากเกินทำความเข้าใจ การเล่าเรื่องทำได้กระชับและไม่น่าเบื่อ การปูเรื่องนำไปสู่จุดสะเทือนอารมณ์ทำอย่างราบรื่นและแนบเนียนดีครับ เรียกว่าไม่มีฉากที่ไม่มีความหมายต่อเส้นเรื่อง หรือเล่าทิ้งเล่าขว้างเลย
- แกนเรื่อง
ว่าด้วยการค้าอวัยวะมนุษย์ ก็พอจะคล้ายๆกับเรื่อง skintrade แต่ SPL2 มีพลอตและวิธีการเล่าเรื่อง (แน่นอนรวมถึงอย่างอื่นๆ ด้วย)ดีกว่ามากๆ แทบจะเทียบกันไม่ได้
- ตัวละคร
ก่อนอื่นขอสดุดี เยิ่นต๊ะหัว ก่อนเลยครับ นี่คือนักแสดงที่เล่นดีที่สุดในหนังเรื่องนี้ นอกนั้นแสดงอยู่ในเกณฑ์ดีเฉลี่ยกันไป ส่วนพี่จาของเรา ก็หืดขึ้นคอเหมือนกัน ห้าๆ แต่พัฒนาการดีมาก ๆ หนังเรื่องนี้ แกน่าจะทำอะไรในสิ่งที่ใกล้เคียงกับคำว่า "นักแสดง" จริง ๆ กับเขาก็คราวนี้แหละครับ ที่ผ่านมาแต่ละเรื่องก็จับแต่ให้แกเตะต่อยว้าก ๆ กันอย่างเดียว พูดถึงจานี่ ถ้าไม่ใช่บทที่ "พูด" การแสดงอารมณ์ทางสีหน้า แววตา ก็โอเคอยู่นะ แต่พอต้อง "พูดด้วย" เหมือนแกจะลนๆ ล้นๆ ไปนิด ซึ่งเรื่องนี้ผมว่าขัดเกลาและพัฒนาได้ ยิ่งมาอยู่ในหนังที่เป็นรูปเป็นทรงหน่อย การแสดงของแกที่อาจจะไม่ลื่นบ้าง ก็ไม่ทำให้น่าเกลียดสักเท่าไหร่
- ดนตรีประกอบ
ดีงามสามโลก คุณเคยดูฉากกังฟูคลอเพลงออเคสตร้าไหมล่ะครับ อลังการงานสร้างทุกซีน ก็ให้อารมณ์ส่งเสริมตัวหนังได้ดีมากๆ สองอย่างนี้แหละครับของหนังที่ผมว่า ดีโดดเด้งมากๆ คืองานกำกับภาพกับดนตรีประกอบ คือมันทำให้หนังเท่และเป็นเอกลักษณ์แบบมาเฟียฮ่องกงจริง ๆ
- ฉากศิลปะการต่อสู้
ฉากยิงกันนี่ ผมเซอร์ไพรส์นะ ผมโตมาในยุค 90 ให้ตายเหอะ หนังฮ่องกงน้อยเรื่องมาก ที่จะทำฉากยิงกันแล้วเราชอบ (อาจจะเว้นจอห์นวูไว้คน) คือเรารู้สึกว่าที่ผ่านมาฉากยิงกันในหนังฮ่องกงมันทำออกมาโฉ่งฉ่างเกินไป แต่หนังเรื่องนี้ทำออกมาได้ดีมาก ๆ รู้สึกถึงน้ำหนัก บรรยากาศ ของการยิงกัน (ผมลืมไปนิด ผมคิดว่า internal affairs ก็ทำได้ถึงนะ แต่มันก็นับเรื่องได้)
ฉากต่อสู้มือเปล่า ผมคิดว่าการ "ออกแบบท่าทางการต่อสู้" ทำออกมาได้มาตรฐานฮ่องกงนะ และผมคิดว่าจาพนมน่าจะทำได้ดีกว่านี้ แต่ครับแต่ แต่การวางมุมกล้องและการตัดต่อ รวมถึงซาวด์เอฟเฟ็กต์ มันถึง ต่างจาก skintrade ที่ผมว่าการ "ออกแบบท่างทางการต่อสู้" น่าสนใจ แต่ตัดต่อและมุมกล้อง ทำออกมาเละเทะและเฟลเอามาก ๆ ก็ไม่รู้จะพูดยังไง
วกกับมาที่ฉากต่อสู้มือเปล่าของเรื่องนี้ สำหรับคนที่ชอบและคุ้นเคยกับฉากต่อสู้สไตล์ฮ่องกง เรื่องนี้ทำได้ตามมาตราฐานนั้นเลยครับ (ผมค่อนข้างหงุดหงิดกับสลิง ห้าๆ เลยไม่อินเท่าไหร่)
สรุป
ในความเป็นหนัง ไม่ว่าจะเป็นการ วางบท การเล่าเรื่อง งานกำกับภาพ งานดนตรีประกอบ ฯลฯ นี่เป็นงานมาตราฐานเดียวกับ internal affairs (ไม่ถึงกับเท่านะ แต่ใกล้เคียงมากๆ และสาธุ ที่จาได้เล่นหนังระดับนี้เสียที T T แถมในไตเติ้ลเครดิต ยังขึ้นชื่อจาเป็นคนแรกในบรรดานักแสดงด้วยและเขาก็ได้บทนำจริงๆ คู่กับวูจิง ) ถ้าไม่เทียบกับ internal affairs ก็ต้องบอกว่า นี่คือหนังลูกผสมอาชญากรรม/ศิลปะการต่อสู้ ชั้นดีที่ดูสนุกเรื่องหนึ่งเลยครับ
มีข้อสังเกตว่าตัวหนัง "คาราวะ" แนวทางของมาสเตอร์ไว้นิดหน่อยนะครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้