เห็นกระทู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ เยอะมากในช่วง 2-3 วันนี้ ไปอ่านเจอเลยเอาข่าวคร่าวความคืบหน้ามาฝากครับ
ขาซิ่งต้องรู้! มาตรการเด็ดคุมบิ๊กไบค์ ไม่ใช่แค่มีเงิน แต่ทุกคนมีสิทธิเท่ากัน
จากกระแสที่มีการพูดถึงเกี่ยวกับวงการ 2 ล้อ ขนาดใหญ่ หรือ ที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “บิ๊กไบค์”
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เกี่ยวกับมาตรการเด็ดในการควบคุมผู้ขับขี่ “บิ๊กไบค์” ซึ่งถูกเปิดเผยโดย
พ.ต.อ.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รองผู้บังคับการตำรวจจราจร ว่า จะใช้มาตรการกำหนดอายุผู้ที่จะขับขี่บิ๊กไบค์ต้องอายุ 30 ปี นั้น
วันนี้ มติชนออนไลน์ ได้โทรศัพท์สายตรงถามความชัดเจนกับ พ.ต.อ.เอกรักษ์ อีกครั้ง หลังเป็นที่กล่าวขานบนโลกออนไลน์
พ.ต.อ.เอกรักษ์ ยืนยันว่า เป็นแนวคิดที่ให้กับสื่อมวลชนไป เนื่องจากว่า 2-3 ปี ที่ผ่านมานี้ ผู้ที่หันมาขับขี่ “บิ๊กไบค์”
มีปริมาณเพิ่มขึ้นค่อนข้างสูง เพราะรถราคาถูกลง และที่ผ่านมามีอุบัติเหตุบนถนนค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 3 เดือนที่ผ่านมา
และกระทบต่อผู้ใช้รถใช้ถนนคนอื่น จึงมีแนวคิดแยกกลุ่มจักรยานยนต์คันใหญ่ขึ้นมา และแยกประเภทใบขับขี่
เพื่อจัดให้เกิดการทดสอบว่ามีความสามารถที่จะขี่หรือไม่ และมีแนวคิดเพิ่มอายุให้มีวุฒิภาวะให้สูงขึ้นเพียงพอต่อการขับขี่รถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่
มาตรการดังกล่าวเป็นแค่แนวทางหรือเตรียมที่จะดำเนินการจริงแล้ว??
เรากำลังศึกษาข้อมูลอยู่ พอเสร็จก็จะทำเรื่องเสนอผ่านสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อส่งต่อให้กรมขนส่งทางบกเพื่อพิจารณา
เพราะกรมขนส่งทางบกเป็นผู้รับผิดชอบกฎหมายตาม
พ.ร.บ.รถยนต์ 2522 ซึ่งจะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด แต่ช่วงนี้อาจติดรอยต่อของเทศกาลสงกรานต์
คณะทำงานจึงจะเริ่มประชุมอย่างเป็นทางการปลายเดือนเมษา
คาดว่าต้นพฤษภาจะส่งเรื่องให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติพิจารณาได้ ส่วนเรื่องอายุ 30 ปี เป็นเพียงแค่แนวคิด
แต่อายุหรือเกณฑ์ที่เหมาะสมจะต้องพิจารณาจากข้อมูลประกอบหลายๆ ด้าน
ซึ่งจะมีความชัดเจนภายหลังคณะทำงานประชุมสรุปจึงจะชัดเจน เพราะมันอาจปรับลดลงอีกก็ได้ เนื่องจากเรื่องกำหนดอายุยังไม่เป็นที่ยุติ
หากกฎหมายตัวนี้ออกมาจะส่งผลต่อค่ายรถที่จำหน่ายรถบิ๊กไบค์หรือไม่
มันคงไม่กระทบมั้งครับ คนจะขี่รถมันก็ต้องขี่อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าอายุ 18 ปี ตามกฎหมายผมว่ามันน้อยไปหน่อย
ในเรื่องของวุฒิภาวะที่จะมาขี่รถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ อาจมีการปรับอายุเพิ่ม
แต่ว่าจะเป็นเท่าไหร่ก็ต้องรอคุยกัน ซึ่งบริษัทขายรถก็ขายได้อยู่ดี เพียงแต่อาจมีขั้นตอนมากขึ้นเล็กน้อย
แสดงว่าสาเหตุที่ต้องดำเนินการออกกฎหมายตัวนี้เพราะที่ผ่านมาอุบัติเหตุจากรถบิ๊กไบค์เยอะขึ้นใช่หรือไม่
มันมี2ส่วน ส่วนที่ 1 คือ เห็นว่ามีวัยรุ่นมาขี่จักรยานยนต์ขนาดใหญ่เยอะมากมีประสบการณ์น้อย มีวุฒิภาวะต่ำ
ขี่จักรยานยนต์เร็ว และส่วนใหญ่จะเสียชีวิตหมด เพราะมีความเร็วค่อนข้างสูง
ส่วนที่ 2 จากอุบัติเหตุต่างๆ ที่เกิดขึ้นมันไปกระทบผู้อื่น กระทบคนเดินข้ามถนน รถคนอื่นที่มีสิทธิ์ใช้ทางเท่าเทียมกัน
เรื่องใบขับขี่เราจะแบ่งช่วง ซีซี รถอย่างไร
อาจเทียบเคียงจากต่างประเทศ โดยตัดเกณฑ์ที่อายุ 20 ปี และปริมาตรกระบอกสูบ 400 ซีซีขึ้นไป
ซึ่งเราต้องมาหาช่วงอายุและปริมาตรความจุกระบอกสูบที่เหมาะสมอีกที
มาตรการดังกล่าวจะส่งผลให้ผู้ใช้บิ๊กไบค์ออกมาประท้วงหรือไม่
มันเป็นกติกาสังคม คุณจะขี่จักรยานยนต์ขนาดใหญ่ คุณก็ต้องยอมรับกติกา ไม่ได้ห้าม
แต่ คุณจะขี่บิ๊กไบค์คุณต้องสร้างความมั่นใจให้คนในสังคมแล้วมีความปลอดภัยไม่ไปกระทบสิทธิ์คนอื่น
เมื่อมีการแบ่งแยกชัดเจนแล้ว เมื่อมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นโทษจะเท่ากันกับรถทั่วไปหรือไม่
มันก็เท่ากัน สมมุติว่า เขาเอารถขนาด 125 ซีซี ไปสอบใบขับขี่ พอได้ใบขับขี่มา ก็นำไปขี่รถขนาด 1,000 ซีซี
ผมว่าอย่างนี้มันไม่เหมาะสม เพราะฉะนั้นถ้าอยากขี่บิ๊กไบค์ก็ต้องเอาบิ๊กไบค์ไปสอบสิครับ
ถ้าสามารถแสดงให้เห็นว่ามีความสามารถในการชับชี่รถบิ๊กไบค์ให้ผู้คุมสอบเห็นและได้ใบอนุญาติขับขี่ก็จบ
"คุณอยากขับรถพ่วงคุณยังเอารถพ่วงไปสอบอย่างรถบรรทุก คุณยังเอารถบรรทุกไปสอบเลย
แล้วทำไมจักรยานยนต์ขนาดใหญ่คุณเอาไปสอบไม่ได้ ซึ่งผมมั่นใจว่าถ้ากฎหมายตัวนี้ออกมา
มันจะลดปัญหาอุบัติเหตุที่เกิดจากรถบิ๊กไบค์ได้ เพราะไม่ใช่มีเงินอย่างเดียวแล้วขี่ได้ ต้องสอบใบขับขี่ให้ผ่าน
เด็ก ม.4 ม.5 ม.6 แล้วมาขี่ รถ 1,000 ซีซี คุณกล้าเข้าไปใกล้เขาไหม"
กระทู้ 30+ เท่านั้นถึงจะขี่ไส้กรอกได้ จริงหรือ ?
ผมว่าก็เป็นนิมิตหมายที่ดีนะ ถ้าทำได้จริง สาธุ
จากกระแสที่มีการพูดถึงเกี่ยวกับวงการ 2 ล้อ ขนาดใหญ่ หรือ ที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “บิ๊กไบค์”
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เกี่ยวกับมาตรการเด็ดในการควบคุมผู้ขับขี่ “บิ๊กไบค์” ซึ่งถูกเปิดเผยโดย
พ.ต.อ.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รองผู้บังคับการตำรวจจราจร ว่า จะใช้มาตรการกำหนดอายุผู้ที่จะขับขี่บิ๊กไบค์ต้องอายุ 30 ปี นั้น
วันนี้ มติชนออนไลน์ ได้โทรศัพท์สายตรงถามความชัดเจนกับ พ.ต.อ.เอกรักษ์ อีกครั้ง หลังเป็นที่กล่าวขานบนโลกออนไลน์
พ.ต.อ.เอกรักษ์ ยืนยันว่า เป็นแนวคิดที่ให้กับสื่อมวลชนไป เนื่องจากว่า 2-3 ปี ที่ผ่านมานี้ ผู้ที่หันมาขับขี่ “บิ๊กไบค์”
มีปริมาณเพิ่มขึ้นค่อนข้างสูง เพราะรถราคาถูกลง และที่ผ่านมามีอุบัติเหตุบนถนนค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 3 เดือนที่ผ่านมา
และกระทบต่อผู้ใช้รถใช้ถนนคนอื่น จึงมีแนวคิดแยกกลุ่มจักรยานยนต์คันใหญ่ขึ้นมา และแยกประเภทใบขับขี่
เพื่อจัดให้เกิดการทดสอบว่ามีความสามารถที่จะขี่หรือไม่ และมีแนวคิดเพิ่มอายุให้มีวุฒิภาวะให้สูงขึ้นเพียงพอต่อการขับขี่รถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่
มาตรการดังกล่าวเป็นแค่แนวทางหรือเตรียมที่จะดำเนินการจริงแล้ว??
เรากำลังศึกษาข้อมูลอยู่ พอเสร็จก็จะทำเรื่องเสนอผ่านสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อส่งต่อให้กรมขนส่งทางบกเพื่อพิจารณา
เพราะกรมขนส่งทางบกเป็นผู้รับผิดชอบกฎหมายตาม
พ.ร.บ.รถยนต์ 2522 ซึ่งจะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด แต่ช่วงนี้อาจติดรอยต่อของเทศกาลสงกรานต์
คณะทำงานจึงจะเริ่มประชุมอย่างเป็นทางการปลายเดือนเมษา
คาดว่าต้นพฤษภาจะส่งเรื่องให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติพิจารณาได้ ส่วนเรื่องอายุ 30 ปี เป็นเพียงแค่แนวคิด
แต่อายุหรือเกณฑ์ที่เหมาะสมจะต้องพิจารณาจากข้อมูลประกอบหลายๆ ด้าน
ซึ่งจะมีความชัดเจนภายหลังคณะทำงานประชุมสรุปจึงจะชัดเจน เพราะมันอาจปรับลดลงอีกก็ได้ เนื่องจากเรื่องกำหนดอายุยังไม่เป็นที่ยุติ
หากกฎหมายตัวนี้ออกมาจะส่งผลต่อค่ายรถที่จำหน่ายรถบิ๊กไบค์หรือไม่
มันคงไม่กระทบมั้งครับ คนจะขี่รถมันก็ต้องขี่อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าอายุ 18 ปี ตามกฎหมายผมว่ามันน้อยไปหน่อย
ในเรื่องของวุฒิภาวะที่จะมาขี่รถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ อาจมีการปรับอายุเพิ่ม
แต่ว่าจะเป็นเท่าไหร่ก็ต้องรอคุยกัน ซึ่งบริษัทขายรถก็ขายได้อยู่ดี เพียงแต่อาจมีขั้นตอนมากขึ้นเล็กน้อย
แสดงว่าสาเหตุที่ต้องดำเนินการออกกฎหมายตัวนี้เพราะที่ผ่านมาอุบัติเหตุจากรถบิ๊กไบค์เยอะขึ้นใช่หรือไม่
มันมี2ส่วน ส่วนที่ 1 คือ เห็นว่ามีวัยรุ่นมาขี่จักรยานยนต์ขนาดใหญ่เยอะมากมีประสบการณ์น้อย มีวุฒิภาวะต่ำ
ขี่จักรยานยนต์เร็ว และส่วนใหญ่จะเสียชีวิตหมด เพราะมีความเร็วค่อนข้างสูง
ส่วนที่ 2 จากอุบัติเหตุต่างๆ ที่เกิดขึ้นมันไปกระทบผู้อื่น กระทบคนเดินข้ามถนน รถคนอื่นที่มีสิทธิ์ใช้ทางเท่าเทียมกัน
เรื่องใบขับขี่เราจะแบ่งช่วง ซีซี รถอย่างไร
อาจเทียบเคียงจากต่างประเทศ โดยตัดเกณฑ์ที่อายุ 20 ปี และปริมาตรกระบอกสูบ 400 ซีซีขึ้นไป
ซึ่งเราต้องมาหาช่วงอายุและปริมาตรความจุกระบอกสูบที่เหมาะสมอีกที
มาตรการดังกล่าวจะส่งผลให้ผู้ใช้บิ๊กไบค์ออกมาประท้วงหรือไม่
มันเป็นกติกาสังคม คุณจะขี่จักรยานยนต์ขนาดใหญ่ คุณก็ต้องยอมรับกติกา ไม่ได้ห้าม
แต่ คุณจะขี่บิ๊กไบค์คุณต้องสร้างความมั่นใจให้คนในสังคมแล้วมีความปลอดภัยไม่ไปกระทบสิทธิ์คนอื่น
เมื่อมีการแบ่งแยกชัดเจนแล้ว เมื่อมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นโทษจะเท่ากันกับรถทั่วไปหรือไม่
มันก็เท่ากัน สมมุติว่า เขาเอารถขนาด 125 ซีซี ไปสอบใบขับขี่ พอได้ใบขับขี่มา ก็นำไปขี่รถขนาด 1,000 ซีซี
ผมว่าอย่างนี้มันไม่เหมาะสม เพราะฉะนั้นถ้าอยากขี่บิ๊กไบค์ก็ต้องเอาบิ๊กไบค์ไปสอบสิครับ
ถ้าสามารถแสดงให้เห็นว่ามีความสามารถในการชับชี่รถบิ๊กไบค์ให้ผู้คุมสอบเห็นและได้ใบอนุญาติขับขี่ก็จบ
"คุณอยากขับรถพ่วงคุณยังเอารถพ่วงไปสอบอย่างรถบรรทุก คุณยังเอารถบรรทุกไปสอบเลย
แล้วทำไมจักรยานยนต์ขนาดใหญ่คุณเอาไปสอบไม่ได้ ซึ่งผมมั่นใจว่าถ้ากฎหมายตัวนี้ออกมา
มันจะลดปัญหาอุบัติเหตุที่เกิดจากรถบิ๊กไบค์ได้ เพราะไม่ใช่มีเงินอย่างเดียวแล้วขี่ได้ ต้องสอบใบขับขี่ให้ผ่าน
เด็ก ม.4 ม.5 ม.6 แล้วมาขี่ รถ 1,000 ซีซี คุณกล้าเข้าไปใกล้เขาไหม"
เครดิต: http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1428577814