ขอแนะนำก่อนเลยว่าผมเคยสอบ TOEFL ไปเมื่อปีที่แล้วโดยเตรียมตัวประมาณสองอาทิตย์ได้คะแนนเพิ่มขึ้นจากครั้งก่อนหน้าประมาณ 20 คะแนน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ทั้งสองครั้งสอบต่างกันนานพอสมควรจึงอาจจะมีหลาย factors ที่ทำให้คะแนนต่างได้ครับ
แต่โดยเบื้องต้นแล้ววิธีการที่ผมเตรียมจะได้แก่ด้านล่าง
1. Reading ไปหาโจทย์ TOEFL ibt มาก่อนว่าข้อสอบเป็นแนวไหนมีเนื้อหาของแต่ละพาร์ทอย่างไรบ้าง โดยหลังจากที่เข้าใจเนื้อหาของข้อสอบแล้วก็ลองอ่านดูว่าทำได้ทันไหม ระดับความยากส่วนนี้ของ TOEFL จัดว่าไม่ยากครับ เทียบกับของ TOEIC แล้วถือว่ายากกว่าพอสมควรแต่ว่า เทียบกับข้อสอบ GMAT หรือ GRE (ไม่เคยสอบจริงแต่เคยทดสอบทำข้อสอบดู) หรือ SAT(สอบเมื่อนานมากกกแล้ว) แล้วถือว่าเทียบกันไม่ได้เลยครับ
วิธีการในการเพิ่มคะแนน reading คือดูว่าเราอ่อนส่วนไหน วิเคราะห์จากโจทย์เก่าที่เราทำไปแล้ว เสร็จแล้วดูว่าเราทำเรื่องไหน หรือ เนื้อหาแบบไหนไม่ได้เป็นพิเศษหรือเปล่า ถ้ามี เราก็ไปหาอ่านหรือทำตัวให้คุ้นกับศัพท์ของเรื่องนั้นๆ เช่นถ้าเราอ่อนชีววิทยาก็ควรจะไปพัฒนาโดยการหาบทความวิชาการเกี่ยวกับชีววิทยาให้คล่อง พอเข้าใจศัพท์และเนื้อหาของเรื่องนั้นๆมากขึ้นแล้ว เวลาทำข้อสอบจริงจะทำได้ง่ายขึ้นเยอะ และประหยัดเวลามากขึ้นมากๆเลยครับ
เรื่องที่สองเรื่องของการอ่านยังไงให้เข้าใจรวดเร็ว สำหรับผมแล้วคืออ่านคร่าวๆให้เข้าใจก่อนรอบนึง โดยใช้เวลามากหน่อยสำหรับย่อหน้าแรกและย่อหน้าสุดท้าย เสร็จแล้วเริ่มค่อยเริ่มทำครับ แต่ส่วนนี้แล้วแต่คนครับ แต่ถ้าเวลาหมดจริงๆ แนะนำเน้นอ่านย่อหน้าแรกและสุดท้ายให้เข้าใจแล้วค่อยมั่วครับ อย่างน้อยก็มั่วอย่างมีหลักการ
2. Listening ส่วนนี้ก็ถือว่ายากกว่าส่วนอ่าน แต่ว่าถ้ามีพื้นฐานการฟังอยู่แล้วถือว่าไม่ยากมากครับ สิ่งที่เราควรทำคือปรับลำโพงให้ชัดๆ ปรับเสียงให้ชัดๆก่อนจะเริ่มสอบบางทีการที่เสียงดังนิดหน่อยก็ทำให้เราฟังง่ายขึ้น แต่ว่าไม่ควรดังเกินไปครับ หูแตกแถมฟังไม่ค่อยออกอีก
อีกอย่างที่เราควรฝึกในส่วนนี้คือการฝึกการจดครับ บางคนอาจจะเห็นว่าไม่สำคัญให้กระดาษมาทำไม แต่ว่าสำหรับผมแล้วมีประโยชน์มากๆเลยครับโดยเฉพาะส่วนการฟังบางพาร์ทที่มันยาวมากๆ จำไม่ได้หมดหรอกครับ การฟังไปด้วยจดไปด้วยนั้นไม่ได้ยากอย่างที่คิด ส่วนตัวแล้วคิดว่าง่ายกว่าการฝึกสกิลการฟังเยอะครับ ถ้าเราสามารถจดได้แล้วว่าอันไหนเป็นประเด็นสำคัญโดยที่ยังไม่หลุดกับการฟังเนื้อหา (คือฝึกจดไปด้วยฟังไปด้วย) ก็ทำให้เวลาเราตอบนั้นง่ายขึ้นเยอะครับ อย่าลืมว่าเวลาจดไม่ใช่จดเยอะๆ จดสั้นๆ แค่ประเด็นสำคัญ ถ้าเราทำข้อสอบบ่อยๆเราจะพอรู้ว่าโจทย์ชอบออกอะไรครับ
3. Writing ส่วนนี้ควรท่องไปครับว่าเราจะมีแพทเทิร์นในการตอบอย่างไร ท่องไปเลยว่ามีโจทย์แบบไหน ควรจะพูดแสดงความเห็นยังไง ให้เหตุผล support ยังไง สรุปยังไง มีวีดีโอหลายอันใน youtube ที่อธิบายส่วนนี้ครับให้ลอง search เลยว่า TOEFL ibt writing ก็จะมีให้ลองฟังได้หลากหลาย และฝึกตามนั้น
พาร์ท writing จะมีสองข้อ ข้อแรกจะยากหน่อยที่เราต้องฟังและอ่านและเขียนสรุปด้วยอันนี้เราต้องฝึกให้ดีว่าเราจะต้องเอาส่วนไหนของพาร์ทการฟังมาตอบและส่วนไหนของส่วนที่อ่านมาตอบอันนี้ก็สามารถไปฟังใน youtube และฝึกได้จริงครับ (ส่วนนี้แอดมินฝึกจาก youtube ได้คะแนนเพิ่มจาก 21 เป็น 28 ครับ ถือว่าได้ผลมากทีเดียว)
ส่วนอีกข้อจะเป็นการออกความเห็นก็ต้องฝึกการออกความเห็นให้ชัด มีเหตุผล support ตัวอย่างของแต่ละเหตุผล และ สรุปให้ชัดเจนครับ โดยส่วนใหญ่แล้วเค้าจะแนะนำว่าควรจะมีไม่ 2 ก็ 3 เหตุผล โดยหลายคนก็บอกว่าเขียนแค่ 2 เหตุผลแต่มีรายละเอียดที่ชัดเจนมักจะได้คะแนนดีกว่าอันนี้แล้วแต่คนครับ
ไว้จะมาอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับ TOEFL อีกรอบนึงเป็นแต่ละพาร์ทนะครับ
4. Speaking พาร์ทนี้ต้องบอกเลยว่าเป็นพาร์ทที่ยากที่สุด และเป็นส่วนที่แอดมินได้คะแนนเพิ่มขึ้นมากที่สุดจากการเตรียมตัวเช่นกันครับ เพิ่มจาก 18 เป็น 26 หรือเพิ่มขึ้นมาถึง 8 คะแนน! สิ่งทีแอดมินเตรียมคือ พูดคนเดียวกับพูดให้เพื่อนฟังเยอะมากครับในช่วงสองอาทิตย์ที่เตรียมตัว คือ พยายามหาโจทย์มา หรือ จิตนาการโจทย์แล้วพูดไปเลยว่าถ้าเจอแบบนี้จะตอบแบบไหน จะตอบแบบไหน เพราะเวลาจริงเรามีเวลาเตรียมตัวไม่กี่วินาที ต้องฝึกเลยครับส่วนนี้
โดยพูดให้ไม่ต้องเร็ว แต่ชัดๆ เพราะมันจะมีคะแนนความชัดของเราด้วย แต่ไม่มีคะแนนสำเนียงนะครับ จับเวลาและดูว่าเวลาที่กำหนดของแต่ละข้อนั้นเราพูดเป็นยังไงบ้าง ส่วนนี้อีกเช่นกันผมฝึกจาก youtube นะครับ
มีทั้งหมด 6 ข้อด้วยกันคร่าวๆ
1. ถามความเห็น 15 วิเตรียมตัว 45 ตอบ
2. ถามความเห็น 15 วิเตรียมตัว 45 ตอบ
3. อ่าน 100 words พารากราฟ หลังจากนั้นจะมี listening เกี่ยวกับบทความนั้น และจะมีคำถาม
4. 100 words เกี่ยวกับบทเรียน แล้วก็จะมีอาจารย์มาพูดเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ จากนั้นเราต้องสรุปแล้วตอบ
5. ฟัง conversation แล้วตอบ ส่วนนี้จะไม่มีการอ่าน
6. ฟัง lecture แล้วต้องตอบคำถามเกี่ยวกับ lecture นั้นส่วนใหญ่จะถามว่าเราเข้าใจยังไง เหมือนสรุป
วิดีโอที่ผมทดสอบมาแล้ว ชุดนี้ถือว่าดีเข้าใจง่ายและได้ผลมากสุดครับ แต่ว่ายังมีอีกหลายวีดีโอที่ให้ความรู้ดีๆใน youtube ลอง search หาดีๆครับ
http://www.youtube.com/watch?v=lJDEQAzVokM&list=PL6434B98632F06DB0
อีกอย่างหนึ่งที่อยากจะแนะนำก่อนจะไปคือควรจะต้องฝึกโดยการจับเวลาด้วยครับ ถึงแม้ส่วน writing กับ speaking จะไม่มีคนตรวจ แต่ว่าเราควรที่จะต้องจับเวลาและฝึกเพื่อให้เหมือนการสอบจริงมากที่สุด เพราะสอบนี้มันไม่ใช่สั้นๆ และเวลาสอบจริงจะกดดันมากกว่าตอนซ้อมเยอะครับ เพราะงั้นอย่าลืมทำสถานกาณ์ให้เหมือนสอบจริงให้มากที่สุดและไม่ควรจะหยุดๆกลางคันด้วยครับ ส่วนข้อสอบหาจากไหนอันนี้ต้องรอให้ผู้รู้ท่านอื่นมาช่วยชี้แนะครับ
ไว้จะมาโพสแบบละเอียดของแต่ละพาร์ทให้ฟังอีกทีนะครับ
อยากพูดคุยหรือสอบถามอะไรเพิ่มเติมได้ที่เพจผมได้เลยนะหรือส่งหลังไมค์เรื่องการสอบหรือการศึกษาต่อก็ได้ ถึงจะไม่ได้จบด้านภาษาแต่ใจรักและอยากสร้างสังคมแบ่งปันความรู้ด้านการใช้ และการสอบภาษาอังกฤษครับ ^^
ปล. มีข้อผิดพลาดประการใดยินดีรับฟังความเห็นและคำแนะนำเสมอครับ
Nick
https://www.facebook.com/EngClubThailand?ref=hl เพจผมเองเกี่ยวกับภาษาอังกฤษครับ ตอนนี้เปิดให้พี่น้องส่งบทความเกี่ยวกับภาษาอังกฤษมาลง หรือ รีวิวเว็บ แอพ หรือ สถานที่เรียนพิเศษได้นะครับ ^^
เทคนิคการสอบ TOEFL ให้ได้คะแนนดีแบบย่อ
แต่โดยเบื้องต้นแล้ววิธีการที่ผมเตรียมจะได้แก่ด้านล่าง
1. Reading ไปหาโจทย์ TOEFL ibt มาก่อนว่าข้อสอบเป็นแนวไหนมีเนื้อหาของแต่ละพาร์ทอย่างไรบ้าง โดยหลังจากที่เข้าใจเนื้อหาของข้อสอบแล้วก็ลองอ่านดูว่าทำได้ทันไหม ระดับความยากส่วนนี้ของ TOEFL จัดว่าไม่ยากครับ เทียบกับของ TOEIC แล้วถือว่ายากกว่าพอสมควรแต่ว่า เทียบกับข้อสอบ GMAT หรือ GRE (ไม่เคยสอบจริงแต่เคยทดสอบทำข้อสอบดู) หรือ SAT(สอบเมื่อนานมากกกแล้ว) แล้วถือว่าเทียบกันไม่ได้เลยครับ
วิธีการในการเพิ่มคะแนน reading คือดูว่าเราอ่อนส่วนไหน วิเคราะห์จากโจทย์เก่าที่เราทำไปแล้ว เสร็จแล้วดูว่าเราทำเรื่องไหน หรือ เนื้อหาแบบไหนไม่ได้เป็นพิเศษหรือเปล่า ถ้ามี เราก็ไปหาอ่านหรือทำตัวให้คุ้นกับศัพท์ของเรื่องนั้นๆ เช่นถ้าเราอ่อนชีววิทยาก็ควรจะไปพัฒนาโดยการหาบทความวิชาการเกี่ยวกับชีววิทยาให้คล่อง พอเข้าใจศัพท์และเนื้อหาของเรื่องนั้นๆมากขึ้นแล้ว เวลาทำข้อสอบจริงจะทำได้ง่ายขึ้นเยอะ และประหยัดเวลามากขึ้นมากๆเลยครับ
เรื่องที่สองเรื่องของการอ่านยังไงให้เข้าใจรวดเร็ว สำหรับผมแล้วคืออ่านคร่าวๆให้เข้าใจก่อนรอบนึง โดยใช้เวลามากหน่อยสำหรับย่อหน้าแรกและย่อหน้าสุดท้าย เสร็จแล้วเริ่มค่อยเริ่มทำครับ แต่ส่วนนี้แล้วแต่คนครับ แต่ถ้าเวลาหมดจริงๆ แนะนำเน้นอ่านย่อหน้าแรกและสุดท้ายให้เข้าใจแล้วค่อยมั่วครับ อย่างน้อยก็มั่วอย่างมีหลักการ
2. Listening ส่วนนี้ก็ถือว่ายากกว่าส่วนอ่าน แต่ว่าถ้ามีพื้นฐานการฟังอยู่แล้วถือว่าไม่ยากมากครับ สิ่งที่เราควรทำคือปรับลำโพงให้ชัดๆ ปรับเสียงให้ชัดๆก่อนจะเริ่มสอบบางทีการที่เสียงดังนิดหน่อยก็ทำให้เราฟังง่ายขึ้น แต่ว่าไม่ควรดังเกินไปครับ หูแตกแถมฟังไม่ค่อยออกอีก
อีกอย่างที่เราควรฝึกในส่วนนี้คือการฝึกการจดครับ บางคนอาจจะเห็นว่าไม่สำคัญให้กระดาษมาทำไม แต่ว่าสำหรับผมแล้วมีประโยชน์มากๆเลยครับโดยเฉพาะส่วนการฟังบางพาร์ทที่มันยาวมากๆ จำไม่ได้หมดหรอกครับ การฟังไปด้วยจดไปด้วยนั้นไม่ได้ยากอย่างที่คิด ส่วนตัวแล้วคิดว่าง่ายกว่าการฝึกสกิลการฟังเยอะครับ ถ้าเราสามารถจดได้แล้วว่าอันไหนเป็นประเด็นสำคัญโดยที่ยังไม่หลุดกับการฟังเนื้อหา (คือฝึกจดไปด้วยฟังไปด้วย) ก็ทำให้เวลาเราตอบนั้นง่ายขึ้นเยอะครับ อย่าลืมว่าเวลาจดไม่ใช่จดเยอะๆ จดสั้นๆ แค่ประเด็นสำคัญ ถ้าเราทำข้อสอบบ่อยๆเราจะพอรู้ว่าโจทย์ชอบออกอะไรครับ
3. Writing ส่วนนี้ควรท่องไปครับว่าเราจะมีแพทเทิร์นในการตอบอย่างไร ท่องไปเลยว่ามีโจทย์แบบไหน ควรจะพูดแสดงความเห็นยังไง ให้เหตุผล support ยังไง สรุปยังไง มีวีดีโอหลายอันใน youtube ที่อธิบายส่วนนี้ครับให้ลอง search เลยว่า TOEFL ibt writing ก็จะมีให้ลองฟังได้หลากหลาย และฝึกตามนั้น
พาร์ท writing จะมีสองข้อ ข้อแรกจะยากหน่อยที่เราต้องฟังและอ่านและเขียนสรุปด้วยอันนี้เราต้องฝึกให้ดีว่าเราจะต้องเอาส่วนไหนของพาร์ทการฟังมาตอบและส่วนไหนของส่วนที่อ่านมาตอบอันนี้ก็สามารถไปฟังใน youtube และฝึกได้จริงครับ (ส่วนนี้แอดมินฝึกจาก youtube ได้คะแนนเพิ่มจาก 21 เป็น 28 ครับ ถือว่าได้ผลมากทีเดียว)
ส่วนอีกข้อจะเป็นการออกความเห็นก็ต้องฝึกการออกความเห็นให้ชัด มีเหตุผล support ตัวอย่างของแต่ละเหตุผล และ สรุปให้ชัดเจนครับ โดยส่วนใหญ่แล้วเค้าจะแนะนำว่าควรจะมีไม่ 2 ก็ 3 เหตุผล โดยหลายคนก็บอกว่าเขียนแค่ 2 เหตุผลแต่มีรายละเอียดที่ชัดเจนมักจะได้คะแนนดีกว่าอันนี้แล้วแต่คนครับ
ไว้จะมาอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับ TOEFL อีกรอบนึงเป็นแต่ละพาร์ทนะครับ
4. Speaking พาร์ทนี้ต้องบอกเลยว่าเป็นพาร์ทที่ยากที่สุด และเป็นส่วนที่แอดมินได้คะแนนเพิ่มขึ้นมากที่สุดจากการเตรียมตัวเช่นกันครับ เพิ่มจาก 18 เป็น 26 หรือเพิ่มขึ้นมาถึง 8 คะแนน! สิ่งทีแอดมินเตรียมคือ พูดคนเดียวกับพูดให้เพื่อนฟังเยอะมากครับในช่วงสองอาทิตย์ที่เตรียมตัว คือ พยายามหาโจทย์มา หรือ จิตนาการโจทย์แล้วพูดไปเลยว่าถ้าเจอแบบนี้จะตอบแบบไหน จะตอบแบบไหน เพราะเวลาจริงเรามีเวลาเตรียมตัวไม่กี่วินาที ต้องฝึกเลยครับส่วนนี้
โดยพูดให้ไม่ต้องเร็ว แต่ชัดๆ เพราะมันจะมีคะแนนความชัดของเราด้วย แต่ไม่มีคะแนนสำเนียงนะครับ จับเวลาและดูว่าเวลาที่กำหนดของแต่ละข้อนั้นเราพูดเป็นยังไงบ้าง ส่วนนี้อีกเช่นกันผมฝึกจาก youtube นะครับ
มีทั้งหมด 6 ข้อด้วยกันคร่าวๆ
1. ถามความเห็น 15 วิเตรียมตัว 45 ตอบ
2. ถามความเห็น 15 วิเตรียมตัว 45 ตอบ
3. อ่าน 100 words พารากราฟ หลังจากนั้นจะมี listening เกี่ยวกับบทความนั้น และจะมีคำถาม
4. 100 words เกี่ยวกับบทเรียน แล้วก็จะมีอาจารย์มาพูดเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ จากนั้นเราต้องสรุปแล้วตอบ
5. ฟัง conversation แล้วตอบ ส่วนนี้จะไม่มีการอ่าน
6. ฟัง lecture แล้วต้องตอบคำถามเกี่ยวกับ lecture นั้นส่วนใหญ่จะถามว่าเราเข้าใจยังไง เหมือนสรุป
วิดีโอที่ผมทดสอบมาแล้ว ชุดนี้ถือว่าดีเข้าใจง่ายและได้ผลมากสุดครับ แต่ว่ายังมีอีกหลายวีดีโอที่ให้ความรู้ดีๆใน youtube ลอง search หาดีๆครับ
http://www.youtube.com/watch?v=lJDEQAzVokM&list=PL6434B98632F06DB0
อีกอย่างหนึ่งที่อยากจะแนะนำก่อนจะไปคือควรจะต้องฝึกโดยการจับเวลาด้วยครับ ถึงแม้ส่วน writing กับ speaking จะไม่มีคนตรวจ แต่ว่าเราควรที่จะต้องจับเวลาและฝึกเพื่อให้เหมือนการสอบจริงมากที่สุด เพราะสอบนี้มันไม่ใช่สั้นๆ และเวลาสอบจริงจะกดดันมากกว่าตอนซ้อมเยอะครับ เพราะงั้นอย่าลืมทำสถานกาณ์ให้เหมือนสอบจริงให้มากที่สุดและไม่ควรจะหยุดๆกลางคันด้วยครับ ส่วนข้อสอบหาจากไหนอันนี้ต้องรอให้ผู้รู้ท่านอื่นมาช่วยชี้แนะครับ
ไว้จะมาโพสแบบละเอียดของแต่ละพาร์ทให้ฟังอีกทีนะครับ
อยากพูดคุยหรือสอบถามอะไรเพิ่มเติมได้ที่เพจผมได้เลยนะหรือส่งหลังไมค์เรื่องการสอบหรือการศึกษาต่อก็ได้ ถึงจะไม่ได้จบด้านภาษาแต่ใจรักและอยากสร้างสังคมแบ่งปันความรู้ด้านการใช้ และการสอบภาษาอังกฤษครับ ^^
ปล. มีข้อผิดพลาดประการใดยินดีรับฟังความเห็นและคำแนะนำเสมอครับ
Nick
https://www.facebook.com/EngClubThailand?ref=hl เพจผมเองเกี่ยวกับภาษาอังกฤษครับ ตอนนี้เปิดให้พี่น้องส่งบทความเกี่ยวกับภาษาอังกฤษมาลง หรือ รีวิวเว็บ แอพ หรือ สถานที่เรียนพิเศษได้นะครับ ^^