Review ประสบการณ์สอบ TOEFL ของคนพูดอังกฤษไม่ค่อยได้แบบผม

(ที่เขียนมาทั้งหมดเป็นความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆเลยนะครับ)

สวัสดีเพื่อนๆใน pantip ทุกคนครั้งโพสนี้เป็นโพสแรกของผม
ตั้งใจไว้ตั้งแต่ก่อนที่จะสอบแล้วครับว่าจะมาเขียนแบ่งปันประสบการณ์การสอบในครั้งนี้ให้กับเพื่อนๆทุกคนใน pantip
เพื่อเป็นกำลังใจและเป็นข้อมูลให้กับเพื่อนๆทุกคนที่กำลังอ่านหนังสือเตรียมสอบ TOEFL อยู่หรือกำลังวางแผนว่าจะสอบในอนาคตครับ

ขอแนะนำตัวนิดนึงเพื่อให้พอเห็นพื้นฐานด้านภาษาอังกฤษของผมกันคร่าวๆ

สมัยมัธยม ภาษาอังกฤษอ่อนถึงอ่อนที่สุด พออ่านออกบ้างเพราะสามารถอ่านเป็นคำๆแบบ word-by-word ได้แต่ไม่เข้าใจแกรมม่าเลยซักนิด
พอขึ้นปตรีวิชาภาษาอังกฤษก็ยังคงเป็นวิชาที่ได้เกรดห่วยที่สุด แต่แล้วพอช่วงใกล้ๆเรียนจบจะต้องสมัครงาน
เพราะที่ทำงานส่วนใหญ่จะ Require คะแนน TOEIC ว่าจะต้องได้มากกว่า 550
ณ จุดนั้นจึงต้องพยายามเอาตัวรอดให้ผ่านพ้นกำแพงคะแนน TOEIC นี้ไปให้ได้
สรุปคือผมสามารถทำคะแนนจนผ่านได้ (วิธีการที่ใช้คร่าวๆคือผมใช้วิธีการศึกษาหลัก grammar ตาม website ทั่วไปที่สามารถ search ได้จาก google
และเน้นทำข้อสอบแบบ Full Exam บ่อยๆทำหลายๆชุด หากเพื่อนสนใจคำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับ TOEIC สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ครับ)

หากเพื่อนๆพอจะรู้จักข้อสอบ TOEFL กันมาบ้างแล้วก็จะทราบดีว่าข้อสอบ TOEFL เป็นข้อสอบที่ทดสอบความสามารถทางด้านภาษาอังกฤษแบบครบทุกด้าน ทั้งฟัง พูด อ่าน เขียน
ต่างจาก TOEIC มากตรงที่ TOEIC จะไม่ทดสอบ "การพูด" และ "การเขียน"

ซึ่งประเด็นที่ TOEFL มีการทดสอบ "การพูด" และ "การเขียน" นี่แหละที่เป็นสิ่งที่ทำให้ผมกลัวการสอบ TOEFL มว๊ากกกก
เพราะว่า Skill การพูดของผมนี่แย่ถึงแย่มากๆเลย เช่นเวลาต้อง โทรศัพท์กับชาวต่างชาติเวลาทำงาน หรือเวลาสัมภาษณ์งานเป็นภาษาอังกฤษนี่คือผมพูดไม่ได้เลยครับ

แล้วเพราะอะไรผมถึงสมัครสอบ TOEFL ล่ะ??

เหตุผลคือ ผมมีความฝันครับ ความฝันที่อยากจะไปเรียนต่อต่างประเทศ
เป็นความฝันที่ไกลเกินเอื้อมมือผมเหลือเกิน
แต่ผมก็ไม่อยากที่จะให้ความฝันของผมเป็นเพียงแค่ความฝัน
ผมจึงเลือกที่จะสมัครสอบ TOEFL เพื่อเป็นคะแนนไว้ใช้ในการสมัครเรียนต่อต่างประเทศครับ

เรื่องราวที่จะเล่าต่อจากบรรทัดนี้ไปผมจะขอเล่าแบบเรียงลำดับเหตุการณ์ตามลำดับเวลานะครับ

-- มกราคม 2558
อยู่ดีๆนึกคึกอย่างไรไม่ทราบ นึกอยากจะเรียนต่อ ถึงขนาดหน้ามืดตามัวสมัครสอบ TOEFL ไปแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว กำหนดวันสอบให้ตัวเองเรียบร้อยเป็น "28 มีนาคม"
ช่วงนั้นก็คิดกับตัวเองไว้ว่า โหยยย มีเวลาตั้ง 3 เดือน แน่ะ ชิววววว (สุดท้ายตั้งแต่วันนั้นจนเกือบจะถึงวันสอบก็ไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย 555)

-- กุมภาพันธ์ 2558
ไม่ได้อ่าน ไม่ได้เตรียมตัว ทำแต่งานครับ (เพราะในใจคิดว่าช่วงนี้งานเยอะมีเวลาอีกตั้ง เดือนกว่าๆ เตรียมตัวทันอยู่แล้ว 5555555)

-- 1- 25 มีนาคม 2558
ไม่ได้อ่าน ไม่ได้เตรียมตัว ทำแต่งานเหมือนเดิมครับ
ซึ่งตอนนั้นผมคิดว่าวันที่ 28 มีนาก็จะเป็นวันสอบแล้ว
ผมตัดสินใจครับ ว่าจะ "ยกเลิก" การสอบในรอบนี้ครับ
ตามระเบียบการของการยกเลิกการสอบ TOEFL ผู้สมัครจะได้รับเงินคืน 50% ของค่าสอบที่เราจ่ายไป
ซึ่งตอนนั้นผมทำใจไว้แล้วครับ ถึงแม้ว่าจะต้องเสียเงินค่าสอบไปฟรี 50% (หรือประมาณ 3000 กว่าบาท)
แต่ก็ยังดีกว่าเสียไปเต็มๆเพราะทำข้อสอบไม่ได้เพราะไม่ได้เตรียมตัวสอบ
แต่เหตุการณ์ที่ไม่ได้คาดฝันไว้ก็เกิดขึ้นครับ
ผมจำได้ว่าการยกเลิกการสอบต้องทำล่วงหน้าก่อนวันสอบอย่างน้อย 3 วัน ผมก็นับเอาเองว่า สอบวันที่ 28 ถ้างั้นวันยกเลิกวันสุดท้ายก็ควรจะเป็นวันที่ 27 -> 26 -> 25 (วันพุธ) แต่ผมคิดผิดครับ
เมื่อเข้าไปใน website https://www.ets.org/toefl/ibt/register/changes/ สิ่งที่อ่านเจอทำให้ผมถึงกับเงิบบบเลย
If you need to reschedule or cancel your registration,
you have up to three full days before your test date
(not including the day of the test or the day of your request).
For example, if your test is on Saturday, you must reschedule or cancel by Tuesday.

เพราะว่าวันที่ผมจะกด ยกเลิก การสอบคือวันพุธครับ ไม่ทันแล้ววว อร๊ากกกกกกกกกกกกกก
นี่เรากำลังจะต้องเสียเงินฟรีเต็มๆเลยใช่ไหมมมมมม

-- คืนวันที่ 25 มีนาคม
หลังจากหายช็อคก็เริ่มวางแผนครับว่าหลังจากวันนี้ไปจนถึงวันสอบผมจะทำอะไรบ้างเพื่อไม่ให้เงินที่เสียไปแล้วจะต้องเสียไปฟรีๆ
ก็ได้แผนมาคร่าวๆดังนี้
(ผมมีเวลาเตรีมสอบแค่ 3 คืน เนื่องจากเป็นวันธรรมดาที่ต้องไปทำงานผมไม่ได้ลาหยุดล่วงหน้าไว้เลยไม่สามารถลาหยุดได้จึงมีเวลาเตรียมตัวเฉพาะช่วงกลางคืนครับ)
หนังสือที่ใช้ คือ หนังสือ Official Guide to the TOEFL Test With CD-ROM, 4th Edition ใช้เล่มเดียวครับ (สำคัญมากที่สุดคือ CD ที่แถมมากับหนังสือเล่มนี้ครับ เพราะผมใช้แต่ CD แทบไม่ได้เปิดหนังสือเลย)
วันแรก 25 มีนา ทำเฉพาะ Reading กับ Listening Part ใน Software ที่แถมมากับหนังสือให้ครบครับ
วันที่สอง 26 มีนา ทำความรู้จักกับข้อสอบ Speaking และ Writing ของ TOEFL แบบคร่าวๆ และลองทำข้อสอบ Part Speaking และ Writing ใน Software ที่แถมมากับหนังสือ แบบใช้วิธีนึกคำตอบเป็นภาษาไทยแล้วตอบกับตัวเองในใจเป็นภาษาไทยครับ
วันที่สาม 27 มีนา ทำข้อสอบ Part Speaking และ Writing ใน Software ที่แถมมากับหนังสือแบบตอบเป็นภาษาอังกฤษ โดยใช้ Template การตอบจาก www.notefull.com ที่ได้มาจากสมุดจดของแฟน
วันสอบ 28 มีนา ท่อง Template ของ Speaking และ Writing ให้จำให้ได้ขึ้นใจ แล้วไปสอบ

สำหรับคืนนี้ ผมทำ Reading กับ Listening Part ใน Software ที่แถมมากับหนังสือจนครบเลยครับ คะแนนที่ได้ค่อนข้างดีจึงไม่เป็นกังวลสำหรับ 2 Part นี้ครับ

แต่ที่ผมไม่สบายใจที่สุดคือการสอบ Speaking ครับ เพราะผมเป็นคนที่ค่อนข้างขี้กลัว และขี้อายมาก
ผมเลยพยายาม Search หาข้อมูลเกี่ยวกับทำอย่างไรถึงจะไม่อายคนข้างๆเวลาสอบ Speaking ปรากฎว่า ไม่มีวิธีครับ เลยได้แค่ทำใจ 555 (ตลกตัวเองที่สุด มานั่งคิดๆไปตัวเองนี่ก็ทำไปได้เนอะ)
และก็พยายาม Search หาคนที่มาเล่าประสบการณ์การสอบของคนที่ไม่เก่งภาษาอังกฤษเพื่อเป็นกำลังใจให้เรารู้สึกว่าไม่ได้มีแค่เราคนเดียวนะที่ต้องจากกับสถานการณ์แบบนี้ 5555
เลยไปเจออันนี้ครับ--> รีวิวการสอบ TOEFL iBT สำหรับคนที่อ่อนภาษาอังกฤษถึงขั้นสุด!! (http://www.dek-d.com/board/view/3134850/)
อ่านแล้วรู้สึกมีกำลังใจขึ้นมากเลย ขอบคุณเจ้าของกระทู้ด้วยครับ -/|\-

-- คืนวันที่ 26 มีนาคม
คืนนี้ก็ทำไปตามแผนคือทำความรู้จักกับข้อสอบ Speaking และ Writing ของ TOEFL แบบคร่าวๆ และลองทำข้อสอบ Part Speaking และ Writing ใน Software ที่แถมมากับหนังสือ แบบใช้วิธีนึกคำตอบเป็นภาษาไทยแล้วตอบกับตัวเองในใจเป็นภาษาไทยครับ
ที่เลือกตอบเป็นภาษาไทยก่อนเพราะผมพูดอังกฤษไม่ค่อยได้ครับ เลยขอฝึกฝนพวกวิธีคิดให้คุ้นเคยกับข้อสอบก่อนและก็ได้ฝึกให้คุ้นชินกับรูปแบบข้อสอบไปด้วยเลยในตัวเพราะว่าข้อสอบเป็นแบบ Integrated ครับคือรวมทั้ง ฟังพูดอ่าน ไว้ใน Part Speaking และ Writing เลย
เพราะผมเชื่อว่า ความคุ้นเคยกับข้อสอบ และการคิดคำตอบให้ออกนี่สำคัญพอๆกันกับการพูดให้คล่องเลย เพราะถ้าคิดไม่ออกถึงพูดเก่งยังไงก็ทำข้อสอบไม่ได้เหมือนกัน

-- คืนวันที่ 27 มีนาคม
ทำข้อสอบ Part Speaking และ Writing ใน Software ที่แถมมากับหนังสือแบบตอบเป็นภาษาอังกฤษ โดยใช้ Template การตอบจาก www.notefull.com ที่ได้มาจากสมุดจดของคุณแฟน
เป็นวันแรกที่ได้ท่อง Script ตาม Template และได้ฝึกพูดวนไปวนมาทั้งวัน และโชคดีที่มีแฟนสาวแสนสวยสุดใจดี มาเป็นคนคอยไกด์และทนฟังเราฝึกพูด(อย่าเรียกว่าพูดเลยดีกว่าเรียกว่าบ่นพึมพำแทบไม่เป็นภาษาเลยก็ว่าได้ 555) เลยช่วยให้พอจะสามารถพอจะพูดได้บ้างนิดหน่อย

-- เช้าวันที่ 28 มีนาคม +  Review ศูนย์สอบ TOEFL ตึกมณียา ชิดลม
วันนี้ไปสอบครับ ศูนย์สอบที่ไปสอบคือที่ตึกมณียา ชิดลม  ผมรู้สึกชอบศูนย์สอบที่นี่มากๆเพราะเดินทางสะดวกติดรถไฟฟ้า และในห้องสอบก็มีการแบ่งโต๊ะด้วยฉากกั้นที่ค่อนข้างหนาและสูงมาก
สำหรับคนสอบแต่ละคนค่อนข้างเป็นส่วนตัวพอสมควรเพราะแทบมองไม่เห็นใครในห้องสอบและก็แทบไม่มีใครในห้องสอบมองเห็นเรา (ชอบตรงนี้เนี่ยแหละ) จะได้ไม่เสียสมาธิ
แต่ยังไงก็ยังคงได้ยินเสียงคนอื่นๆในห้องสอบพูดนะโดยเฉพาะคนที่ชอบพูดออกเสียงดังๆ
เริ่มสอบ Part Reading Listening ผมไม่มีปัญหาอะไรเพราะค่อนข้างถนัดอยู่แล้ว แต่พยายามเอาเวลาที่ใช้ตอนทำ Reading Listening มานั่งนึก Template ที่ท่องไว้แล้วจดลงกระดาษทด
พอถึง Part Speaking ที่กลัวมากที่สุดก็สบายขึ้นเล็กน้อยตรงที่มี Template ที่จดไว้อยู่ในกระดาษทดเรียบร้อยแล้ว
เหมือนเป็นการนั่งฟังโจทย์แล้วพยายามเขียนแนวทางที่เราจะตอบลงในช่องว่าง Template แล้วพอถึงเวลาพูดจริงผมนี่ ค่อยๆพูดค่อยๆอ่านค่อยๆนึก เนิบๆช้าๆกากๆเลย
แอบอายคนสอบข้างๆเหมือนกันเราพูดสำเนียงไทยแบบช้าๆชัดๆค่อยๆนึก 555 แต่เตรียมใจมาไว้และ คนข้างๆจะรู้สึกว่าเรากากไงไม่สน เจอกันครั้งเดียวชีวิตนี้ 55555
Writing ผมก็ตอบไปตาม Template ที่ท่องมา
สุดท้ายพอสอบเสร็จผมนี่รีบออกจากห้องสอบรีบลงจากตึกเลยทีเดียว กลัวคนจำได้อายเค้า พอออกมาได้แทบตะโกนว่าโล่งแล้วโว้ยยยย หมดเวรหมดกรรม ไม่รู้ว่าที่เสียเงินค่าสอบครั้งนี้ไปแล้วผลจะเป็นอย่างไรบ้าง แต่รู้แค่ว่าสบายใจแล้วในที่สุดเราก็ชนะความกลัว กลัวการสอบ Speaking ของ TOEFL

-- เกี่ยวกับข้อสอบ
Part Reading
ข้อที่ถามความหมายศัพท์ ศัพท์ง่ายกว่าที่คิดมาก ง่ายขนาดเห็นโจทย์เห็น Choice ตอบได้เลยไม่ต้องอ่าน Passage
ข้อสุดท้ายของแต่ละ Passage ที่ให้ลากวาง มี 6 Choice ให้เลือกมา 3 เรียงลำดับอย่างไรก็ได้ ให้เลือกอันที่เนื้อหาตรงกับในเนื้อเรื่องอันไหนไม่ตรงต้องไม่เลือก อ่านดีๆแล้วจะเจอครับว่าอันที่ไม่ตรงจะสังเกตุเจอได้ง่ายมาก ง่ายกว่าหาอันที่ตรง เวลาทำคือเหมือนใช้วิธีการตัด Choice
ผมใช้วิธีอ่านโจทย์ก่อนอ่านเนื้อเรื่องผมว่าวิธีนี้ก็โอครับ แต่สุดท้ายก็อ่านหมดทั้งเรื่องครบทุกบรรทัดอยู่ดี

Part Listening
ข้อสอบเยอะมากฟังจนมึน
ถ้าตั้งใจฟังแล้วจำเนื้อเรื่องได้ไม่จำเป็นต้องจด note ครับ (ผมฟังอย่างเดียวไม่ได้จด)
สติสำคัญ ส่วนใหญ่ถ้าฟังตอนต้นๆของเนื้อเรื่องไม่เข้าใจ จะพังหมด ทำไม่ได้เลย เพราะปะติดปะต่อเนื้อเรื่องไม่ได้

Part Speaking และ Writing
ตอนฟังควรจดให้เยอะที่สุดเท่าที่ทำได้
และสำหรับผม ซึ่งSkill Speaking ต่ำมากอยากแนะนำวิธีของผมให้เพื่อนๆครับ
1. ให้เพื่อนๆหา Template ดีๆที่ยาวระดับหนึ่งที่จะทำให้เราสามารถนำไปใช้พูดในห้องได้แล้วท่องให้ขึ้นใจ
2. เขียน Template ลงกระดาษทดให้ครบทุกประโยคเพื่อที่จะได้ไม่เกิดลืมระหว่างสอบ
3. ฟังเยอะๆแล้วเอาข้อมูลมาเขียนเติมลงในช่องว่างแบบย่อๆ
4. ตอนพูดผมจินตนาการเหมือนว่ามีฝรั่งกำลังนั่งฟังเราอยู่ ก็พยายามพูดช้าๆให้เขาฟังแล้วเข้าใจเราได้
5. ไม่ต้องกลัวเรื่องสำเนียงไทย เพราะเน้นเอาข้อมูลครบ คนตรวจฟังเข้าใจได้พอ
6. ควรพูดให้จบ ดูเวลาดีๆ อย่าให้เวลาหมดก่อนพูดจบ
เท่านี้ผมว่าสำหรับ Speaking ก็น่าจะได้คะแนนมากกว่า 15 คะแนนครับ

-- วันคะแนนออก
ผมคาดเดาไปต่างๆนานาๆว่าคะแนนที่ได้จะเป็นอย่างไร คะแนนที่คาดไว้อยู่ที่ช่วง 65 - 75 เพราะคิดว่าเป็นการสอบครั้งแรกที่เตรียมตัวน้อยมากและคิดว่าทำได้ไม่ดีเท่าไหร่
และแล้วเมื่อคะแนนประกาศ ผมนี่ลุกขึ้นเลยครับ เยอะกว่าที่คิดไว้เยอะมาก มากถึงขนาดที่ว่าไม่เคยคิดว่าตัวเองจะสามารถทำคะแนนถึงขาดนี้ได้
Reading 29 Listening 22 Speaking 18 Writing 20 Total 89

- ถึงแม้ว่าคะแนนผมจะไม่ได้มากมายอย่างที่เพื่อนๆพี่ๆหลายๆคนเคย เขียน Review ประสบการณ์สอบ TOEFL (100++) เอาไว้ใน pantip แต่คะแนนเท่านี้สำหรับผมก็เกินคาดมากแล้วครับ
- การสอบ TOEFL สำหรับผมการที่จะทำให้ได้คะแนนดี ไม่จำเป็นต้องเรียนพิเศษ Course TOEFL ครับ เพราะสามารถฝึกฝนด้วยตัวเองได้
- อยากฝากเป็นข้อมูลไว้ว่า ส่วนใหญ่คนที่ไปสอบ TOEFL จะได้คะแนนมากกว่าที่คาดเดาไว้ครับ

ขอบคุณทุกๆคนที่อ่านครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่