สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 22
ขอบคุณ จขกท มากๆนะครับที่เอามาแชร์
ผมขออนุญาตเพิ่มเติมรายละเอียด + แก้ไขในบางข้อนะครับ ในฐานะแฟนคลับของไททานิกเองทั้งเรือและหนังครับผม ขออภัยจขกทด้วยนะครับหากเป็นการล่วงเกินแต่แค่อยากเพิ่มเติมรายละเอียดบางส่วนและแก้ข้อผิดพลาดเล็กๆน้อยๆที่ถูกแชร์กันมาเรื่อยๆเพื่ออ้างอิงข้อมูลตามความจริงให้ตรงกันนะครับ
17. เรือช่วยชีวิตทั้งหมดที่มีสามารถช่วยคนได้มากกว่าครึ่งหนึ่งของคนทั้งหมด
แต่เอาเข้าจริง ๆ ช่วยได้แค่ 1/3 เท่านั้น
8. เรือช่วยชีวิตที่ออกไปแต่ละลำนั้น ส่วนมากบรรจุคนน้อยกว่ามาตรฐานไปมาก
เพิ่มเติม ไททานิคที่ออกเดินทางมีเรือชูชีพเพียง 20 ลำ ซึ่งหากจุเต็มๆ (ทดสอบแล้วด้วยผู้ชาย 65 คน) แล้วก็จะช่วยได้เพียง 1/3 ของผู้โดยสารเท่านั้น (มีผู้โดยสารมาในรอบนี้ทั้งหมด 2,228 คน) ซึ่งจริงๆแล้ว เดิมถูกออกแบบ ให้มีเรือชูชีพ ทั้งหมด 32 ลำ (ซึ่งก็ไม่พอผู้โดยสารทั้งหมดอยู่ดีอย่ดี) แต่ต่อมา ก็ถูกตัดออก เพราะเหล่าผู้บริหารคิดว่ามันจะเกะกะดาดฟ้าของผู้โดยสารชั้นหนึ่ง เลยหาเรือมาแค่ 20 ลำ อีกทั้งคิดว่าสิ้นเปลืองงบประมาณเพราะคิดว่ายังไงก็ไม่มีทางจม ซึ่งความจริงแล้วนั้นไททานิกสามารถบรรจุเรือชูชีพจริงๆได้ถึง 64 ลำ (ผู้โดยสารทั้งลำนั่งนอนเล่นได้สบายๆ) แต่ส่วนใหญ่ก็ปล่อยเสาเดวิตไว้ว่างๆอย่างนั้น ไม่ได้หาเรือมาเพิ่มแต่อย่างใด และกฏในสมัยนั้น จุได้เกินครึ่งก็เพียงพอแล้วครับ
ส่วนเรื่องการบรรจุคนน้อยกว่ามาตรฐานประเด็นหลักไม่ใช่เรื่องของการเหลื่อมล้ำทางชนชั้นครับ ถึงแม้ว่าจะมีการล้อกประตูผู้โดยสารชั้นสามจริง (ตามคำบอกเล่าของผู้รอดชีวิต - ทั้งนี้ก็เพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวายเพราะกลัวจะเฮโลไปขึ้นเรือจนไม่รอดกันหมด) มีการพบเห็นว่าเรือที่จุคนนั้นน้อยสุดแค่เพียง 12 คน ทั้งนี้ก็เพราะว่าด้วยความรีบเร่งของเจ้าหน้าที่เพราะไม่รู้ว่าเรือจะอับปางเมื่อไหร่จึงต้องรีบปล่อย และไม่ไว้วางใจน้ำหนักของเรือจริงๆว่ามันจะสามารถสามารถจุคนได้เพียงพอในสถานการณ์จริงแค่ไหนครับ เพราะไม่อยากเสี่ยงให้ไปล่มในทะเลอีกรอบ ถ้าตามที่เราเห็นในหนังภายหลังคุณแอนดรูว์วิศวะกรเรือต้องมาบอกว่าเพื่อให้เห็นแก่พระเจ้าให้จุมากขึ้นหน่อยเถอะนั่นเองครับ
ส่วนเรื่องความเหลื่อมล้ำอยากบอกว่าผู้รอดชีวิตที่เป็นผู้โดยสารชั้นหนึ่งผู้ชายนี่น้อยมากนะครับ ส่วนใหญ่เป็นสุภาพบุรุษที่แท้จริงกันทั้งนั้น พวกเขาต่างเสียสละให้เด็กและสตรีขึ้นก่อน ส่วนผู้ที่เป็นตำนานก็มีหลายคนอย่างเช่น เบญจามิน กุ๊กเก้นไฮม์ (ที่เราเห็นในหนังว่าสั่งแชมเปญมาดื่มตอนเรือกำลังล่ม) ก็ยอมที่จะสละชีพลงไปพร้อมกับเรืออย่างสุภาพบุรุษดีกว่าได้ชื่อว่าแย่งที่นั่งของเด็กและสตรีครับ
ส่วนตัวผมคิดว่าปัญหาที่แท้จริงส่วนหนึ่งมาจากอิสเมย์นั่นล่ะครับ(หลายข้อทีเดียว)ที่ลดจำนวนเรือชูชีพลง กดดันกัปตันให้เร่งความเร็วสูงสุดเพื่อจะทำลายสถิติ หนำซ้ำในฐานะเจ้าของบริษัท+เจ้าของเรือ ควรจะอยู่บนเรือดูแลผู้โดยสารแต่กลับเป็นผู้รอดชีวิตมาซะนี่ (บางคนเล่าว่าเห็นเขาคลุมผมปลอมตัวเป็นผู้หญิง แต่เจ้าตัวให้สัมภาษณ์ว่าช่วงชุลมุนสุดท้ายนั้นตนเห็นว่าเรือลำสุดท้ายไม่มีคนแล้วเพราะมันโกลาหลไปหมด แล้วมีที่ว่างตนจึงลงมานั่ง)
อ้างอิง http://en.wikipedia.org/wiki/Lifeboats_of_the_RMS_Titanic
12. ไม่มีเรือเดินสมุทรในประวัติศาสตร์ที่จมเพราะภูเขาน้ำแข็งอีกแล้ว
มีเรืออีกหลายลำเลยครับที่จมเพราะภูเขาน้ำเข็ง
อ้างอิง
http://www.marineinsight.com/marine/marine-news/headline/10-ships-sunk-by-accident-with-iceberg/
http://www.bbc.com/news/magazine-17257653
http://en.wikipedia.org/wiki/List_of_ships_sunk_by_icebergs
http://www.accuweather.com/en/weather-news/icebergs-still-a-threat-100-ye/63626
9. ตั้งแต่มีคนเห็นภูเขาน้ำแข็ง มีการดีเลย์ไปกว่า 30 วินาที
จนกว่าจะมีการออกคำสั่งให้หมุนลำเรือ ซึ่งถ้าไม่ดีเลย์ เรือจะไม่ชน
อันนี้รู้สึกจะเคยมีคนถกกันมาแล้วนะครับในห้องหว้ากอ หากระทู้ไม่เจอ ถึงรู้ล่วงหน้า 30 วินาที ก็ไม่น่าจะรอดได้ แต่ผมไม่แน่ใจ ต้องให้ชาวหว้ากอมาถกดูครับ ส่วนคำว่าดีเลย์ ไม่อยากใช้คำว่าดีเลย์เลยครับ เพราะตั้งแต่มีการเห็น เคาะระฆัง เจ้าหน้าที่ออกมาดูพอรับสารจากผู้สังเกตุการณ์ที่เสกระโดงแล้วก็ทำการวิ่งไปควบคุมคอนโทรลให้สั่งห้องเครื่องถอยหลังทันทีและออกคำสั่ง Hard to starboard (หักขวาเพื่อให้เลี้ยวซ้าย) ทันทีครับ ซึ่งกระบวนการกว่าจะมาถึงตรงนั้นมันย่อมใช้เวลาสักพักอยู่แล้วครับ อีกอย่าง ถ้าดูเวลาจริงๆคือ เวลานับจากที่คนสังเกตุการณ์เห็นภูเขา - เรือปะทะ ใช้เวลาราวๆ 30-40 วินาทีเท่านั้นครับ
ส่วนจะโทษว่าคนสังเกตุการณ์เอาแต่เล่นกันหรือไม่มีกล้องส่องก็ไม่ได้อีก เพราะถึงมีกล้องก็ไม่ช่วยครับเนื่องจาก ในคืนที่เรือไททานิกชนภูเขาน้ำแข็ง เป็นคืนที่ทะเลเงียบสงบที่สุด เจ้าหน้าที่ยังอุทานว่า "ยังกับกระจก" ไม่ค่อยเกิดขึ้นในมหาสมุทร การที่มันไม่มีคลื่นทำให้กลางคืนมองไม่เห็นภูเขาน้ำแข็งเลย อย่างน้อยถ้ามีคลื่นไปกระทบภูเขาน้ำแข็งก็จะเกิดฟองคลื่นขึ้น พอไม่มีเลยก็มองไม่เห็น ประกอบกับมีดาวอยู่เต็มฟ้าด้วย และอยู่ดีๆ อุณหภูมิก็เย็นลง ผู้โดยสารที่รอดมาให้การตรงกันหมดว่าอยู่ดีๆ อากาศเย็นเยือกขึ้นมา แสดงว่ามันเกิดปฏิกิริยาธรรมชาติ การที่อุณหภูมิลดลงอย่างรวดเร็วมันทำให้เกิดไอขึ้นมาทำให้ไม่เห็นขอบฟ้ากับทะเล เพราะฉะนั้นการคำนวณรัศมีของภูเขาน้ำแข็งมันทำไม่ได้ และไม่ใช่ความผิดพลาดของการไม่มีกล้องส่องทางไกลด้วย เพราะตอนหลังผู้เชี่ยวชาญให้การณ์ตรงกันว่าในการมองอย่างนี้ตาเปล่าจะดีกว่า เพราะว่าใช้กล้องมันหลอกตา ไม่รู้ว่ารัศมีมันใกล้เท่าไร"
Tim Maltin นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษ พบงานวิจัยของนักวิจัยจาก Texas State University-San Marcos ระบุว่า ในเดือนธันวาคมของปี 1911 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ของปี 1912 วงโคจรของโลกเคลื่อนเข้าใกล้ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์อย่างมาก ทำให้เกิดน้ำขึ้นน้ำลงที่สูงกว่าปกติ น้ำทะเลก็เลยไปชะลากเอาก้อนน้ำแข็งออกมาจากฝั่งลาบราดอร์และนิวฟาวนด์แลนด์ลงสู่ท้องทะเลแอตแลนติกเหนือ ทับเส้นทางเดินเรือของไททานิกพอดี
ผลของการที่มีน้ำแข็งเต็มท้องทะเลทำให้อากาศเหนือพื้นน้ำเย็นจัดกว่าอากาศข้างบน บิดเบี้ยวการเดินทางของแสงจนเกิดเป็นภาพลวงตา (mirage) แบบเดียวกับที่เราเห็นภาพลวงตาบนถนนที่ร้อนจัด Tim Maltin สันนิษฐานว่าภาพลวงตานี่แหละที่เป็นตัวการทำให้เจ้าหน้าที่บนเรือไททานิกมองไม่เห็นภูเขาน้ำแข็งที่อยู่ตรงหน้า กว่าจะรู้ตัวก็สุดวิสัยที่จะหักหลบได้ทันแล้ว ข้อสันนิษฐานนี้สอดคล้องกับคำให้การของพยานเรือไททานิกที่บอกว่าวันนั้นมองเห็นเส้นขอบฟ้าพร่าเลือนผิดธรรมชาติ
อ้างอิง
http://en.wikipedia.org/wiki/SS_Californian
http://www.marinerthai.net/sara/viewsara1320.php
https://jusci.net/node/2516
7. หัวหน้าคนครัวฝ่ายอบขนมอยู่รอดได้ถึง 2 ชั่วโมงไม่หนาวตาย
จนมีคนมาช่วยพอดี เพราะเขาดื่มเหล้ามากพอนั่นเอง
เป็นโดยคำบอกเล่าของเจ้าตัว Charles John Joughin หัวหน้าเชฟขนมปังบนเรือเองเลยครับ หลังจากที่เรือชนและกำลังจะจม เขาได้รีบหนีออกมายังดาดฟ้าเรือ และมีนำ้ใจช่วยพาเหล่าผู้หญิงและเด็กไปยังเรือชูชีพด้วย อีกทั้งเขาได้ช่วยโยนเก้าอี้ โต๊ะ และวัตถุลอยน้ำลงไปข้างล่างด้วย เพื่อให้คนที่ลอยเท้งเต้งอยู่ได้มีที่เกาะ เมื่อเรือกำลังจะหัก เขาได้ยินเสียงดังมาก จึงได้รับวิ่งไปที่ท้ายเรือเพื่อหาที่เกาะ เขาเกาะจนกระทั่งเรือจมลงไป (แบบที่เห็นในหนังนั่นล่ะครับ) เขากระโดดหนีกระแสน้ำดูดได้ทัน และเมื่อเรือจมเขาก็พยายามตะเกียตะกายหาเรือชูชีพเป็นเวลากว่า 2 ชม. จึงได้พบเรือชูชีพที่คุมโดยเจ้าหน้าที่ไลท์โทลเลอร์จึงได้ว่ายเจ้าไปหาและขึ้นเรือมาได้ เขาให้การว่าตอนที่เขาลอยคออยู่นั้น แต่เขาไม่ค่อยรู้สึกหนาวเย็นเท่าไร คงเป็นเพราะเหล้าที่เขาดื่มเข้าไปมากๆจนเกิดความอบอุ่นในตัวเขาก็เป็นได้
แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นเพราะดื่มเหล้าเลยรอดตายจริงๆหรือเปล่านะครับ ต้องให้ผู้รู้มาพิสูจน์กันต่อไป
อ้างอิง
http://en.wikipedia.org/wiki/Charles_Joughin
http://www.titanicuniverse.com/titanic-survivor-charles-joughin/1349
http://teen.mthai.com/variety/80388.html
6. งบประมาณในการสร้างหนังเมื่อปี 1997 แพงกว่างบประมาณในการสร้างเรือไททานิกในชีวิจจริงซะอีก
สร้างหนัง : 200 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ
สร้างเรือ: 75 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ
ไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้ครับ ด้วยค่าเงินสมัยที่สร้างเรือกับปีที่สร้างนั้นห่างราวๆ 80 ปี
ต้องคำนวนค่าหลายๆอย่างในสมัยนั้นมาเปรียบเทียบกันดูครับ
คุณ Warut1998 เคยหาข้อมูลแล้วโพสในกระทู้นึงว่า
ค่าต่อเรือไททานิค 75 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ในช่วงปี 1912 ถ้าแปลงเป็นมูลค่าในปัจจุบันก็นับว่าอยู่ในระดับเดียวกันกับ
เรือสำราญที่ใหญ่ที่สุดในโลกในปัจจุบันอย่างเรือ MS Oasis of the Seas ที่ใช้เงินไป 1.4 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ
และเรือ MS Allure of The Seas ที่ใช้เงินไป 1.2 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ
(ซึ่งทั้งสองลำครองสถิติร่วม เพราะเป็นเรือพี่น้องกัน)
http://en.wikipedia.org/wiki/List_of_the_world%27s_largest_cruise_ships
5. นักดนตรียังคงเล่นไปเรื่อยๆ อีกหลายชั่วโมงจนกว่าเรือจะจมลงสนิท
เรื่องจริงที่เป็นตำนานเลยครับ หัวหน้าวง Wallace Hartley และผองเพื่อนได้รับการยกย่องอย่างมากเลย
http://en.wikipedia.org/wiki/Wallace_Hartley
ผมขออนุญาตเพิ่มเติมรายละเอียด + แก้ไขในบางข้อนะครับ ในฐานะแฟนคลับของไททานิกเองทั้งเรือและหนังครับผม ขออภัยจขกทด้วยนะครับหากเป็นการล่วงเกินแต่แค่อยากเพิ่มเติมรายละเอียดบางส่วนและแก้ข้อผิดพลาดเล็กๆน้อยๆที่ถูกแชร์กันมาเรื่อยๆเพื่ออ้างอิงข้อมูลตามความจริงให้ตรงกันนะครับ
17. เรือช่วยชีวิตทั้งหมดที่มีสามารถช่วยคนได้มากกว่าครึ่งหนึ่งของคนทั้งหมด
แต่เอาเข้าจริง ๆ ช่วยได้แค่ 1/3 เท่านั้น
8. เรือช่วยชีวิตที่ออกไปแต่ละลำนั้น ส่วนมากบรรจุคนน้อยกว่ามาตรฐานไปมาก
เพิ่มเติม ไททานิคที่ออกเดินทางมีเรือชูชีพเพียง 20 ลำ ซึ่งหากจุเต็มๆ (ทดสอบแล้วด้วยผู้ชาย 65 คน) แล้วก็จะช่วยได้เพียง 1/3 ของผู้โดยสารเท่านั้น (มีผู้โดยสารมาในรอบนี้ทั้งหมด 2,228 คน) ซึ่งจริงๆแล้ว เดิมถูกออกแบบ ให้มีเรือชูชีพ ทั้งหมด 32 ลำ (ซึ่งก็ไม่พอผู้โดยสารทั้งหมดอยู่ดีอย่ดี) แต่ต่อมา ก็ถูกตัดออก เพราะเหล่าผู้บริหารคิดว่ามันจะเกะกะดาดฟ้าของผู้โดยสารชั้นหนึ่ง เลยหาเรือมาแค่ 20 ลำ อีกทั้งคิดว่าสิ้นเปลืองงบประมาณเพราะคิดว่ายังไงก็ไม่มีทางจม ซึ่งความจริงแล้วนั้นไททานิกสามารถบรรจุเรือชูชีพจริงๆได้ถึง 64 ลำ (ผู้โดยสารทั้งลำนั่งนอนเล่นได้สบายๆ) แต่ส่วนใหญ่ก็ปล่อยเสาเดวิตไว้ว่างๆอย่างนั้น ไม่ได้หาเรือมาเพิ่มแต่อย่างใด และกฏในสมัยนั้น จุได้เกินครึ่งก็เพียงพอแล้วครับ
ส่วนเรื่องการบรรจุคนน้อยกว่ามาตรฐานประเด็นหลักไม่ใช่เรื่องของการเหลื่อมล้ำทางชนชั้นครับ ถึงแม้ว่าจะมีการล้อกประตูผู้โดยสารชั้นสามจริง (ตามคำบอกเล่าของผู้รอดชีวิต - ทั้งนี้ก็เพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวายเพราะกลัวจะเฮโลไปขึ้นเรือจนไม่รอดกันหมด) มีการพบเห็นว่าเรือที่จุคนนั้นน้อยสุดแค่เพียง 12 คน ทั้งนี้ก็เพราะว่าด้วยความรีบเร่งของเจ้าหน้าที่เพราะไม่รู้ว่าเรือจะอับปางเมื่อไหร่จึงต้องรีบปล่อย และไม่ไว้วางใจน้ำหนักของเรือจริงๆว่ามันจะสามารถสามารถจุคนได้เพียงพอในสถานการณ์จริงแค่ไหนครับ เพราะไม่อยากเสี่ยงให้ไปล่มในทะเลอีกรอบ ถ้าตามที่เราเห็นในหนังภายหลังคุณแอนดรูว์วิศวะกรเรือต้องมาบอกว่าเพื่อให้เห็นแก่พระเจ้าให้จุมากขึ้นหน่อยเถอะนั่นเองครับ
ส่วนเรื่องความเหลื่อมล้ำอยากบอกว่าผู้รอดชีวิตที่เป็นผู้โดยสารชั้นหนึ่งผู้ชายนี่น้อยมากนะครับ ส่วนใหญ่เป็นสุภาพบุรุษที่แท้จริงกันทั้งนั้น พวกเขาต่างเสียสละให้เด็กและสตรีขึ้นก่อน ส่วนผู้ที่เป็นตำนานก็มีหลายคนอย่างเช่น เบญจามิน กุ๊กเก้นไฮม์ (ที่เราเห็นในหนังว่าสั่งแชมเปญมาดื่มตอนเรือกำลังล่ม) ก็ยอมที่จะสละชีพลงไปพร้อมกับเรืออย่างสุภาพบุรุษดีกว่าได้ชื่อว่าแย่งที่นั่งของเด็กและสตรีครับ
ส่วนตัวผมคิดว่าปัญหาที่แท้จริงส่วนหนึ่งมาจากอิสเมย์นั่นล่ะครับ(หลายข้อทีเดียว)ที่ลดจำนวนเรือชูชีพลง กดดันกัปตันให้เร่งความเร็วสูงสุดเพื่อจะทำลายสถิติ หนำซ้ำในฐานะเจ้าของบริษัท+เจ้าของเรือ ควรจะอยู่บนเรือดูแลผู้โดยสารแต่กลับเป็นผู้รอดชีวิตมาซะนี่ (บางคนเล่าว่าเห็นเขาคลุมผมปลอมตัวเป็นผู้หญิง แต่เจ้าตัวให้สัมภาษณ์ว่าช่วงชุลมุนสุดท้ายนั้นตนเห็นว่าเรือลำสุดท้ายไม่มีคนแล้วเพราะมันโกลาหลไปหมด แล้วมีที่ว่างตนจึงลงมานั่ง)
อ้างอิง http://en.wikipedia.org/wiki/Lifeboats_of_the_RMS_Titanic
12. ไม่มีเรือเดินสมุทรในประวัติศาสตร์ที่จมเพราะภูเขาน้ำแข็งอีกแล้ว
มีเรืออีกหลายลำเลยครับที่จมเพราะภูเขาน้ำเข็ง
อ้างอิง
http://www.marineinsight.com/marine/marine-news/headline/10-ships-sunk-by-accident-with-iceberg/
http://www.bbc.com/news/magazine-17257653
http://en.wikipedia.org/wiki/List_of_ships_sunk_by_icebergs
http://www.accuweather.com/en/weather-news/icebergs-still-a-threat-100-ye/63626
9. ตั้งแต่มีคนเห็นภูเขาน้ำแข็ง มีการดีเลย์ไปกว่า 30 วินาที
จนกว่าจะมีการออกคำสั่งให้หมุนลำเรือ ซึ่งถ้าไม่ดีเลย์ เรือจะไม่ชน
อันนี้รู้สึกจะเคยมีคนถกกันมาแล้วนะครับในห้องหว้ากอ หากระทู้ไม่เจอ ถึงรู้ล่วงหน้า 30 วินาที ก็ไม่น่าจะรอดได้ แต่ผมไม่แน่ใจ ต้องให้ชาวหว้ากอมาถกดูครับ ส่วนคำว่าดีเลย์ ไม่อยากใช้คำว่าดีเลย์เลยครับ เพราะตั้งแต่มีการเห็น เคาะระฆัง เจ้าหน้าที่ออกมาดูพอรับสารจากผู้สังเกตุการณ์ที่เสกระโดงแล้วก็ทำการวิ่งไปควบคุมคอนโทรลให้สั่งห้องเครื่องถอยหลังทันทีและออกคำสั่ง Hard to starboard (หักขวาเพื่อให้เลี้ยวซ้าย) ทันทีครับ ซึ่งกระบวนการกว่าจะมาถึงตรงนั้นมันย่อมใช้เวลาสักพักอยู่แล้วครับ อีกอย่าง ถ้าดูเวลาจริงๆคือ เวลานับจากที่คนสังเกตุการณ์เห็นภูเขา - เรือปะทะ ใช้เวลาราวๆ 30-40 วินาทีเท่านั้นครับ
ส่วนจะโทษว่าคนสังเกตุการณ์เอาแต่เล่นกันหรือไม่มีกล้องส่องก็ไม่ได้อีก เพราะถึงมีกล้องก็ไม่ช่วยครับเนื่องจาก ในคืนที่เรือไททานิกชนภูเขาน้ำแข็ง เป็นคืนที่ทะเลเงียบสงบที่สุด เจ้าหน้าที่ยังอุทานว่า "ยังกับกระจก" ไม่ค่อยเกิดขึ้นในมหาสมุทร การที่มันไม่มีคลื่นทำให้กลางคืนมองไม่เห็นภูเขาน้ำแข็งเลย อย่างน้อยถ้ามีคลื่นไปกระทบภูเขาน้ำแข็งก็จะเกิดฟองคลื่นขึ้น พอไม่มีเลยก็มองไม่เห็น ประกอบกับมีดาวอยู่เต็มฟ้าด้วย และอยู่ดีๆ อุณหภูมิก็เย็นลง ผู้โดยสารที่รอดมาให้การตรงกันหมดว่าอยู่ดีๆ อากาศเย็นเยือกขึ้นมา แสดงว่ามันเกิดปฏิกิริยาธรรมชาติ การที่อุณหภูมิลดลงอย่างรวดเร็วมันทำให้เกิดไอขึ้นมาทำให้ไม่เห็นขอบฟ้ากับทะเล เพราะฉะนั้นการคำนวณรัศมีของภูเขาน้ำแข็งมันทำไม่ได้ และไม่ใช่ความผิดพลาดของการไม่มีกล้องส่องทางไกลด้วย เพราะตอนหลังผู้เชี่ยวชาญให้การณ์ตรงกันว่าในการมองอย่างนี้ตาเปล่าจะดีกว่า เพราะว่าใช้กล้องมันหลอกตา ไม่รู้ว่ารัศมีมันใกล้เท่าไร"
Tim Maltin นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษ พบงานวิจัยของนักวิจัยจาก Texas State University-San Marcos ระบุว่า ในเดือนธันวาคมของปี 1911 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ของปี 1912 วงโคจรของโลกเคลื่อนเข้าใกล้ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์อย่างมาก ทำให้เกิดน้ำขึ้นน้ำลงที่สูงกว่าปกติ น้ำทะเลก็เลยไปชะลากเอาก้อนน้ำแข็งออกมาจากฝั่งลาบราดอร์และนิวฟาวนด์แลนด์ลงสู่ท้องทะเลแอตแลนติกเหนือ ทับเส้นทางเดินเรือของไททานิกพอดี
ผลของการที่มีน้ำแข็งเต็มท้องทะเลทำให้อากาศเหนือพื้นน้ำเย็นจัดกว่าอากาศข้างบน บิดเบี้ยวการเดินทางของแสงจนเกิดเป็นภาพลวงตา (mirage) แบบเดียวกับที่เราเห็นภาพลวงตาบนถนนที่ร้อนจัด Tim Maltin สันนิษฐานว่าภาพลวงตานี่แหละที่เป็นตัวการทำให้เจ้าหน้าที่บนเรือไททานิกมองไม่เห็นภูเขาน้ำแข็งที่อยู่ตรงหน้า กว่าจะรู้ตัวก็สุดวิสัยที่จะหักหลบได้ทันแล้ว ข้อสันนิษฐานนี้สอดคล้องกับคำให้การของพยานเรือไททานิกที่บอกว่าวันนั้นมองเห็นเส้นขอบฟ้าพร่าเลือนผิดธรรมชาติ
อ้างอิง
http://en.wikipedia.org/wiki/SS_Californian
http://www.marinerthai.net/sara/viewsara1320.php
https://jusci.net/node/2516
7. หัวหน้าคนครัวฝ่ายอบขนมอยู่รอดได้ถึง 2 ชั่วโมงไม่หนาวตาย
จนมีคนมาช่วยพอดี เพราะเขาดื่มเหล้ามากพอนั่นเอง
เป็นโดยคำบอกเล่าของเจ้าตัว Charles John Joughin หัวหน้าเชฟขนมปังบนเรือเองเลยครับ หลังจากที่เรือชนและกำลังจะจม เขาได้รีบหนีออกมายังดาดฟ้าเรือ และมีนำ้ใจช่วยพาเหล่าผู้หญิงและเด็กไปยังเรือชูชีพด้วย อีกทั้งเขาได้ช่วยโยนเก้าอี้ โต๊ะ และวัตถุลอยน้ำลงไปข้างล่างด้วย เพื่อให้คนที่ลอยเท้งเต้งอยู่ได้มีที่เกาะ เมื่อเรือกำลังจะหัก เขาได้ยินเสียงดังมาก จึงได้รับวิ่งไปที่ท้ายเรือเพื่อหาที่เกาะ เขาเกาะจนกระทั่งเรือจมลงไป (แบบที่เห็นในหนังนั่นล่ะครับ) เขากระโดดหนีกระแสน้ำดูดได้ทัน และเมื่อเรือจมเขาก็พยายามตะเกียตะกายหาเรือชูชีพเป็นเวลากว่า 2 ชม. จึงได้พบเรือชูชีพที่คุมโดยเจ้าหน้าที่ไลท์โทลเลอร์จึงได้ว่ายเจ้าไปหาและขึ้นเรือมาได้ เขาให้การว่าตอนที่เขาลอยคออยู่นั้น แต่เขาไม่ค่อยรู้สึกหนาวเย็นเท่าไร คงเป็นเพราะเหล้าที่เขาดื่มเข้าไปมากๆจนเกิดความอบอุ่นในตัวเขาก็เป็นได้
แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นเพราะดื่มเหล้าเลยรอดตายจริงๆหรือเปล่านะครับ ต้องให้ผู้รู้มาพิสูจน์กันต่อไป
อ้างอิง
http://en.wikipedia.org/wiki/Charles_Joughin
http://www.titanicuniverse.com/titanic-survivor-charles-joughin/1349
http://teen.mthai.com/variety/80388.html
6. งบประมาณในการสร้างหนังเมื่อปี 1997 แพงกว่างบประมาณในการสร้างเรือไททานิกในชีวิจจริงซะอีก
สร้างหนัง : 200 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ
สร้างเรือ: 75 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ
ไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้ครับ ด้วยค่าเงินสมัยที่สร้างเรือกับปีที่สร้างนั้นห่างราวๆ 80 ปี
ต้องคำนวนค่าหลายๆอย่างในสมัยนั้นมาเปรียบเทียบกันดูครับ
คุณ Warut1998 เคยหาข้อมูลแล้วโพสในกระทู้นึงว่า
ค่าต่อเรือไททานิค 75 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ในช่วงปี 1912 ถ้าแปลงเป็นมูลค่าในปัจจุบันก็นับว่าอยู่ในระดับเดียวกันกับ
เรือสำราญที่ใหญ่ที่สุดในโลกในปัจจุบันอย่างเรือ MS Oasis of the Seas ที่ใช้เงินไป 1.4 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ
และเรือ MS Allure of The Seas ที่ใช้เงินไป 1.2 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ
(ซึ่งทั้งสองลำครองสถิติร่วม เพราะเป็นเรือพี่น้องกัน)
http://en.wikipedia.org/wiki/List_of_the_world%27s_largest_cruise_ships
5. นักดนตรียังคงเล่นไปเรื่อยๆ อีกหลายชั่วโมงจนกว่าเรือจะจมลงสนิท
เรื่องจริงที่เป็นตำนานเลยครับ หัวหน้าวง Wallace Hartley และผองเพื่อนได้รับการยกย่องอย่างมากเลย
http://en.wikipedia.org/wiki/Wallace_Hartley
แสดงความคิดเห็น
★★★ 25 ความจริงน่าทึ่งของ “ไททานิค” ที่น้อยคนนักที่จะรู้ ★★★
ไม่ว่าเรื่องราวของ “ไททานิก” จะโด่งดังแค่ไหน
ไม่ว่าพอมาทำเป็นภาพยนตร์จะมีชื่อเสียง ผู้คนรู้จักมากมาย
แต่ยังมีเรื่องราวอีกหลายอย่าง เกี่ยวกับเรือลำนี้ ที่น้อยคนนักที่จะรู้
เรามาดูกันเลยว่ามีอะไรบ้าง
25. หนังที่ถ่ายทำเรื่องราวของไททานิกเรื่องแรก
มีขึ้นเพียงแค่เดือนเดียวหลังจากที่เกิดเหตุการณ์จริง
และถ่ายทอดเรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่งที่รอดชีวิตเป็นนักแสดงคนหนึ่ง
List25
24. คิม อิล ซุง ผู้ก่อตั้งประเทศเกาหลีเหนือ เกิดวันเดียวกับวันที่เรือไททานิกล่ม
List25
23. บนเรือมีหมาทั้งหมด 12 ตัว รอดชีวิตแค่ 3 เท่านั้น
List25
22. เราใช้เวลาทั้งหมด 73 ปีกว่าจะเจอซากเรือไททานิก
List25
21. Kate Winslet ที่เล่นหนังเรื่องไททานิกเมื่อปี 1997 นั้นบอกว่า
เธอไม่ชอบเพลง “My Heart Will Go On” ซึ่งเป็นเพลงประกอบ
List25
20. เรือเดินสมุทรในปัจจุบัน มีโอกาสเจอภูเขาน้ำแข็งมากกว่าเรือไททานิกเสียอีก
19. ภูเขาน้ำแข็งที่ทำให้เรือไททานิกจม มีอายุยาวนานกว่า 2,000 ปีแล้ว
List25
18. วิศวกรทั้งหมด 30 คนบนเรือยอมพลีชีพหมด
เพื่อช่วยให้คนอื่น ๆ รอดด้วยการพยายามให้ไฟฟ้าบนเรือยังติดอยู่นานที่สุดเท่าที่ทำได้
List25
17. เรือช่วยชีวิตทั้งหมดที่มีสามารถช่วยคนได้มากกว่าครึ่งหนึ่งของคนทั้งหมด
แต่เอาเข้าจริง ๆ ช่วยได้แค่ 1/3 เท่านั้น
List25
16. บนเรือในตอนนั้น มีคู่แต่งงานถึง 13 คู่ที่มาฉลองฮันนีมูน
List25
15. ห้องที่แพงที่สุดบนเรือไททานิก ราคาราว 100,000 ดอลลาร์ในปัจจุบัน หรือราว 3.3 ล้านบาท
List25
14. ชายชาวญี่ปุ่นคนเดียวที่รอดนั้น โดนสังคมญี่ปุ่นประนามหาว่าขี้ขลาดไม่ยอมตายพร้อมกับคนอื่นๆ บนเรือ
List25
13. ถึงแม้ห้องใต้ท้องเรือจะสามารถท่วมได้ถึง 4 ห้องโดยที่เรือไม่จม
แต่โชคร้ายที่วันนั้น ห้องที่ท่วมมีถึง 6 ห้องนั่นเอง
List25
12. ไม่มีเรือเดินสมุทรในประวัติศาสตร์ที่จมเพราะภูเขาน้ำแข็งอีกแล้ว
List25
11. Milton Hershey ผู้ก่อตั้งช็อกโกแลตเฮอร์ชีย์
ยกเลิกทริปขึ้นเรือนาทีสุดท้าย เพราะต้องไปทำธุระด่วน
List25
10. มันใช้เวลาทั้งหมด 2 ชั่วโมง 40 นาที กว่าเรือไททานิกจะจม
List25
9. ตั้งแต่มีคนเห็นภูเขาน้ำแข็ง มีการดีเลย์ไปกว่า 30 วินาที
จนกว่าจะมีการออกคำสั่งให้หมุนลำเรือ ซึ่งถ้าไม่ดีเลย์ เรือจะไม่ชน
List25
8. เรือช่วยชีวิตที่ออกไปแต่ละลำนั้น ส่วนมากบรรจุคนน้อยกว่ามาตรฐานไปมาก
List25
7. หัวหน้าคนครัวฝ่ายอบขนมอยู่รอดได้ถึง 2 ชั่วโมงไม่หนาวตาย
จนมีคนมาช่วยพอดี เพราะเขาดื่มเหล้ามากพอนั่นเอง
List25
6. งบประมาณในการสร้างหนังเมื่อปี 1997 แพงกว่างบประมาณในการสร้างเรือไททานิกในชีวิจจริงซะอีก
List25
5. นักดนตรียังคงเล่นไปเรื่อยๆ อีกหลายชั่วโมงจนกว่าเรือจะจมลงสนิท
List25
4. ปล่องควันแท่งที่ 4 ไม่ได้ใช้งานจริง มีเพื่อความสวยงามเท่านั้น
List25
3. กำหนดการฝึกการใช้เรือช่วยชีวิตถูกยกเลิกเพียงหนึ่งวันก่อนที่เรือจะล่ม
List25
2. เรือไททานิกใหญ่มากขนาดที่ว่า แค่ตักถ่านหินเข้าเตาไอน้ำนั้น ต้องใช้คนงานทั้งสิ้น 176 คนเลยทีเดียว
List25
1. เรือไททานิก มีหนังสือพิมพ์ภายในเป็นของตนเองชื่อว่า “The Atlantic Daily Bulletin”
List25
CREDIT
25 ความจริงน่าทึ่งของ “ไททานิก” ที่น้อยคนนักที่จะรู้